การสันนิษฐานเกี่ยวกับ กําเนิดหรือที่มาของ ดนตรีไทย ตามแนวทัศนะข้อนี้ เป็นทัศนะที่มีมาแต่เดิม นับตั้งแต่ได้มีผู้สนใจ และได้ทําการค้นคว้าหาหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้น และนับวา่ เป็นทัศนะต่างๆ
1.ได้รับการนํามากล่าวอ้างกันมาก บุคคลสําคัญที่เป็นผู้เสนอแนะแนวทางนี้คือ สมเด็จพระ เจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดํารงราชานุภาพ พระบิดาแห่งวงการประวัติศาสตร์ของไทย
2. สันนิษฐานว่า ดนตรีไทย เกิดจากความคิด และ สติปญญา ของคนไทย เกิดขึ้นมาพร้อม กับคนไทย ตั้งแต่ สมัยที่ยังอยู่ทางตอนใต้ ของประเทศจีนแล้ว ทั้งนี้เนื่องจาก ดนตรี เป็นมรดกของ มนุษยชาติ ทุกชาติทุกภาษาตางก็มี ดนตรี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของตนด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่าใน ภายหลัง จะมีการรับเอาแบบอย่าง ดนตรี ของต่างชาติเขามาก็ตาม แต่ก็เป็น การนําเขามาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม กับ ลักษณะและนิสัยทางดนตรี ของคนในชาตินั้น ๆ ไทยเรา ตั้งแต่สมัยที่ ยังอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ก็คงจะมี ดนตรี ของเราเองเกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้ จะสังเกตุเห็นได้ว่า เครื่องดนตรี ดั้งเดิมของไทย จะมีชื่อเรียกเป็นคําโดด ซึ่งเป็นลักษณะของคําไทยแท้ เช่นเกราะ, โกรง , กรับ ฉาบ, ฉิ่ง ปี่, ขลุ่ย ฆ้อง, กลอง เป็นต้น ต่อมาเมื่อไทยได้ อพยพ ลงมาตั้งถิ่นฐานในแถบแหลมอนิโดจีน จึงได้มาพบวัฒนธรรม แบบอินเดีย โดยเฉพาะ เครื่องดนตรี อินเดีย ซึ่งชนชาติมอญ และ เขมร รับไว้ก่อนที่ไทยจะอพยพ เข้ามา ด้วยเหตุนี้ ชนชาติไทย ซึ่งมีนิสัยทางดนตรีอยู่แล้ว จึงรับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีแบบอินเดีย ผสมกับแบบมอญและเขมร เขามาผสมกับดนตรีที่มีมาแต่เดิมของตน จึงเกิดเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีก ได้แก่พิณ สังข์ ปี่ไฉน บัณเฑาะว์ กระจับปี่ และจะเข้ เป็นต้น ต่อมาเมื่อไทยได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน แหล่มอินโดจีนอย่างมั่นคงแล้ว ได้มีการ ติดต่อสัมพันธ์ กับประเทศเพื่อนบ้านในแหลมอินโดจีน หรือแม้แต่กับประเทศทางตะวันตกบางประเทศที่เขามา ติดต่อค้าขาย ทําให้ไทยรับเอาเครื่องดนตรี บางอย่าง ของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้ เล่นใน วงดนตรีไทย ด้วย เช่น กลองแขก ปี่ชวา ของ ชวา (อนิโดนิเซีย) กลองมลายู ของมลายู (มาเลเซยี) เป็งมาง ตะโพนมอญ ปี่มอญ และฆ้องมอญ ของมอญ กลองยาวของพม่า ขิม ม้าล่อของจีน กลองมริกัน (กลองของชาวอเมริกัน) เปียโน ออริแกน และ ไวโอลีน ของประเทศทางตะวันตก เป็นต้น
นับตั้งแตไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีน และได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงเป็น การเริ่มต้น ยุคแห่งประวัติศาสตร์ไทย ที่ปรากฎ หลักฐานเป็นลายลักษณอักษร์ กล่าวคือ เมื่อไทยได้ สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้น และหลังจากที่ พ่อขุนรามคําแหง มหาราช ได้ประดิษฐอักษรไทยขึ้น ใช้แล้ว นับตั้งแ่ตนั้นมาจึงปรากฎหลักฐานด้าน ดนตรีไทย ที่เป็นลายลักษณอักษร ทั้งในหลักศิลาจารึก หนังสือวรรณคดี และเอกสารทางประวัติศาสตร ในแต่ละยุค ซึ่งสามารถนํามาเป็นหลักฐาน ในการพิจารณา ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของ ดนตรีไทย ตั้งแตสมัยสุโขทัย เป็นต้นมา จนกระทั่งเป็นแบบแผนดังปรากฎ ในปัจจุบัน พอสรุปได้ดังตอไปนี้
เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 15 ปี และประกอบกับ เป็นสมัย แห่งการก่อร่างสร้างเมือง และการป้องกันประเทศเสียโดยมาก วงดนตรีไทย ในสมัยนี้จึงไมปรากฎ หลักฐานไว้ว่า ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้น สันนิษฐานว่า ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
ในสมัยนี้ เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงคราม และได้มีการก่อสร้างเมืองให้ มั่นคงเป็นปึกแผ่น เกิดความ สงบรมเย็น โดยทั่วไปแล้ว ศิลปวัฒนธรรม ของชาติ ก็ได้รับการฟื้นฟู ทะนุบํารุง และส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น โดยเฉพาะ ทางด้านดนตรี ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็นลําดับ ดังต่อไปนี้
ในยุครัตนโกสินทรจัดว่าเป็นยุคทองยุคหนึ่งของวงการดนตรีไทยเลยทีเดียว โดยเริ่มจาก สมัยรัตนโกสินทรตอนต้น มีการประพันธ์เพลง "ทางกรอ" ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการพัฒนาการ ประพันธ์เพลงจากเดิมซึ่งมีเพียงเพลงทางเก็บ วงดนตรีในยุคสมัยนี้เริ่มมีการแบ่งออกเป็นสามประเภท ได้แก่
วงเครื่องสาย ซึ่งประกอบดวยเครื่องดนตรีที่มีสายทั้งหลาย เช่น ซ้อ จะเข้ เป็นต้น
วงปี่พาทย์ ประกอบดวยเครื่องตีเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ ระนาด ฆ้อง และปี่ เป็นต้น
วงมโหรี เป็นการรวมกันของวงเครื่องสายและวงปี่พาทย์ แต่ตัดปี่ออกเพราะเสียงดัง กลบเสียงเครื่องสายอื่นหมด