ปัญหายาเสพติดเกิดขึ้นได้เพราะมีสถานการณ์สองอย่างประกอบกันคือ มีผู้ต้องการใช้ยาอยู่ในสังคม (Demand) กับมียาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ (Supply) ซึ่งองค์ประกอบทั้งสองนี้ ต่างฝ่ายต่างส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกันแบบลูกโซ่ ดังนั้นการแก้ไขปัญหายาเสพติด จึงต้องดำเนินการกับองค์ประกอบทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน คือจะต้องลดปริมาณความต้องการยาเสพติดลง ในขณะเดียวกันก็จะต้องลดปริมาณของยาเสพติดในตลาดด้วย ในทางปฏิบัติระหว่างมาตรการสองอย่างนี้ดูเหมือนว่ามาตรการลดความต้องการจะได้รับความสนใจน้อยกว่า เพราะคนส่วนใหญ่จะนึกถึงการลดปริมาณยาในตลาดเสียมากกว่า
ปัญหายาเสพติด คือ ปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาเสพติดหรือใช้ยาในทางที่ผิดซึ่งเป็นปัญหาพฤติกรรมของมนุษย์อันเนื่องมาจากความคาดหวังที่จะได้รับประโยชน์จากฤทธิ์ของยาหรือจากความคิดที่จะอาศัยฤทธิ์ยาเป็นที่พึ่งในสถานการณ์ต่างๆ องค์ประกอบสำคัญของปัญหาคือ ยากับคนเป็นองค์ประกอบหลัก โดยมีแรงจูงใจให้ใช้ยากับโอกาสที่เอื้อต่อการใช้ยาเป็นองค์ประกอบเสริมถ้าองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งขาดไปปัญหาเสพติดจะไม่เกิดขึ้น มีแต่คนแต่ไม่มียา หรือมีแต่ยาแต่ไม่มีคนใช้ยา ปัญหาไม่เกิด หรือมีคนมียาแต่ไม่มีแรงจูงใจให้คนเอายามาใช้ ปัญหาไม่เกิด หรือแม้จะมีแรงจูงใจให้ใช้ยา มีคนที่อยากใช้ยา และมียาให้ใช้ แต่ไม่มีโอกาสจะใช้ เช่นสถานที่ไม่เหมาะสม ไม่มีอุปกรณ์ มีตำรวจตรวจตราเข้มงวด หรืออยู่ในสายตาพ่อแม่ ครูอาจารย์การใช้ยาจะเกิดขึ้นไม่ได้ ปัญหายาเสพติดไม่เกิด
ดังนั้นการป้องกันปัญหายาเสพติดจึงได้แก่การป้องกันพฤติกรรมการใช้ยาของมนุษย์ที่เกิดจากการคิดพึ่งยาและหวังผลจากฤทธิ์ยานั้นเอง ซึ่งบุคคลในข่ายที่ต้องป้องกันไม่ให้ทำพฤติกรรมใช้ยาเสพติดอาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ
1. กลุ่มที่ยังไม่เคยใช้ยาและยังไม่เริ่มใช้ยา
2. กลุ่มที่เคยใช้ยาซึ่งจำแนกออกได้เป็นพวกที่เคยลองใช้แล้วเลิก พวกที่ใช้เป็นครั้งคราว พวกที่ใช้บ่อยๆ เป็นประจำแต่ยังไม่ถึงขั้นติดยา และพวกติดยาใช้ยาแล้ว
3. กลุ่มที่ใช้ยาเป็นประจำหรือติดยาที่ผ่านการบำบัดรักษาและเลิกใช้ยาติดยามาแล้ว
เนื่องจากบุคคลทั้งสามกลุ่มที่กล่าวมานี้มีโอกาสที่จะเป็นผู้ใช้ยา และติดยาในอนาคตได้ เช่นเดียวกัน กิจกรรมของข่ายงานป้องกันจึงจำเป็นต้องครอบคลุมบุคคลทั้งสามกลุ่ม โดยที่ผู้ดำเนินงานป้องกัน เป้าหมายแต่ละกลุ่มจะต้องกำหนดมาตรการและวิธีการใช้แตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
1. การป้องกันขั้นพื้นฐาน (Primary Prevention)
การป้องกันพื้นฐานหรือบางคนเรียกว่าการป้องกันเบื้องต้น หมายถึง การดำเนินการใด ๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนปิดประตูที่จะนำไปสู่การใช้ยาเสพติดอย่างถาวร ให้เยาวชนตัดสินใจด้วยตนเองที่จะไม่ใช้ยาเสพติด ไม่คิดจะเสี่ยงทดลอง เป็นการมุ่งป้องกันคนส่วนใหญ่ของแผ่นดินไม่ให้เข้าไปหายาเสพติด เป็นการป้องกันอย่างถาวร
งานป้องกันขั้นพื้นฐานจึงนับเป็นงานที่มีความสำคัญที่สุด และเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่ความสำเร็จของการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของชาติ แต่ในขณะเดียวกันเป็นงานที่มีความสลับซับซ้อนทำได้ยาก เพราะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการวางรากฐานให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งต้องเริ่มปลูกฝังตั้งแต่ยังเยาว์วัยต่อเนื่องกันไปจนพ้นวัยเรียน โดยอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายให้ช่วยกันทำ
2. การป้องกันขั้นที่สอง (Secondary Prevention)
การป้องกันขั้นที่สองนี้ใช้กันในความหมายที่แบ่งเป็น 2 นัย นัยหนึ่งหมายถึง การป้องกันโดยทางอ้อม ซึ่งหมายถึงการกระทำใดๆ ที่เป็นการขัดขวางไม่ให้ยาเข้าไปสู่คน โดยมีจุดมองที่เริ่มจากตัวยาเสพติดที่เป็นปัญหาหลัก ซึ่งตรงกันข้ามกับการป้องกันขั้นพื้นฐานที่มุ่งป้องกันไม่ให้คนเข้าไปหายา ด้วยการมองภาพที่คนเป็นจุดตั้งต้น
ดังนั้นการป้องกันขั้นที่สองตามความหมายนี้จึงครอบคลุมถึงงานเกี่ยวกับการปราบปรามยึดอายัด เผาทำลายยาเสพติด การสกัดกั้น การตรวจเข้ม การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด การส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปประจำทำการสอดแนมในโรงเรียน รวมถึงมาตรการตรวจจับจำแนกเพื่อแยกผู้ใช้ยาเสพติดไปรับการบำบัดรักษาฟื้นฟู หรือป้องกันไม่ให้ผู้ติดยาสามารถเผยแพร่ยาเสพติดไปสู่ผู้ไม่ใช้เสพติดด้วย
ส่วนอีกนัยหนึ่งเป็นความหมายที่มักใช้กันในวงการของผู้มีอาชีพแนะแนว ในความหมายของการดำเนินการช่วยเหลือให้ผู้ที่เคยลองใช้ยาเสพติด หรือผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นครั้งคราวหรือใช้บ่อยๆ แต่ยังไม่ติดยา ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลิกใช้ เลิกเกี่ยวข้องกับยาเสพติดชนิดนั้นๆ เป็นมาตรการแยกคนออกจากยา หรือดึงคนติดยาออกจากยาเสพติดด้วยมาตรการแนะแนวให้คำปรึกษาและจิตเวชบำบัด เป็นการป้องกันที่เน้นการสกัดกั้นเพื่อหยุดยั้งพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดของกลุ่มผู้ที่ใช้ยาเสพติดหรือมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาแล้ว
3. การป้องกันขั้นที่สาม (Tertiary Prevention)
การป้องกันขั้นที่สามคือการป้องกันการติดซ้ำ (Relapse) เป็นมาตรการที่ใช้สำหรับผู้ติดยาเสพติดที่ได้รับการบำบัดรักษาด้วยการถอนพิษยาแล้วไม่ให้กลับไปติดยาซ้ำใหม่อีก เป็นมาตรการเสริมที่สนับสนุนมาตรการทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาให้หายขาดจากยาแล้วอยู่อย่างปลอดภัยจากยาเสพติดได้ยาวนานขึ้นก่อนที่จะหวนกลับไปติดยาอีกการป้องการขั้นที่สามจะอาศัยมาตรการทุกชนิดที่มุ่งให้ผู้ติดยาหายจากอาการติดยาทางจิตด้วยมาตรการฟื้นฟูจิตใจ (Rehabilitation) ด้วยวิธีจิตเวชบำบัด (Psychological therapy) การให้คำปรึกษา (Social counseling) กลุ่มบำบัด (Group therapy) และนันทนาการบำบัด (Recreational therapy) เป็นต้น
การป้องกันผู้ติดยาเสพติดที่บำบัดแล้วไม่ให้กลับไปติดยาใหม่อีกถือเป็นส่วนหนึ่งของงานด้านการป้องกันที่มุ่งลดความต้องการยาลงด้วยการสกัดกั้นไม่ให้กลับไปใช้ยาอีกซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้พวกเขานำยาไปเผยแพร่ต่อให้คนอื่นได้ด้วย
โดยสรุปแล้ว การป้องกันขั้นพื้นฐาน นั้นเป็นการป้องกันมิให้มีการทดลองใช้ยา การใช้ยาในทางที่ผิดหรือมิให้มีผู้เสพติดรายใหม่ๆ เกิดขึ้น การป้องกันขั้นที่สองเป็นการเร่งรีบนำผู้ที่ติดยาแล้วไปบำบัดรักษา และการที่จะทำการป้องกันการเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องมีความเข้าใจในสาเหตุและองค์ประกอบของปัญหาการเสพติดเสียก่อน องค์ประกอบที่ทำให้เกิดการติดยานั้น ได้แก่ คน ยา และปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้มีการติดยา การวางแผนแก้ไขและป้องกัน จึงจำต้องศึกษาหาสาเหตุเฉพาะและให้การป้องกันให้ตรงกับสาเหตุหลัก
1. การป้องกันในวงกว้าง เป็นการป้องกันโดยเน้นเป้าหมายที่สังคมโดยทั่วไปมุ่งสร้างสังคมให้ตระหนักถึงพิษและภัยของยา ลดความต้องการของสังคม และลดการตอบสนองของยาเสพติด ซึ่งการดำเนินงานมีหลายรูปแบบ เช่น การพัฒนาสุขภาพ การสร้างเสริมศีลธรรม การใช้กฎหมาย การพัฒนาสังคม ฯลฯ กลวิธีของการป้องกันในแนวกว้าง ได้แก่
1.1 การให้การศึกษา ในการถ่ายทอดความรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ทักษะและประสบการณ์ในการสร้างคุณภาพชีวิตและการไม่พึ่งพายาเสพติด โดยเน้นถึงการพัฒนาตนเองและจิตใจให้มีความเชื่อมั่นว่าตนเองมีคุณค่า สร้างสุขนิสัย และฝึกทักษะในการประกอบอาชีพ
1.2 การให้ข้อมูลและข่าวสาร เป็นการให้ข้อมูลและข่าวสารที่ถูกต้องของปัญหายาเสพติด เพื่อให้ชุมชนได้วิเคราะห์ เลือกข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเองในการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง
1.3 การจัดกิจกรรมทางเลือก ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับพื้นฐานของบุคคลและชุมชนเพื่อเป็นทางเลือกในการใช้เวลาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและเป็นการช่วยพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ
2. การป้องกันในวงแคบ มุ่งเน้นเฉพาะบุคคลบางกลุ่ม หรือชุมชนบางแห่งที่เสี่ยงต่อปัญหาการเสพติด กลวิธีในการดำเนินงาน การป้องกันในวงแคบ ได้แก่
2.1 การฝึกอบรม เป็นการฝึกอบรมแก่กลุ่มแกนนำและกลุ่มประชาชนให้มีความรู้ด้านการป้องกันการเสพติด การใช้ยาในทางที่ถูก โดยมีจุดประสงค์ให้กลุ่มแกนนำประยุกต์ความรู้นั้นไปปฏิบัติในชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพของท้องถิ่น ส่วนกลุ่มประชาชนนั้นให้มีความรู้และมีพฤติกรรมต่อต้านการเสพติดโดยตรง
2.2 การรณรงค์ เป็นการเผยแพร่ข่าวสารโดยการระดมสื่อต่าง ๆ ภายใต้ขอบเขตที่กำหนดไว้ ให้ประชาชนเกิดการตื่นตัว ตระหนักถึงปัญหาและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
2.3 การปฏิบัติการทางสังคม เป็นวิธีการที่หวังผลของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ขจัดแหล่งมั่วสุม กวาดล้างแหล่งผลิต ฯลฯ
3. การป้องกันกรณีพิเศษ เป็นการป้องกันที่เน้นในวงแคบที่สุด โดยเป้าหมายอยู่ที่ผู้ค้า ผู้ติดยาเสพติด หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง และครอบครัว เช่น บุคคลที่กำลังเผชิญกับปัญหาของตนเอง บุคคลที่ครอบครัวแตกแยก ผู้ติดยาที่ผ่านการถอนพิษยามาแล้ว กลวิธีในการป้องกันในกรณีพิเศษนี้ ได้แก่
3.1 การวิเคราะห์ปัญหา เพื่อให้ผู้ติดยาได้ทราบเกี่ยวกับพฤติกรรมและปัญหาของตนในการติดยา
3.2 การให้คำปรึกษาแนะนำ เป็นการให้แนวทางปฏิบัติสำหรับเลือกปฏิบัติในกรณีที่เกิดปัญหาเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาเสพติด
3.3 การให้คำปรึกษาแก่ครอบครัว เพื่อลดความกดดันในครอบครัวลงและให้แนวปฏิบัติแก่ครอบครัวของผู้ติดยาเสพติดหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อลดปัญหาของตนเอง
3.4 การให้สุขศึกษา เป็นการให้ความรู้เรื่องยาและสุขภาพอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันการกลับไปใช้ยาในทางที่ผิดอีก
3.5 การให้กำลังใจ เพื่อเพิ่มกำลังใจให้แก่ผู้ติดยาในขณะที่กำลังเผชิญปัญหาที่อาจนำไปใช้ในทางที่ผิดอีก
3.6 การฝึกอาชีพ เพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตามความสามารถและความถนัดของตนเป็นการลดความกดดันด้านเศรษฐกิจ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
กลวิธีทุกอย่างสามารถนำไปปฏิบัติพร้อมๆ กันได้หลายกลวิธีไม่ว่าจะเป็นการป้องกันในระดับไหน หรือมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้เกิดการใช้ยาในทางที่ผิด หรือป้องกันการติดซ้ำซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ปัญหาการติดสารเสพติด ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการอย่างจริงจัง