มนุษย์เกิดมาย่อมปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ความสุขของมนุษย์ย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ หลายประการ ที่สำคัญคือสภาพความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจ หรือการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีนั่นเอง เมื่อมนุษย์มีร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ จะทำให้มีความสามารถในการปรับตัว มีความเชื่อมั่นในตนเอง ไร้ความกังวล ไม่มีความเครียด และไม่มีความขัดแย้งภายในสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้ สามารถกระทำตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม และมีสมรรถภาพในการทำงาน ดังนั้น ความหมายของคำว่า (Health) ขององค์การอนามัยโลก คือ ภาวะแห่งความสมบูรณ์ของร่างกาย จิตใจ และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข มิใช่เพียงปราศจากโรคและความพิการเท่านั้น
ผู้ที่มีสุขภาพที่ดีจะต้องมีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตดี จึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
คนที่มีสุขภาพกายดี หมายถึง คนที่มีร่างกาย ทั้งอวัยวะต่างๆ และระบบการทำงานอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นปกติ
คนที่มีสุขภาพดีจะมีลักษณะ ดังนี้
1. มีร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง สามารถทรงตัวได้อย่างมั่นคงและเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว
2. สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่เหนื่อยเร็ว
3. อวัยวะและระบบทุกส่วนของร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นปกติ
4. อัตราการเจริญเติบโตของส่วนต่างๆ ในร่างกายเป็นไปตามวัยอย่างเหมาะสม
5. ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และไม่มีโรคประจำตัว
6. สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่และมีหน้าตาสดชื่นแจ่มใส
คนที่มีสุขภาพจิตดี หมายถึง คนที่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ สามารถควบคุมอารมณ์ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใสและสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
คนที่มีสุขภาพจิตดีจะมีลักษณะ ดังนี้
1. สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด เช่น ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน เป็นต้น
2. มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความคิดที่เป็นอิสระกล้าตัดสินใจด้วยตนเองอย่างมีเหตุผล ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ดื้อรั้นและพร้อมที่จะเผชิญกับผลที่จะตามมา
3. สามารถเผชิญกับความเป็นจริง โดยแสดงออกได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
4. สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี ไม่แสดงความโกรธ เกลียดหรือรัก เสียใจ ผิดหวัง จนมากเกินไป
5. รู้จักรักผู้อื่นที่อยู่ใกล้ชิดหรือผู้ที่รู้จัก ไม่ใช่รักแต่ตัวเอง มีความปรารถนาและยินดีที่ผู้อื่นมีความสุขและประสบความสำเร็จ
6. มีความสุขในการทำงานด้วยความตั้งใจ ไม่ย่อท้อและไม่เปลี่ยนงานบ่อยๆ
7. มีความกระตือรือร้น มีความหวังในชีวิต สามารถทนรอคอยในสิ่งที่มุ่งหวังได้
8. มองโลกในแง่ดี ไม่หวาดระแวงและพอใจในสภาพของตนเองที่เป็นอยู่
9. มีอารมณ์ขัน หาความสุขได้จากทุกเรื่อง ไม่เครียดจนเกินไป สามารถพักผ่อนสมองและอารมณ์ได้เหมาะสมกับเวลาและโอกาส
10. รู้จักผ่อนคลายโดยการพักผ่อนในเวลา สถานที่และโอกาสที่เหมาะสม
การที่บุคคลจะมีสุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตดี และเป็นทรัพยากรที่มีค่าของสังคมนั้น จะต้องมีความรู้และสามารถปฏิบัติตามหลักสุขภาพอนามัยได้อย่างถูกต้อง
หลักการดูแลรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิต มีดังนี้
1. มีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี โดยการรับประทานอาหารที่สะอาด ถูกหลักอนามัย มีประโยชน์ต่อร่างกายและให้สารอาหารครบถ้วน โดยควรรับประทานผลไม้และผักสดทุกวัน ดื่มน้ำที่สะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน ซึ่งควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว ไม่ควรดื่มน้ำชา กาแฟ หรือเสพสารเสพติดประเภทต่างๆ
2. รู้จักออกกำลังกายให้เหมาะสม การออกกำลังกายจะช่วยให้อวัยวะและระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย จึงควรออกกำลังกายทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที การเลือกประเภทของการออกกำลังกายต้องคำนึงถึงสภาพร่างกาย วัย สถานที่และความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคลด้วย
3. รู้จักรักษาความสะอาดของร่างกายให้เหมาะสม แต่ละบุคคลจะมีภารกิจในการทำกิจกรรม เพื่อการดำรงชีวิตแตกต่างกันและระบบขับถ่ายจะขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายตามอวัยวะต่างๆ หากไม่ทำความสะอาดจะทำให้เกิดของเสียต่างๆ หมักหมมอยู่และเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ ดังนั้นทุกคนจึงควรทำความสะอาดร่างกาย โดยอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง สระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นเสมอ สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด
4. ขับถ่ายให้เหมาะสมและเป็นเวลา ทุกคนควรถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา วันละ 1 ครั้ง อย่ากลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะ เพราะจะทำให้ของเสียหมักหมมและเป็นอันตรายต่อระบบขับถ่ายได้ เช่น อาจจะเป็นโรคริดสีดวงทวาร โรคท้องผูก หรือโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ/เบาขัดได้
5. พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกายมีเวลาพักเพื่อจะเริ่มทำหน้าที่ในวันต่อไปอย่างสดชื่น นอกจากร่างกายจะได้พักผ่อนแล้วยังทำให้สมองได้พักผ่อนอีกด้วย
6. ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ในชีวิตประจำวันแต่ละบุคคลต้องพบปะกับผู้คนมากหน้า หลายตา ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ที่โรงเรียนและสถานที่ราชการต่างๆ การที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข บุคคลย่อมต้องเข้าใจและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถลดความขัดแย้งต่างๆ ได้ ให้ความเห็นอกเห็นใจและเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
7. ใช้บริการสุขภาพตามระยะเวลาที่เหมาะสม หากเกิดเจ็บป่วย บุคคลต้องรู้จักใช้บริการทางการแพทย์ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ความเจ็บป่วยลุกลามมากยิ่งขึ้น นอกจากการใช้บริการทางสุขภาพเพื่อรักษาโรคแล้ว ยังสามารถใช้บริการทางสุขภาพเพื่อป้องกันโรคได้โดยการตรวจร่างกายเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอตามความเหมาะสมกับสภาพร่างกายและวัย
การดูแลรักษาและเสริมสร้างสุขภาพกาย สุขภาพจิตของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติให้เป็นกิจนิสัย โดยปฏิบัติให้ครอบคลุมทุกองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ การเลือกบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ การพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทั้งนี้หากปฏิบัติได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพความพร้อมของร่างกายและสอดคล้องกับวิถีชีวิตย่อมก่อให้เกิดความสมดุล สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาสุขภาพของตนเองเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ หากบุคคลในครอบครัว มีปัญหาสุขภาพย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของทุกคน เช่น เกิดภาวะในการดูแลภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา ฟื้นฟูสุขภาพ เป็นต้น ทั้งนี้จึงควรส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัว และเพื่อนสมาชิกในชุมชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี ตลอดจนเชิญชวน รวมกลุ่มกันปฏิบัติกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพต่างๆ ขึ้นในชุมชน อันจะเป็นการเสริมสร้างสุขภาพกาย สุขภาพจิตและความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซึ่งกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อเสริมสร้างสุขภาพในชุมชน ได้แก่
1. การรวมกลุ่มเพื่อเรียนรู้ร่วมกันเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการดูแลสุขภาพของกลุ่มบุคคลวัยต่างๆ เช่น สตรีมีครรภ์ มารดาหลังคลอดเด็กทารก วัยรุ่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วย เป็นต้น
2. การรวมกลุ่มเพื่อออกกำลังและเล่นกีฬา ซึ่งปัจจุบันชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ให้ความสนใจสนับสนุนส่งเสริมกันมาก เช่น การรวมกลุ่มเต้นแอโรบิก การแข่งขันกีฬาระหว่างชุมชน เป็นต้น
3. การรวมกลุ่มเพื่อร่วมกิจกรรมการพักผ่อนและนันทนาการ เช่น การท่องเที่ยว การร้องเพลงเล่นดนตรี การบำเพ็ญประโยชน์ การปลูกต้นไม้ในสถานที่สาธารณะ ฯลฯ ทั้งนี้มุ่งเน้นการปฏิบัติที่ไม่หนักเกินไป แต่สร้างความเพลิดเพลินและความสัมพันธ์อันดีในกลุ่มสมาชิกเป็นหลัก
4. การรวมกลุ่มเพื่อปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา เช่น การทำบุญไหว้พระ การปฏิบัติศาสนกิจ การฝึกสมาธิ ฯลฯ เป็นต้น
ทั้งนี้ การรวมกลุ่มเพื่อปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ดังกล่าวควรครอบคลุมหลักการดูแลสุขภาพกายด้านอาหารและโภชนาการ การออกกำลังกาย การพักผ่อน นันทนาการ และการเสริมสร้างสุขภาพจิต โดยการรวมกลุ่มสมาชิกในครอบครัว เพื่อนและคนในชุมชนจะก่อให้เกิดความสนุกสนาน กระตือรือร้น ไม่เบื่อหน่าย และเกิดความรู้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อกัน อันจะส่งผลให้เกิดพลังความเข้มแข็งทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และประเทศ