ยาทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษ ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการใช้ยาจึงควรใช้ยาอย่างระมัดระวัง และใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น อันตรายจากการใช้ยามีสาเหตุที่สำคัญ ดังนี้
แม้ผู้ใช้ยาจะมีความรู้ในการใช้ยาได้อย่างถูกขนาด ถูกวิธี และถูกเวลาแล้วก็ตาม แต่ถ้ายาที่ใช้ไม่มีคุณภาพในการรักษาจะก่อให้เกิดอันตรายได้ สาเหตุที่ทำให้ยาไม่มีคุณภาพ มีดังนี้
2.1 การเก็บ ยาที่ผลิตได้มาตรฐาน แต่เก็บรักษาไม่ถูกวิธีจะทำให้ยาเสื่อมคุณภาพ เกิดผลเสียต่อผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น วัคซีน ต้องเก็บในตู้เย็น ถ้าเก็บในตู้ธรรมดายาจะเสื่อมคุณภาพ แอสไพรินถ้าถูกความชื้น แสง ความร้อน จะทำให้เปลี่ยนสภาพเป็นกรดซาลิซัยลิก ซึ่งไม่ได้ผลในการรักษาแล้วยังกัดกระเพาะทะลุอีกด้วย
2.2 การผลิต ยาที่ผลิตแล้วมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน อาจเกิดขึ้นเนื่องจากหลายสาเหตุ คือใช้วัตถุดิบในการผลิตที่มีคุณภาพต่ำ และมีวัตถุอื่นปนปลอม กระบวนการการผลิตไม่ถูกต้อง เช่น อบยาไม่แห้ง ทำให้ได้ยาที่เสียเร็ว ขึ้นราง่าย นอกจากนี้ พบว่ายาหลายชนิดมีการปะปนของเชื้อจุลินทรีย์ ตำรับยาบางชนิดที่ใช้ไม่เหมาะสม เป็นสูตรผสมยาหลาย ๆ ตัวในตำรับเดียว ทำให้ยาตีกัน เช่น คาโอลินจะดูดซึมนีโอมัยซินไม่ให้ออกฤทธิ์ เป็นต้น
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือไต จะมีความสามารถในการขับถ่ายยาลดลง จึงต้องระวังการใช้ยามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ องค์ประกอบทางกรรมพันธุ์จะทำให้ความไวในการตอบสนองต่อยาของบุคคลแตกต่างกัน ตัวอย่าง คนนิโกรขาดเอนไซม์ที่จะทำลายยาไอโซนอาซิค ถ้ารับประทานยานี้ในขนาดเท่ากับคนเชื้อชาติอื่น จะแสดงอาการประสาทอักเสบ นอนไม่หลับ เป็นต้น
เป็นภาวะที่ร่างกายเคยได้รับยาหรือสารที่มีสูตรคล้ายคลึงกับยานั้นมาก่อนแล้วยาหรือสารนั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นเรียกว่า “สิ่งต่อต้าน” (Antibody) โดยใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน เมื่อได้รับยาหรือสารนั้นอีก จะเกิดปฏิกิริยาได้สารประกอบเชิงซ้อนเป็น “สิ่งเร่งเร้า” (Antigen) ให้ร่างกายหลั่งสารบางอย่างที่สำคัญ เช่น ฮีสตามีน (Histamine) ทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้น ตัวอย่าง ผู้ที่เคยแพ้ยาเพนิซิลลิน เมื่อรับประทานเพนิซิลลินซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จะถูกเปลี่ยนแปลงในร่างกายเป็นกรดเพนิซิลเลนิก ซึ่งทำหน้าที่เป็น “สิ่งเร่งเร้า” ให้ร่างกายหลั่งฮีสตามีน ทำให้เกิดอาการแพ้ เป็นต้น
การแพ้ยาจะมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย ปานกลาง จนรุนแรงมาก ถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่อไปนี้
1. ชนิดของยา ยาที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ที่พบอยู่เสมอ ได้แก่ เพนิซิลลิน แอสไพริน ซัลโฟนาด์ เซรุ่มแก้บาดทะยัก ยาชาโปรเคน น้ำเกลือและเลือด เป็นต้น
2. วิธีการใช้ยา การแพ้ยาเกิดขึ้นได้จากการใช้ยาทุกแบบ แต่การรับประทานเป็นวิธีที่ทำให้แพ้น้อยที่สุด ขณะที่การสัมผัสหรือการใช้ยาทาจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายที่สุด ส่วนการฉีด เป็นวิธีการให้ยาที่ทำให้เกิดการแพ้อย่างรวดเร็ว รุนแรง และแก้ไขได้ยาก
3. พันธุกรรม การแพ้ยาเป็นลักษณะเฉพาะของบุคคล คนที่มีความไวในการถูกกระตุ้นให้แพ้ยา หรือคนที่มีประวัติเคยเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น หืด หวัดเรื้อรัง ลมพิษผื่นคัน จะมีโอกาสแพ้ยามากกว่าคนทั่วไป
4. การได้รับการกระตุ้นมาก่อน ผู้ป่วยเคยได้รับยาหรือสารกระตุ้นมาก่อนแล้วในอดีต โดยจำไม่ได้หรือไม่รู้ตัว เมื่อได้รับยาหรือสารนั้นอีกครั้ง จึงเกิดอาการแพ้ ดังเช่นในรายที่แพ้เพนิซิลลินเป็นครั้งแรก โดยมีประวัติว่าไม่เคยได้รับยาที่แพ้มาก่อนเลย แท้ที่จริงแล้วผู้ป่วยเคยได้รับสารเพนิซิลลินมาก่อนแล้วในอดีต แต่อาจจำไม่ได้หรือไม่รู้ตัว เพราะผู้ป่วยใช้ยาที่ไม่ทราบว่ามีเพนิซิลลินอยู่ด้วย หรืออาจรับประทานอาหารบางชนิดที่มีเชื้อเพนิซิลเลียมอยู่ด้วย
การป้องกันและการแก้ไข การป้องกันมิให้เกิดอาการแพ้ยาเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะถ้าอาการแพ้รุนแรงมาก อาจแก้ไขไม่ทันการ โดยทั่วไปการป้องกันอาจทำได้ดังนี้
1. งดใช้ยา ผู้ป่วยควรสังเกต จดจำ และงดใช้ยาที่เคยแพ้มาก่อน นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน หรือมีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกันด้วย
2. ควรระมัดระวังการใช้ยาที่มักทำให้เกิดอาการแพ้ง่ายบ่อยๆ เช่น เพนิซิลลิน ซัลโฟนาไมด์ หรือ ซาลิซัยเลท เป็นต้น โดยเฉพาะรายที่มีประวัติหอบหืด หวัดเรื้อรัง ลมพิษ ผื่นคัน แพ้สารต่างๆ หรือแพ้ยามาแล้ว ควรบอกรายละเอียดให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนใช้ยา
3. กรณีที่จำเป็นจะต้องใช้ยาที่เคยแพ้ จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยแพทย์จะใช้ยาชนิดที่แพ้ครั้งละน้อยๆ และให้ยาแก้แพ้พร้อมกันไปด้วยเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าร่างกายปรับสภาพได้จนไม่แพ้แล้ว จึงจะให้ยานั้นในขนาดปกติได้
การแก้ไขอาการแพ้ยา ควรพิจารณาตามสภาพของการแพ้ ในกรณีที่มีอาการแพ้เพียงเล็กน้อย เช่น ผื่นคัน คัดจมูก ควรหยุดใช้ยา ซึ่งจะช่วยให้อาการต่างๆ ลดลงและหมดไปภายใน 2-3 ชั่วโมง สำหรับรายที่มีอาการผื่นคันมากอาจจะให้ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ร่วมด้วย ถ้ามีอาการแพ้รุนแรงมากและเกิดขึ้นควรไปพบแพทย์ทันทีทันใด ควรลดการดูดซึมของยา โดยทำให้อาเจียนหรือให้กินผงถ่าน (Activated Charcoal) เพื่อช่วยดูดซึมยา นอกจากนี้ ควรช่วยการหายใจโดยให้อะดรีนาลินเพื่อช่วยขยายหลอดลมและเพิ่มความดันโลหิต ถ้ามีอาการอักเสบ อาจใช้ยาแก้อักเสบประเภทสเตอรอยด์ช่วยบ้าง
หมายถึง ผลหรืออาการอื่น ๆ ของยาอันเกิดขึ้นนอกเหนือจากผลที่ต้องการใช้ในการรักษา ดังเช่น ยาแก้แพ้มักจะทำให้เกิดอาการง่วงซึมเป็นผลข้างเคียงของยา หรือเตตราซัยคลีนใช้กับเด็ก ทำให้เกิดผลข้างเคียง คือฟันเหลืองอย่างถาวร เป็นต้น ในกรณีที่เกิดผลข้างเคียงของยาขึ้น ควรหยุดยาและหลีกเลี่ยงการใช้ยานั้นทันที
พบมากที่สุดมักเนื่องมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะไม่ตรงกับชนิดของเชื้อโรคหรือใช้ไม่ถูกขนาด หรือใช้ในระยะเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการทำลายเชื้อโรค ซึ่งเรียกว่า การดื้อยา ดังเช่น การดื้อต่อยาเตตราซัยคลีน ยาคลอแรมเฟนิคอล เป็นต้น
ยาบางชนิดถ้าใช้ไม่ถูกต้องหรือใช้ต่อเนื่องกันไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะทำให้ติดยาขนานนั้นได้ ดังเช่น ฝิ่น มอร์ฟีน บาร์บิทูเรต แอมเฟตามีน ยากล่อมประสาท เป็นต้น
มักเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ยาเกิดขนาด สำหรับพิษหรือผลเสียของยาอาจกล่าวโดยสังเขป ได้ดังนี้
1. ยาบางชนิดรับประทานแล้วเกิดอาการไข้ ทำให้เข้าใจผิดว่าไข้เกิดจากโรค ในรายเช่นนี้เมื่อหยุดยาอาการไข้จะหายไปเอง
2. ความผิดปกติของเม็ดเลือดและส่วนประกอบของเลือด ยาบางอย่าง เช่น ยาเฟนิลบิวตาโซน คลอแรมเฟนิคอล และยารักษาโรคมะเร็ง จะยับยั้งการทำงานของไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงลดจำนวนลงกว่าระดับปกติ เป็นผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่ายและรุนแรง ยาบางขนานที่ใช้รักษามาเลเรีย เช่น ควินิน พามาควิน และไพรมาควีน จะทำให้เม็ดเลือดแดงสลายตัวได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้ ยังพบว่ายาอะมิโนพัยรินและไดพัยโรน มีผลต่อส่วนประกอบของเลือดอย่างมาก
3. ความเป็นพิษต่อตับ ถึงแม้ตับจะเป็นอวัยวะที่มีสมรรถภาพสูงสุดในการกำจัดยา แต่มันก็ถูกกับตัวยาในความเข้มข้นที่สูง จึงอาจเป็นอันตรายจากยาด้วยเหตุนี้ก็ได้ ยาบางขนานที่อาจเป็นอันตรายต่อเซลล์ของตับโดยตรง เช่น ยาจำพวก Chlorinated hydrocarbons ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะจำพวก โพลิมิกซิน และวิตามินเอ ในขนานสูงมากๆ อาจทำให้ตับหย่อนสมรรถภาพได้
4. ความเป็นพิษต่อไต ไตเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในการขับถ่ายยาออกจากร่างกาย ยาจำพวกซัลฟาบางขนานอาจตกตะกอนในไต ทำให้ไตอักเสบเวลารับประทานยาพวกนี้จึงควรดื่มน้ำมากๆ นอกจากนี้ ยังมียาที่อาจทำให้เกิดพิษโดยตรงต่อไตได้ เช่น ยานีโอมัยซิน เฟนาเซดิน กรดบอริก ยาจำพวก เพนิซิลลิน หรือการให้วิตามินดีในขนาดสูงมากและเป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดพิษต่อไต ไตหย่อนสมรรถภาพ จนถึงขั้นเสียชีวิตได้
5. ความเป็นพิษต่อเส้นประสาทของหู ยาบางชนิดเป็นพิษต่อเส้นประสาทของหู ทำให้อาการหูอื้อ หูตึง และหูหนวกได้ เช่น ยาสเตร็ปโตมัยซิน นีโอมัยซิน กานามัยซิน ควินิน และยาจำพวกซาลิซัยเลท เป็นต้น
6. ความเป็นพิษต่อประสาทส่วนกลาง ยาบางขนานทำให้มีอาการทางสมอง เช่น การใช้แอมเพตามีน ทำให้สมองถูกกระตุ้นจนเกิดควรจนนอนไม่หลับ ปวดหัว กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข และชักได้ ส่วนยากดประสาทจำพวกบาร์บิทูเรต ถ้าใช้ไปนาน จะทำให้เกิดอาการง่วง ซึมเศร้า จนถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย
7. ความเป็นพิษต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด มักเกิดจากยากระตุ้นหัวใจ ยาแก้หอบหืด ไปทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
8. ความเป็นพิษต่อกระเพาะอาหาร ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน เฟนิลบิวตาโซน เพรดโซโลน อินโดเมธาซิน ถ้ารับประทานตอนท้องว่างและรับประทานบ่อยๆ จะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบและเป็นแผลได้
9. ความเป็นพิษต่อทารกในครรภ์ มียาบางชนิดที่แม่ไม่ควรรับประทานระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ยาธาลิโดไมล์ช่วยให้นอนหลับและสงบประสาท ยาฟีโนบาร์บิตาลใช้รักษาโรคลมชัก ยาไดอะซีแพมใช้กล่อมประสาท และยาแก้คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อตัวมดลูกและต่อทารกในครรภ์ เป็นผลให้เด็กที่คลอดออกมามีความพิการ เช่น บางรายอาจมือกุด ขากุด จมูกโหว่ เพดานและริมฝีปากแหว่ง หรือบางคนศีรษะอาจยุบหายไปเป็นบางส่วน ดังนั้น แม่ในระหว่างตั้งครรภ์ควรระมัดระวังการใช้ยาเป็นอย่างยิ่ง
การใช้ยาผิด หมายถึง การใช้ยาที่ไม่ตรงกับโรค บุคคล เวลา วิธี และขนาด ตลอดจนจุดประสงค์ของการใช้ยานั้นในการรักษาโรค ดังเช่น การใช้ยาบารฺบิทูเรตเพื่อให้นอนหลับสบาย โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ถือว่าเป็นการใช้ยาถูกต้อง แต่ถ้าใช้ยาบารฺบิทูเรตจำนวนเดิมเพื่อให้เคลิบเคลิ้มเป็นสุข (Euphoria) ถือว่าเป็นการใช้ยาผิด
การติดยา หมายถึง การใช้ยาติดต่อกันไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วอวัยวะของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบประสาท ได้ยอมรับยาขนานนั้นเข้าไว้เป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็น สำหรับเมตาบอลิซึมของอวัยวะนั้น ๆ ซึ่งถ้าหากหยุดยาหรือได้รับยาไม่เพียงพอจะเกิดอาการขาดยา หรืออาการถอนยา (Abstinence or Withdrawal Syndrome) ซึ่งแบ่งได้เป็นอาการทางกาย และอาการทางจิตใจ
สาเหตุที่ทำให้เกิดการใช้ยาผิดหรือการติดยา อาจเนื่องมาจาก
1. ความเชื่อที่ว่ายานั้นสามารถแก้โรคหรือปัญหาต่างๆ ได้
2. สามารถซื้อยาได้ง่ายจากแหล่งต่างๆ
3. มีความพึงพอใจในฤทธิ์ของยาที่ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มเป็นสุข
4. การทำตามอย่างเพื่อน เพื่อให้เข้ากับกลุ่มได้ หรือเพื่อให้รู้สึกว่าตนเองทันสมัย
5. ความเชื่อที่ว่ายานั้นช่วยให้มีความสามารถและสติปัญญาดีขึ้น
6. ความไม่พอใจในสภาพหรือสังคมที่เป็นอยู่ หรือความรู้สึกต่อต้านวัฒนธรรม
7. การหลงเชื่อคำโฆษณาสรรพคุณของยานั้น
การใช้ยาผิดแบ่งตามลักษณะการใช้โดยสังเขปได้เป็น 2 ประการ คือ
1. ใช้ผิดทาง ไม่เป็นไปเพื่อการรักษาโรค ดังเช่น ใช้ยาปฏิชีวนะเสมือนหนึ่งเป็นการลดไข้ ชาวนาใช้ขี้ผึ้งเพนิซิลลินทาแทนวาสลิน เพื่อกันผิวแตก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้จนถึงแก่ชีวิตได้ โดยทั่วไปแพทย์จะให้น้ำเกลือและยาบำรุงเข้าเส้นต่าง ๆ เฉพาะผู้ที่ป่วยเท่านั้น แต่ผู้ที่มีสุขภาพดีกลับนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งนอกจากจะไม่ให้ประโยชน์แล้วยังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
2. ใช้พร่ำเพรื่อ เป็นระยะเวลานานๆ จนติดยา ดังเช่น การใช้ยาลดไข้แก้ปวด ซึ่งมีส่วนผสมของแอสไพริน เฟนาเซติน และหัวกาแห เพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยหรือทำให้จิตใจเป็นสุข ถ้าใช้ติดต่อกันนาน ๆ ทำให้ติดยาและสุขภาพทรุดโทรม นอกจากนี้ การใช้ยานอนหลับ ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาท กัญชา โคเคน แอมแฟตามีน โบรไมด์ การสูดกวาวสารทำให้เกิดประสาทหลอนติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ติดยาได้
เมื่อมีความจำเป็น หรือความประสงค์ที่จะใช้สมุนไพรไม่ว่าจะเพื่อประสงค์อย่างไรก็ตาม ให้ระลึกอยู่เสมอว่า ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี หายจากการเจ็บป่วย สิ่งที่จะนำเข้าไปสู่ในร่างกายเราก็ควรเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย อย่าให้ความเชื่อแบบผิดๆ มาส่งผลเสียกับร่างกายเพิ่มขึ้น หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับหมอน้อย ซึ่งเป็นเด็กอายุเพียง 3 ปี 7 เดือน ที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อปี 2529 ที่สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิดใช้เพียงกิ่งไม้ใบไม้อะไรก็ได้แล้วแต่จะชี้ไป คนเอาไปต้มรับประทานด้วยความเชื่อ ซึ่งความจริงการเลือกใช้สมุนไพรจะต้องมีวิธีการ และความรู้ที่ถูกต้อง การใช้จึงจะเกิดประโยชน์
ข้อควรระวังในการใช้อย่างง่ายๆ และเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้สมุนไพร คือ
- ใช้ให้ถูกต้น สมุนไพรบางชนิดอาจมีลักษณะคล้ายกัน หรือมีชื่อพ้องกัน การใช้ผิดต้นนอกจากไม่เกิดผลในการรักษาแล้วยังอาจเกิดพิษขึ้นได้
- ใช้ให้ถูกส่วน ในแต่ละส่วนของพืชสมุนไพร เช่น ใบ ราก ดอก อาจมีสรรพคุณไม่เหมือนกันและบางส่วนอาจมีพิษ เช่น เมล็ดของมะกล่ำตาหนูเพียงเม็ดเดียว ถ้าเคี้ยวรับประทานอาจตายได้ ในขณะที่ส่วนของใบไม่เป็นพิษ
- ใช้ให้ถูกขนาด ปริมาณการใช้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดพิษโดยเฉพาะ ถ้ามีการใช้ในปริมาณที่มากเกินไป หรือถ้าน้อยเกินไปก็ไม่เกิดผลในการรักษา
- ใช้ให้ถูกโรค สมุนไพรแต่ละชนิดมีสรรพคุณไม่เหมือนกัน เป็นโรคอะไรควรใช้สมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาโรคนั้นๆ และสิ่งที่ควรคำนึงคือ อาการเจ็บป่วย บางอย่างมีความรุนแรงถึงชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีในกรณีเช่นนี้ไม่ควรใช้ยาสมุนไพร ควรรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเหมาะสมกว่า
การรับประทานยาสมุนไพรจากที่เตรียมเอง ปัญหาที่พบบ่อยคือ ไม่ทราบขนาดการใช้ที่เหมาะสมว่าจะใช้ปริมาณเท่าใดดี ข้อแนะนำคือ เริ่มใช้แต่น้อยก่อนแล้วค่อยปรับปริมาณเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมทีหลัง (มีศัพท์แบบพื้นบ้านว่า ตามกำลัง) ไม่ควรรับประทานยาตามคนอื่นเพราะอาจทำให้รับยามากเกินควร เพราะแต่ละคนจะตอบสนองต่อยาไม่เหมือนกัน สำหรับยาที่ซื้อจากร้านควรอ่านฉลากวิธีการใช้อย่างละเอียดและให้เข้าใจก่อนใช้ทุกครั้ง
การหมดอายุของยาจากสมุนไพรเช่นเดียวกันกับยาแผนปัจจุบัน โดยทั่วไปสมุนไพรเมื่อเก็บไว้นานๆ ย่อมมีการผุพัง เกิดความชื้น เชื้อรา หรือมีแมลงวันมากัดกิน ทำให้อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมที่จะนำไปใช้ และมีการเสื่อมสภาพลงแต่การจะกำหนดอายุที่แน่นอนนั้นทำได้ยาก จึงควรนับตั้งแต่วันผลิตยาสมุนไพรหรือยาจากสมุนไพรไม่ควรใช้เมื่อมีอายุเกิน 2 ปี ยกเว้นมีการผลิตหรือเก็บบรรจุที่ดี และถ้าพบว่ามีเชื้อรา มีกลิ่นหรือสีเปลี่ยนไปจากเดิมก็ไม่ควรใช้
ข้อสังเกตในการเลือกซื้อสมุนไพร และยาแผนโบราณ
ดังนั้น ยาแต่ละชนิดทางกฎหมายมีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน ในการเลือกซื้อหรือเลือกใช้จึงต้องรู้ความหมาย และข้อกำหนดทางกฎหมายเสียก่อน จึงจะรู้ว่ายาชนิดใด จะมีคุณสมบัติอย่างไร มีวิธีการในการสังเกตอย่างไร เพื่อที่จะได้บอกได้ว่ายานั้น ควรที่จะใช้หรือน่าที่จะมีความปลอดภัยต่อการใช้ สิ่งที่น่าจะรู้หรือทำความเข้าใจ คือ ความหมายของยาชนิดต่าง ๆ ดังนี้
ยาสมุนไพร คือ ยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ หรือแร่ธาตุ ซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ
ยาแผนโบราณ คือ ยาที่มุ่งหมายใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ ซึ่งอยู่ในตำราแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่ได้รับอนุญาตขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ
หรือให้เข้าใจง่ายๆ คือ ยาที่ได้จากสมุนไพรมาประกอบเป็นตำรับตามที่ระบุไว้ในตำรายาหรือที่กำหนดให้เป็นยาแผนโบราณ ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณนั้นกำหนดว่า ให้ใช้วิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณโดยไม่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การนำสมุนไพรมาต้มรับประทาน หรือทำเป็นผลละลายน้ำรับประทาน แต่ในปัจจุบันมีข้อกำหนดเพิ่มเติมให้ยาแผนโบราณมีการพัฒนารูปแบบให้สะดวกและทันสมัยขึ้นเช่นเดียวกับยาแผนปัจจุบัน เช่น ทำเป็นเม็ด เม็ดเคลือบน้ำตาลหรือแคปซูล โดยมีข้อสังเกตว่าที่แคปซูลจะต้องระบุว่า ยาแผนโบราณ