ระดับ ม.ปลาย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
เรื่องที่ 1 การทุจริต
1. ความหมายของการทุจริต
การทุจริต (Corruption) หมายถึง ประพฤติชั่ว คดโกง ไม่ซื่อตรง การใช้อำนาจที่ได้รับมา
หรือการใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ในทางมิชอบ เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว เพื่อน คนรู้จัก หรือประโยชน์
อื่นใดอันมิควรได้ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของผู้อื่น
การทุจริตต่อหน้าที่ หมายถึง กรปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติกรรมที่อาจทำให้
ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหน้าที่ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหน้าที่นั้น หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทั้งนี้ เพื่อแสวงหา
ผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเอง หรือผู้อื่น
2. รูปแบบการทุจริต
การทุจริตที่เกิดขึ้นในวงราชการและแวดวงการเมือง เป็นพฤติกรรมที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจ
ในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตัว สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ แบ่งตาม
ผู้ที่เกี่ยวข้อง แบ่งตามกระบวนการที่ใช้ และแบ่งตามลักษณะรูปธรรม ดังนี้
2.1 แบ่งตามผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นรูปแบบการทุจริตในเรื่องของอำนาจและความสัมพันธ์
แบบอุปถัมภ์ระหว่างผู้ที่ให้การอุปถัมภ์ ผู้ให้การช่วยเหลือ) กับผู้ถูกอุปถัมภ์ (ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ) โดยใน
กระบวนการการทุจริตจะมี 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 การทุจริตโดยข้าราชการ (Corrupt officials) หมายถึง การกระทำที่มีการใช้
หน่วยงานราชการเพื่อมุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากการปฏิบัติงานของหน่วยงานนั้น ๆ มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม
ของสังคมหรือประเทศ โดยลักษณะของการทุจริตโดยข้าราชการสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย ดังนี้
1. การคอร์รัปชันตามน้ำ (corruption without theft) จะปรากฎขึ้น
เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องการสินบน โดยให้มีการจ่ายตามช่องทางปกติของทางราชการ แต่ให้เพิ่มสินบนรวม
เข้าไว้กับการจ่ายค่าบริการของหน่วยงานนั้น " โดยที่เงินค่าบริการปกติที่หน่วยงานนั้นจะต้องได้รับก็ยังคง
ได้รับต่อไป เช่น การจ่ายเงินพิศษให้แก่เจ้าหน้าที่ในการออกเอกสารต่าง ๆ นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมปกติ
ที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว เป็นต้น
2. การคอร์รัปชันทวนน้ำ (corruption with theft) เป็นการคอร์รัปชัน
ในลักษณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะเรียกร้องเงินจากผู้ขอรับบริการโดยตรง โดยที่หน่วยงานนั้นไม่ได้มีการเรียกเก็บเงิน
ค่าบริการแต่อย่างใด เช่น ในการออกเอกสาของหน่วยงานราชการไม่ได้มีการกำหนดให้ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ในการดำเนินการ แต่กรณีนี้มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ที่มาใช้บริการของหน่วยงานของรัฐ
ประเภทที่ 2 การทุจริตโดยนักการเมือง (political corruption) เป็นการใช้หน่วยงานของ
ทางราชการโดยบรรดานักการเมืองเพื่อมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ในทางการเงินมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม
ของสังคมหรือประเทศเช่นเดียวกัน โดยรูปแบบหรือวิธีการทั่วไปจะมีลักษณะเช่นเดียวกับการทุจริต
โดยข้าราชการ แต่จะเป็นในระดับที่สูงกว่า เช่น การทุจริตในการประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และมีการ
เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ต่าง ๆ จากภาคเอกชน เป็นต้น
2.2 แบ่งตามกระบวนการที่ใช้มี 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 เกิดจากการใช้อำนาจในการกำหนด กฎ กติกาพื้นฐาน เช่น การออกกฎหมาย
และกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่ออำนวยประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจของตนหรือพวกพ้อง
ประเภทที่ 2 เกิดจากการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากกฎ และระเบียบ
ที่ดำรงอยู่ ซึ่งมักเกิดจากความไม่ชัดเจนของกฎและระเบียบเหล่านั้นที่ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ความคิดเห็น
ของตนได้ และการใช้ความคิดเห็นนั้นอาจไม่ถูกต้องหากมีการใช้ไปในทางที่ผิดหรือไม่ยุติธรรมได้
2.3 แบ่งตามลักษณะรูปธรรม มีทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ
รูปแบบที่ 1 คอร์รัปชันจากการจัดซื้อจัดหา (Procurement Corruption) เช่น
การจัดซื้อสิ่งของในหน่วยงาน โดยมีการคิดราคาเพิ่มหรือลดคุณสมบัติแต่กำหนดราคาซื้อไว้เท่าเดิม
รูปแบบที่ 2 คอร์รัปชันจากการให้สัมปทาและสิทธิพิเศษ (Concessionaire Corruption)
เช่น การให้เอกชนรายใดรายหนึ่งเข้ามามีสิทธิในการจัดทำสัมปทานเป็นกรณีพิเศษต่างกับเอกชนรายอื่น
รูปแบบที่ 3 คอร์รัปชันจากการขายสาธารณสมบัติ (Privatization Corruption) เช่น
การขายกิจการของรัฐวิสาหกิจ หรือการยกเอาที่ดิน ทรัพย์สินไปเป็นสิทธิการครอบครองของต่างชาติ เป็นต้น
รูปแบบที่ 4 คอร์รัปชันจากการกำกับดูแล (Regulatory Corruption) เช่น การกำกับ
ดูแลในหน่วยงานแล้วทำการทุจริตต่าง ๆ เป็นต้น
3. สาเหตุที่ทำให้เกิดการทุจริต
3.1 การขาดคุณธรรม ผู้ที่ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงกล่าวได้ว่า เป็นผู้ขาดคุณธรรม คุณธรรมที่ขาด
ได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ความละอายบาป ความกตัญญูกตเวที ในสมัยก่อนความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณธรรม
ที่ได้รับการเน้นเป็นพิเศษ ถือว่าเป็นเครื่องวัดความดีของคน คนที่ขาดความซื่อสัตย์สุจริตถือว่าเป็นคนไม่ดี
เป็นคนที่ไม่ควรคบ เป็นคนที่ไม่ควรเอาเข้ามาทำงาน ในพระพุทธศาสนาความซื่อสัตย์สุจริต หรือสัจจะ
ถือเป็นหลักธรรมที่สำคัญ เป็นหลักธรรมที่สอดแทรกอยู่ในข้อแรกของฆราวาสธรรม 4 ในข้อ 2 ของอธิษฐานธรรม 4
ในข้อ 4 ของเบญจธรรม 5 ในข้อ 7 ของบารมี 10 สัจจะ หมายถึง ความจริง ความชื่อตรงความซื่อสัตย์
ความจริงใจ ผู้มีสัจจะจะต้องมีความจริงต่อคำพูด การกระทำ หน้าที่ และบุคคลคือจะต้องพูดจริง ทำจริง
ซื่อตรงต่อหน้าที่ มีความจริงใจต่อผู้อื่น ผู้มีสัจจะจะไม่เป็นผู้ทุจริตไม่ว่ากรณีใด ๆ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า ผู้ทรงก่อตั้งกองเสือป่และกองลูกเสือ ได้ทรงอบรมสั่งสนให้เสือป่าและลูกเสือ
ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ได้พระราชทานคำขวัญแก่เสือป่าและลูกเสือว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์"
หิริ หรือความละอายบาป และโอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาป ถือเป็นธรรมคุ้มครองโลก (โลกบาล) ทำให้โลก
มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่เดือดร้อนและสับสนวุ่นวาย ก่อนนี้คนไทยส่วนใหญ่เชื่อในเรื่องบุญบาป เชื่อใน
เรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อในเรื่องสังสารวัฏ - การเวียนว่ายตายเกิด จึงเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
แต่ในปัจจุบันคนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษาจบจากต่างประเทศมักจะไม่เชื่อในเรื่องบุญและบาป
ไม่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม จึงขาดหิริโอตตัปปะ ทำการทุจริต ทำความชั่วกันมากขึ้นและถือว่าการทุจริต
เป็นวิถีชีวิต เมื่อสังคมและโลกขาดหิริโอตตัปปะเป็นธรรมเครื่องคุ้มครอง สังคม และโลก จึงขาดความเป็นระเบียบ
เรียบร้อย มีความเดือดร้อนสับสนวุ่นวายยิ่งขึ้น
3.2 การขาดอุดมการณ์และอุดมคติ คำว่า อุดมการณ์ หมายถึง อุดมคติอันสูงส่งที่จูงใจมนุษย์ให้
พยายามบรรลุถึง และ อุดมคติ หมายถึง จินตนาการที่ถือว่าเป็นมาตรฐานแห่งความดี ความงาม และความจริงใจ
ทางใดทางหนึ่งที่มนุษย์ถือว่าเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตของตน คนที่มีอุดมการณ์หรืออุดมคติคือคนที่มีคุณธรรม
ความดี ผิดกับผู้ที่ไม่มีอุดมการณ์หรืออุดมคติที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตนได้รับประโยชน์ถึงแม้ว่าการกระทำนั้น
จะผิดและไม่ถูกต้องตามศีลธรรม ผู้ที่จะทำงานให้ได้ผลและประสบความสำเร็จจึงต้องมีคุณธรรมที่สำคัญ 3
ประการ คือ ความกระตือรือร้น ความบริสุทธิ์ใจ และความมีอุดมคติ อุดมการณ์หรืออุดมคติจึงมีความสำคัญ
ดังนี้
1) ทำหน้าที่เป็นเป้าหมายของชีวิต
2) เป็นพลังผลักดันให้พยายามทำงานจนได้รับความสำเร็จและบรรลุเป้าหมาย
3) ทำให้จิตใจมั่นคงอยู่ในคุณธรรมความดีในการทำงานเพื่อสังคมและประโยชน์ส่วนรวม
ผู้ที่มีอุดมคติจึงได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่มีอุดมคติ เพราะการมีอุดมคติซึ่งเปรียบเสมือนแสงสว่าง
ที่นำทางให้ไปสู่จุดหมายปลายทางได้ ส่วนผู้ที่ไม่มีอุดมคติเหมือนคนที่ขาดแสงสว่างเป็นผู้ที่ตกอยู่ในความมืด
คือ มีใจที่มืดบอด เขาอาจจะมีเงิน มีตำแหน่งที่สูง มีอำนาจวาสนา แต่เขาอาจจะไม่มีความสุข ความผิดและ
ความชั่วที่เขาทำอาจจะเป็นไฟที่เผาลนจิตใจของเขาให้รุ่มร้อนเหมือนนรกที่อยู่ในใจ และเมื่อกรรมชั่วให้ผล
เขาจะได้รับผลกรรมตามกรรมที่เขาได้ทำไว้อย่างแน่นอน เหมือนคนกินขนมหวานที่เจือด้วยยาพิษ ตราบใดที่
ยาพิษยังไม่ให้ผล เขาก็จะได้รับความหวานจากขนม
3.3 มีค่านิยมที่ผิด ในปัจจุบันค่านิยมของสังคมได้เปลี่ยนไปจากเดิม ก่อนนี้เราเคยยกย่องคนดี
คนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่ในปัจจุบันเรากลับยกย่องคนที่มีเงิน คนที่เป็นเศรษฐ มหาเศรษฐี คนที่มีตำแหน่ง
หน้าที่การงานสูง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
(พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9) ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท
เกี่ยวกับความคิดจิตใจของคนที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมมีข้อความ ดังนี้ "ในบ้านเมืองเราทุกวันนี้มีเสียง
กล่าวกันว่า ความคิดจิตใจของคนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อม ความประพฤติที่เป็นความทุจริตหลายอย่าง
มีท่าทีจะกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปพากันยอมรับและสมยอมให้กระทำกันได้เป็นธรรมดา สภาพการณ์เช่นนี้
ย่อมทำให้วิถีชีวิตของแต่ละคนมืดมัวลงไป เป็นปัญหาใหญ่ที่เหมือนกระแสคลื่นอันไหลเข้ามาท่วมทั่วไปหมด
จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการช่วยกันฝืนคลื่นที่กล่าวนั้นในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใด ๆ
ที่เรารู้ผิดด้วยใจจริงว่าชั่ว ว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องห้ามความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับ
ธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้องและเป็นธรรม ถ้าเรา
ช่วยกันทำเช่นนี้ได้จริง ๆ ให้ผลของความดีบังเกิดให้มากขึ้น ๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป
และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นเป็นลำดับ " ผู้ที่มีค่านิยมที่ผิดเห็นว่าการทุจริตเป็นวิถีชีวิตเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เห็นคนชื่อเป็นคนเช่อ เห็นคนโกงเป็นคนฉลาด ย่อมจะทำการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยไม่มีความละอายต่อ
บุญและบาป และไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายของบ้านเมือง
3.4 ใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรม บุคคลใดที่มีอำนาจและมีความโลภเห็นแก่เงินก็ย่อมจะคอร์รัปชัน
การมีอำนาจอย่างเดียวจึงไม่ทำให้คนทุจริต แต่การมีอำนาจโดยมีความโลภเห็นแก่เงินจึงทำให้คนทุจริต
ฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ กรณีตัวอย่างข้าราชการที่มีอำนาจเป็นจำนวนมากที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการรับใช้แผ่นดิน
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อยในเรื่องการทุจริต อาทิ จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต)
เป็นผู้บัญชาการทหารบกคนแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับการยกย่องว่าเป็น
ทหารเสือหนักแน่นมั่นคง ถือความซื่อสัตย์ ความกตัญญูและความจงรักภักดีที่ซื่อตรงต่อหน้าที่โดยไม่มีประวัติ
ด่างพร้อยในเรื่องใดทั้งสิ้น ท่านได้ปฏิบัติตามคำสอนของบิดาท่าน คือ พระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง ชูโต)
อย่างเคร่งครัด คำสอนของบิดาท่านมี 3 ข้อ ดังนี้
1) ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้จักคุณบิดามารดา และญาติพี่น้อง ทั้งผู้มีคุณที่ได้อุปการะมาแล้ว
2) เมื่อได้ทำความผิดสิ่งใดไม่ให้พูดปดหรือแก้ตัวด้วยความเท็จ
3) ไม่ให้ประพฤติตนด้วยการข่มเหงและเบียดเบียนผู้ใดเป็นอันขาด
จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้ทำงานให้ราชการอย่างเอาจริงเอาจังโดยเสียสละ
ทั้งชีวิตและเงินทอง เงินที่เบิกจากหลวงไม่ได้ท่านก็ออกเงินสดใช้เอง เช่น ท่านได้สั่งซื้อเครื่องชั่งตวงวัดมาใช้
ในราชการแต่เบิกเงินไม่ได้ ท่านก็ต้องใช้เงินส่วนตัว เมื่อคราวไปหลวงพระบางเจ้านายลาวยืมเงินจากท่านไป
ปลูกบ้านที่ถูกจีนฮ่อผา เป็นเงิน 45,000 บาท ได้เจรจาขอเงินคืนก็ไม่ได้ผล นอกจากนี้ยังต้องใช้เงินซึ่งเป็นหนี้
หน่วยกองต่าง ๆ ที่หยิบยืมคราวไปปราบฮ่อเป็นเงิน 120,000 บาท ท่านต้องใช้หนี้เองทั้งสิ้น ท่านไม่ได้คิด
กอบโกยเงินทองของทางราชการแต่อย่างใด ท่านได้เขียนบันทึกในสมุดพกส่วนตัวของท่านไว้ ดังนี้ "เราได้ทำ
ราชการทุกสิ่ง มิได้ละทิ้งให้ราชการท่านเสียความสุขในตัวเรานั้นหามิได้เลย วันหนึ่ง 24 ชั่วโมง เราก็ทำตลอด
เว้นไว้แต่นอนหลับไปเท่านั้น ความจนก็เบียดเบียนเราเข้ามาทุกวัน เวลา อาหารจะเลี้ยงพี่น้องก็ไม่ค่อยจะพอ
รับประทาน บ้านก็ไม่พอกันอยู่ ถึงตัวเราจะได้รับความลำบากถึงเพียงนี้ เราก็ยังมีสันดานอันชื่อตรงอยู่เสมอ
ที่เราทนได้ก็เพราะเรามีความตัญญูต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและบิดามารดาของเราซึ่งเป็นผู้มีพระเดช
พระคุณอันยิ่งใหญ่"
3.5 มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย สาเหตุอีกประการของการทุจริต คือ การมีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย
ทำให้ต้องเป็นหนี้สิน เมื่อไม่สามารถหาเงินได้โดยทางสุจริตก็ใช้วิธีทุจริต กรณีตัวอย่างสำหรับข้าราชการที่มี
เงินเดือนและรายได้ไม่พอกับรายจ่ายของตนเองและครอบครัว จึงต้องฉ้อราษฎร์บังหลวง การฉ้อราษฎร์บังหลวง
ก็โดยการเรียกร้องผลตอบแทนจากผู้มารับบริการหรือการรับสินบนเป็นการโกงเงินประชาชน ส่วนการบังหลวง
คือ การทุจริตเงินหลวง เช่น ยักยอกเงินที่จะต้องส่งให้หลวงหรือเบิกเงินเกินกว่าที่มีสิทธิจะเบิกได้เป็นการโกง
เงินแผ่นดิน หรือแม้แต่ผู้ที่ทำงานเอกชน ติดการพนัน หรือมีการใช้จ่ายเงินเกินฐานะ และยิ่งสถานการณ์ของการ
แพร่ระบาดของบัตรเครดิตทำให้ขาดสติ ยับยั้งชั่งใจ ใช้จ่ายเงินเกินตัว ทำให้มีหนี้สินที่ไม่สามารถนำมาคืน
หรือผ่อนส่งได้ จึงเกิดความคิดชั่ววูบหรือความตั้งใจในการก่อคดีต่าง ๆ เช่น การปล้นร้านทอง หรือบางราย
ไม่มีทางออกในการแก้ไขปัญหาใช้วิธีการดับชีวิตตนเองเป็นการแก้ไขปัญหา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจาก
ความอยากได้อยากมีอยากเป็นทั้งสิ้น ฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติตนโดยการเดินตามรอยพระยุคลบาท และนำ
คุณธรรม 4 ประการตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัซกาลที่ 9) ตรงกับหลักธรรมของ
พระพุทธศาสนา เรื่อง ฆราวาสธรรม เป็นหลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ มี 4 ประการ คือ
1) สัจจะ ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ความจริง คือ จริงใจ พูดจริง ทำจริง
2) ทมะ การข่มใจ รู้จักควบคุมจิตใจของตนเอง ปรับปรุงตนเองให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา
3) ขันติ ความอดทน อดกลั้น ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวไม่ท้อถอย
4) จาคะ ความเสียสละ เสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม สละความสุขสบาย
ของตนในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม เช่น ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะร่วมมือช่วยเหลือเอื้อเสื้อ เผื่อแผ่ ไม่คับ
แคบเห็นแก่ตนหรือเอาแต่ใจตัว
ดังนั้น ความซื่อสัตย์สุจริตของทุกคนในชาติจำเป็นจะต้องให้ความร่วมมือและให้กระบวนการ
มีส่วนร่วมของคนในสังคม ทั้งนี้ สามารถแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1) ภาครัฐ ต้องบริหารทรัพยากรสังคมที่โปร่งใส ซื่อตรง เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
และสมรรถนะสูงในการนำบริการของรัฐที่มีคุณภาพไปสู่ประชาชน โดยเน้นการเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม และ
วิธีทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ถือเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นจุดหมายในการทำงาน และสามารถ
ร่วมทำงานกับประชาชน และภาคเอกชนได้อย่างราบรื่น
2) ภาคธุรกิจเอกชน ต้องสนับสนุนให้หน่วยงานของเอกชน และองค์กรเอกชนต่าง ๆ
มีกติกาการทำงานที่โปร่งใส มีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ชื่อตรงเป็นธรรมต่อลูกค้า มีความรับผิดชอบต่อสังคม
มีระบบตรวจสอบที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานการให้บริการร่วมทำงานกับภาครัฐและประชาชนอย่างราบรื่น
และไว้วางใจซึ่งกันและกัน
3) ภาคประชาชน ต้องสร้างความตระหนักตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลถึงระดับกลุ่มประชาสังคม
ในเรื่องสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อเป็นพลังของประเทศที่มีคุณภาพ
มีความรู้ ความเข้าใจในหลักการของการสร้างกลไกการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี
การทุจริตคอร์รัปชันอาจมาจากสาเหตุภายในหรือสาเหตุภายนอก โดยที่ผู้ทุจริตส่วนใหญ่
จะขาดคุณธรรม อันได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป ความกตัญญูกตเวที
เป็นต้น และอาจจะมีปัจจัยอื่นที่ก่อให้เกิดการทุจริตได้ เช่น
1. ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ พฤติกรรมส่วนตัวของข้าราชการบางคนที่เป็นคนโลภมาก เห็นแก่ได้
ไม่รู้จักพอ ความเคยชินของข้าราชการที่คุ้นเคยกับการที่จะได้ "ค่าน้ำร้อนน้ำชา" หรือ "เงินใต้โต๊ะ"จากผู้มา
ติดต่อราชการขาดจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม
2. ปัจจัยภายนอก ประกอบด้วย
2.1 ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ รายได้ของข้าราชการน้อยหรือต่ำมากไม่ได้สัดส่วนกับการครองชีพ
ที่สูงขึ้น การเติบโตของระบบทุนนิยมที่เน้นการบริโภค สร้างนิสัยการอยากได้ อยากมีเมื่อรายได้ไม่เพียงพอ
ก็ต้องหาทางใช้อำนาจไปในทางทุจริต
2.2 ด้านสังคม เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมทำให้เกิดความ
ไม่เท่าเทียมกัน ค่านิยมของสังคมที่ยกย่องคนมีเงิน คนร่ำรวย และไม่สนใจว่าเงินนั้นได้มาอย่างไรเกิดลัทธิ
เอาอย่าง อยากได้สิ่งที่คนรวยมี เมื่อเงินเดือนของตนไม่เพียงพอก็หาโดยวิธีมิชอบ
2.3 ด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การนิยมจ่ายเงินของนักธุรกิจให้กับข้าราชการที่ต้องการความสะดวก
รวดเร็ว หรือการบริการที่ดีกว่าด้วยการลดต้นทุนที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบ
2.4 ด้านการเมือง ได้แก่ กรทุจริตของข้าราชการแยกไม่ออกจากนักการเมืองการร่วมมือ
ของคนสองกลุ่มนี้เกิดขึ้นได้ในประเด็นการใช้จ่ายเงิน การหารายได้ และการตัดสินพิจารณาโครงการของรัฐ
2.5 ด้านระบบราชการ ได้แก่
2.5.1 ความบกพร่องในการบริหารงานเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริต
2.5.2 การใช้ดุลพินิจมากและการผูกขาดอำนาจจะทำให้อัตราการทุจริตในหน่วยงานสูง
การใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมและมีความโลภเห็นแก่เงิน
2.5.3 เนื่องจากขั้นตอนของระเบียบราชการมีมากเกินไป ทำให้ผู้ที่ไปติดต่อราชการจะต้อง
เสียเวลามากจึงเกิดการสมยอมกันระหว่างผู้ให้กับผู้รับ
2.5.4 การตกอยู่ใต้สภาวะแวดล้อมและอิทธิพลของผู้ทุจริตมีทางเป็นไปได้ที่ผู้นั้นจะทำ
การทุจริตด้วย
2.5.5 การรวมอำนาจ ระบบราชการมีลักษณะที่รวมศูนย์ ทำให้ไม่มีระบบตรวจสอบ
ที่เป็นจริงและมีประสิทธิภาพ
2.5.6 ตำแหน่งหน้าที่ในลักษณะอำนวยต่อการกระทำผิด เช่น อำนาจในการอนุญาต
การอนุมัติจัดซื้อจัดจ้าง ผู้ประกอบการเอกชนมักจะยอมเสียเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความสะดวก
และรวดเร็ว
2.5.7 การที่ข้าราชการผู้ใหญ่ทุจริตให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วไม่ถูกลงโทษข้าราชการ
ชั้นผู้น้อยจึงเลียนแบบกลายเป็นความเคยชิน และมองไม่เห็นว่าการกระทำเหล่านั้นจะเป็นการคอร์รัปชัน
หรือมีความสับสนระหว่างสินน้ำใจกับคอร์รัปชันแยกออกจากกัน
2.6 กฎหมายและระเบียบ ได้แก่
2.6.1 กฎหมายหลายฉบับที่ใช้อยู่ยังมี "ช่องโหว่" ที่ทำให้เกิดการทุจริตที่ดำรงอยู่ได้
2.6.2 การทุจริตไม่ได้เป็นอาชญากรรมให้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย หาพยานหลักฐานได้ยาก
ยิ่งกว่านั้น คู่กรณีทั้งสองฝ่ายมักไม่ค่อยมีฝ่ายใดยอมเปิดเผยออกมา และถ้าหากมีฝ่ายใดต้องการที่จะเปิดเผย
ความจริงในเรื่องนี้ กฎหมายหมิ่นประมาทก็ยับยั้งเอาไว้ อีกทั้งกฎหมายของทุกประเทศเอาผิดกับบุคคลผู้ให้
สินบนเท่า ๆ กับผู้รับสินบน จึงไม่ค่อยมีผู้ให้สินบนรายใดกล้าดำเนินคดีกับผู้รับสินบน
2.6.3 ราษฎรที่รู้เห็นการทุจริตก็เป็นโจทก์ฟ้องร้องมิได้ เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหาย
ยิ่งกว่านั้นกระบวนการพิจารณาพิพากษายังยุ่งยากซับซ้อนจนกลายเป็นผลดีแก่ผู้ทุจริต
2.6.4 ขั้นตอนทางกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติยุ่งยาก ซับซ้อน มีขั้นตอนมาก ทำให้เกิด
ช่องทางให้ข้าราชการหาประโยชน์ได้
2.7 การตรวจสอบ ได้แก่
2.7.1 ภาคประชาชนขาดความเข้มแข็ง ทำให้กระบวนการต่อต้านการทุจริตจากฝ่าย
ประชาชนไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร
2. 7.2 การขาดการควบคุมตรวจสอบ ของหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบหรือกำกับดูแล
อย่างจริงจัง
2.8 สาเหตุอื่น ๆ
2.8.1 อิทธิพลของผู้ใกล้ชิด เนื่องจากผู้ใกล้ชิดเป็นตัวการสำคัญที่สนับสนุนและส่งเสริม
ให้ผู้มีอิทธิพลทำการทุจริตเพื่อความเป็นอยู่ของครอบครัว
2.8.2 การพนันทำให้ข้าราชการที่เสียพนันมีแนวโน้มจะทุจริตมากขึ้น
4. ระดับการทุจริตในประเทศไทย
ผลสำรวจเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านปัญหาคอร์รัปชันประจำปี 2560 ซึ่งจัดทำโดยองค์กร
เพื่อความโปร่งใส Transparency Internationa ที่ตั้งอยู่ในเยอรมนี ชี้ว่า ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ
ยังคงประสบปัญหาในการปราบปรามคอร์รัปชัน รวมทั้ง ออสเตรเลีย และ สหรัฐฯซึ่งอยู่ที่อันดับ 13 และ 16
ตามลำดับ สำหรับประเทศไทยจัดให้อยู่ที่อันดับ 96 ของโลกส่วนระดับการทุจริตในประเทศไทยแบ่งออกเป็น
4.1 การทุจริตระดับชาติ เป็นรูปแบบการทุจริตของนักการเมืองที่ใช้อำนาจในการบริหารราชการ
รวมถึงอำนาจนิติบัญญัติ เป็นเครื่องมือในการออกกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย การออกนโยบายต่าง ๆ โดยการ
อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย
4.2 การทุจริตในระดับท้องถิ่น การบริหารราชการในรูปแบบท้องถิ่นเป็นการกระจายอำนาจเพื่อให้
บริการต่าง ๆ ของรัฐสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น แต่การดำเนินการในรูปแบบของ
ท้องถิ่นก็ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตเป็นจำนวนมาก ผู้บริหารท้องถิ่นจะเป็นนักการเมืองที่อยู่ในท้องถิ่นนั้น
หรือนักธุรกิจที่ปรับบทบาทตนเองมาเป็นนักการเมือง และเมื่อเป็นนักการเมืองเป็นผู้บริหารท้องถิ่นแล้วก็เป็น
โอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนเองและพวกพ้องได้
การทุจริตระดับชาติและระดับท้องถิ่นส่วนใหญ่มักจะมีรูปแบบการทุจริตที่คล้ายกัน เช่น
การจัดซื้อจัดจ้าง การประมูล การซื้อขายตำแหน่ง โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่มีข่าวจำนวนมากเกี่ยวกับผู้บริหาร
ท้องถิ่นเรียกรับผลประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง หรือเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น โดยการทุจริตที่เกิดขึ้น
อาจจะไม่ใช่การทุจริตที่เป็นตัวเงินให้เห็นได้ชัดเจนเท่าใด แต่จะแฝงตัวอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ หากไม่พิจารณาให้ดีแล้ว
อาจมองได้ว่าการกระทำดังกล่าวไม่ใช่การทุจริต แต่แท้จริงแล้วการกระทำนั้นเป็นการทุจริตอย่างหนึ่ง และ
ร้ายแรงมากพอที่จะส่งผลกระทบ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติได้เช่นกัน การประเมิน
ผลการปฏิบัติงาน ซึ่งผู้บังคับบัญชาให้คะแนนประเมินพิเศษแก่ลูกน้องที่ตนเองชอบ ทำให้ได้รับเงินเดือนในอัตรา
ที่สูงกว่าความเป็นจริงที่บุคคลนั้นควรจะได้รับ เป็นต้น การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดทางวินัย ซึ่งเจ้าหน้าที่
ของรัฐจะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือนให้ยึดถือปฏิบัติอยู่แล้ว ซึ่งหากเกิดกรณี
ดังกล่าวขึ้นเท่ากับว่าเป็นการกระทำที่ทุจริตและประพฤติผิดประมวลจริยธรรมอีกด้วย
5. สถานการณ์การทุจริตของโลก
องค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ได้เผยแพร่รายงาน
ผลการจัดอันดับความโปร่งใส สถนการณ์คอร์รัปชันจากทั่วทุกมุมโลกในปี 2018 ที่ ผ่านมา พร้อมค่าคะแนน
ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perception Index) ผลการจัดอันดับความโปร่งใสสถานการณ์
คอร์รัปชันสะท้อนให้เห็นว่าความพยายามการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศส่วนใหญ่ล้มเหลวจึงส่งผลต่อ
วิกฤติประชาธิปไตยทั่วโลก การจัดอันดับความโปร่งใสสถานการณ์คอร์รัปชันในปี 2561 ได้จากการสำรวจถึง
13 ครั้ง และสอบถามผู้เชี่ยวชาญในการประเมินการคอร์รัปชันในภาครัฐใน 180 ประเทศและเขตการปกครอง
ทั่วโลก โดยให้คะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 100 คะแนน โดยผลการจัดอันดับความโปร่งใสสถานการณ์คอร์รัปชัน
พบว่า 2 ใน 3 ของประเทศทั้งหมดมีคะแนนต่ำกว่า 50 คะแนน โดยมีคะแนนเฉลี่ย 43 คะแนนเท่านั้นและ
ยังคงมี 7 ประเทศที่มีคะแนนสูงสุดอันดับแรกเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ประกอบด้วย ประเทศจากกลุ่มนอร์ดิก
อีก 4 ประเทศ คือเดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน และนอร์เวย์ ที่เหลือคือ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และสวิตเซอร์แลนด์
มีคะแนนระหว่าง 84 - 88 คะแนน แม้ไม่มีประเทศไหนที่ได้คะแนนเต็ม แต่ก็มีตัวขี้วัดความเป็นประชาธิปไตย
หลายตัวที่มีผลต่อคะแนน เช่น มีสถาบันที่เข้มแข็ง ยึดหลักนิติธรรม และมีการพัฒนาเศรษฐกิจที่ดี
การวิเคราะห์การจัดอันดับความโปร่งใสพบว่าคอร์รัปชันมีผลต่อวิกฤติประชาธิปไตยประเทศที่มี
ประชาธิปไตยเต็มใบ มีคะแนนเฉลี่ย 75 คะแนน ประเทศที่ประชาธิปไตยครึ่งใบ มีคะแนนเฉลี่ย 49 คะแนน
ส่วนประเทศที่มีการปกครองระบบอบผสมผสาน มีคะแนนเฉลี่ย 35 คะแนน ส่วนประเทศเผด็จการมีคะแนน
เฉลี่ย 30 คะแนน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าคอร์รัปชันมีผลต่อวิกฤติประชาธิปไตย คือ ประเทศฮังการีและตุรกี
ที่คะแนนลดลง 8 และ 9 คะแนนตามลำดับในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ตุรกีถูกลดชั้นการจัดอันดับ
จากมีอิสระส่วนหนึ่ง (partly free) เป็นไม่มีอิสระ (no free) ส่วนฮังการีนับเป็นการได้คะแนนต่ำสุด
นับตั้งแต่การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ สหรัฐฯ มีคะแนน 71 คะแนน ลดลง 4 คะแนน นับตั้งแต่ปีก่อน
และหลุดออกจาก 20 ประเทศที่มีคะแนนสูงสุดเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นผลจากระบบการตรวจสอบกำลังสั่นคลอน
รวมทั้งมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้มีอำนาจสูงสุดตกต่ำบราชิลมีคะแนน 35 ซึ่งลดลงตั้งแต่ปีก่อน และเป็นระดับ
ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ซึ่งการจัดอันดับที่ลดลง แสดงให้เห็นว่าหลักนิติธรรมและสถาบันประชาธิปไตยอ่อนแอลง
รวมทั้งพื้นที่ของภาคประชาสังคมและของสื่ออิสระก็ลดลงอย่างรวดเร็วในประเทศเหล่านี้ โดยทั่วไปประเทศที่มี
คอร์รัปชันสูงเป็นสถานที่ที่อันตรายต่อฝ่ายการเมืองที่อยู่ตรงข้าม และมักมีการสั่งเก็บทางการเมืองจากรัฐบาล
โดยตรง
แพตทริเชีย โมเรรา กรรมการผู้จัดการองค์กรความโปร่งใสสากล ให้ความเห็นว่า สถาบันประชาธิปไตย
ทั่วโลกถูกคุกคาม ซึ่งมักมาจากผู้นำที่มีอำนาจหรือได้รับความนิยม เราจึงต้องเพิ่มความพยายามให้มากขึ้น
ในการสร้างความเข้มแข็งของระบบคานอำนาจและตรวจสอบ รวมทั้งคุ้มครองสิทธิของประชาชน
นอกจากนี้ คอร์รัปชันทำให้ประชาธิปไตยอ่อนแอลงและสร้างวงจรอุบาทว์ซึ่งคอร์รัปชัน
จะทำลายสถาบันประชาธิปไตย ทำให้สถาบันที่อ่อนแอไม่สามารถควบคุมการคอร์รัปชันได้
สำหรับประเทศไทยได้ 36 คะแนน ติดอันดับ 99 จากปีก่อนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นิวซีแลนด์
มีคะแนนสูงสุดที่ 87 คะแนน เป็นประเทศอันดับหนึ่งของภูมิภาคและอันดับสองของโลกที่เดินหน้าแก้ไข
คอร์รัปชัน รองลงมาคือ สิงคโปร์ ที่มีคะแนน 85 คะแนน และออสเตรเลียที่มีคะแนน 77 คะแนนประเทศที่มี
คะแนนต่ำ คือ เกาหลีเหนือ 14 คะแนน เพราะมีการคอร์รัปชันกันทั่วประเทศ ตามมาด้วยอัฟกานิสถาน
16 คะแนน และกัมพูชา 20 คะแนน กลายเป็นประเทศที่มีการแก้ไขคอร์รัปชันน้อยที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
แปซิฟิกมีคะแนนเฉลี่ย 44 ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี เพราะมีความคืบหน้าน้อยในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน
และเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นแล้วเอเชียแปซิฟิกอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มอเมริกาที่มีคะแนนเฉลี่ย
44 คะแนนเท่ากัน ที่ไม่มีความคืบหน้า และตามหลังยุโรปตะวันตกกับสหภาพยุโรปที่มีคะแนนเฉลี่ย
66 คะแนน สาเหตุที่เอเชียแปซิฟิกมีความคืบหน้าน้อยในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน คือ สถาบันประชาธิปไตย
และการคุ้มครองทางการเมืองโดยรวมอ่อนแอ เมื่อดูนิวซีแลนด์และออสเตรเลียที่มีคะแนนนำพบว่ามีระบบ
การเมืองที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง ช่วยให้มีคะแนนสูง อย่างไรก็ตาม มีบางประเทศในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง
ที่มีการควบคุมการคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพ แม้โดยรวมแล้วไม่เป็นประชาธิปไตย
สำหรับประเทศที่ต้องจับตา เพราะมีการพัฒนาทางการเมืองที่ดีขึ้น ได้แก่ มาเลเซียที่ได้
คะแนน 47 คะแนน มัลดีฟส์ 31 คะแนน ปากีสถาน 33 คะแนน และอินเดีย 41 คะแนน เป็นผลจากการ
รวมพลังของประชาชนในการต่อต้านคอร์รัปชันและการมีส่วนร่วมทางการเมือง และการลงคะแนนให้กับ
รัฐบาลใหม่ ซึ่งจะมีผลให้มีการปฏิรูปการแก้ไขคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน
องค์กรความโปร่งสากลเสนอแนะว่า เพื่อให้มีความคืบหน้าในการแก้ไขคอร์รัปชันและเสริมสร้าง
ประชาธิปไตยให้เข้มแข็งทั่วโลก รัฐบาลควรดำเนินการต่อไปนี้ คือ
5.1 เสริมความเข้มแข็งของสถาบันในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจทางการเมือง และ
ปฏิบัติงานอย่างไม่มีข้อจำกัด
5.2 ปิดช่องว่างระหว่างกฎหมายการต่อต้านคอร์รัปชันในการปฏิบัติงานและการบังคับใช้
5.3 สนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม ด้วยการย้ำความสัมพันธ์ทางการเมืองและสาธารณะใน
การตรวจสอบการใช้จ่ายของรัฐ โดยเฉพาะระดับท้องถิ่น
5.4 สนับสนุนอิสรภาพของสื่อ และดูแลความปลอดภัยของสื่อ โดยไม่มีการข่มขู่คุกคาม
6. ผลกระทบของการทุจริตต่อการพัฒนาประเทศ
การทุจริตมีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้านเป็นพื้นฐานที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
ของคนในชาติ จากการเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศ ประชาชนได้รับบริการสาธารณะ
หรือสิ่งอำนวยความสะดวกไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น เงินภาษีของประชาชนตกไปอยู่ในกระเป๋าของผู้ทุจริต
และผลกระทบอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้แล้ว หากพิจารณาในแง่การลงทุนจากต่างประเทศเพื่อประกอบ
กิจการต่าง ๆ ภายในประเทศ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศจะมองว่าการทุจริตถือว่าเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง
ซึ่งนักลงทุนจากต่างประเทศจะใช้เป็นการพิจารณาการลงทุนประกอบกับปัจจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ หากต้นทุน
ที่ต้องเสียจากการทุจริตมีต้นทุนที่สูง นักลงทุนจากต่างประเทศอาจพิจารณาตัดสินใจการลงทุนไปยังประเทศอื่น
ส่งผลให้การจ้างงานการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนลดลง เมื่อประชาชนมีรายได้ลดลงก็จะส่งผลต่อการจัดเก็บ
ภาษีอากรซึ่งเป็นรายได้ของรัฐลดลง จึงส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณและการพัฒนาประเทศ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยจากกลุ่มตัวอย่าง 2,400
ตัวอย่าง จากประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการภาคเอกชน และข้าราชการ/ภาครัฐ เมื่อเดือนมิถุนายน 2559
พบว่า หากเปรียบเทียบความรุนแรงของปัญหาการทุจริตในปัจจุบันกับปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้ที่ตอบว่ารุนแรง
เพิ่มขึ้นมี 389 รุนแรงเท่าเดิม 30% ส่วนสาเหตุการทุจริตอันดับหนึ่ง คือ กฎหมายเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้
ดุลพินิจที่เอื้อต่อการทุจริต อันดับสอง ความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย อันดับสาม กระบวนการ
ทางการเมืองขาดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ยาก ส่วนรูปแบบการทุจริตที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด อันดับหนึ่ง คือ
การให้สินบน ของกำนัล หรือรางวัล อันดับสอง คือ การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว
และอันดับสาม คือ การใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก
สำหรับความเสียหายจากการทุจริตโดยการประเมินจากงบประมาณรายจ่ายปี 2559 ที่ 2.72
ล้านล้านบาทว่า แม้จะมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะ แต่อัตราการจ่ายอยู่ที่เฉลี่ย 1 - 15% โดยหากจ่ายที่ 5%
ความเสียหายจะอยู่ที่ 59,610 ล้านบาท หรือ 2.19% ของงบประมาณ และมีผลทำให้อัตราการเติบโต
ทางเศรษฐกิจลดลง 0.42% แต่หากจ่ายที่ 15% คิดเป็นความเสียหาย 178,830 ล้านบาท หรือ 6.57%
ของเงินงบประมาณ และมีผลทำให้เศรษฐกิจลดลง 1.27% โดยการลดการเรียกเงินสินบนลงทุก ๆ 1% จะทำให้
มูลค่าความเสียหายจากการทุจริตลดลง 10,000 ล้านบาท
ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทยจะมีหน่วยงานหลักที่ดำเนินการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริต คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน
ป.ป.ช.)
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่นที่มีภารกิจในลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกับสำนักงาน ป.ป.ช. เช่น
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตในภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการ
ทุจริตอีกหลายหน่วยงาน และสำหรับหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการประกาศใช้ยุทธศาสตร์
ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) เพื่อเป็นมาตรการ
แนวทางการดำเนินงานทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน
7. ทิศทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ประเทศไทยได้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการทุจริตมาอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความร่วมมือ
ทั้งหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของเอกชน และภาคประชาชนในการร่วมมือป้องกันและปราบปรามการทุจริต
รวมถึงได้มีการออกกฎหมายลงโทษผู้ที่กระทำความผิด มีการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
เพื่อทำหน้าที่ในการดำเนินคดีกับบุคคลที่ทำการทุจริต นอกจากนี้ยังได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วย
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ 3 มีกำหนดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 - 2564
โดยมีวิสัยทัศน์ว่า "ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต (Zero Tolerance & Clean Thailand)
และมีพันธกิจ คือ สร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต ยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกภาคส่วน
แบบบูรณาการ และปฏิรูปกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งระบบให้มีมาตรฐานสากล
โดยมีรายละเอียดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3(พ.ศ. 2560 - 2564)
ยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ จำนวน 6 ยุทธศาสตร์ เป็นการ
ดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งระบบ ตั้งแต่การป้องกันการทุจริตโดยใช้กระบวนการปลูกฝัง
คุณธรรมจริยธรรม ผ่านกิจกรรมและการเรียนการสอน รวมถึงการป้องกันการทุจริตเชิงระบบ นอกจากนี้
รวมไปถึงการดำเนินการในส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินที่เป็นการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและ
หนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าจะมีแนวทางในการดำเนินงานอย่างไร และด้านการปราบปรามการทุจริต เพื่อให้
การดำเนินการด้านปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับค่า CPI ให้ได้
คะแนน 50 คะแนน ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยมีรายละเอียดแต่ละยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 : สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต มีวัตถุประสงค์ในการปรับฐานความคิด
ทุกช่วงวัยให้มีค่านิยมร่วมต้านทุจริต มีจิตสำนึกสาธารณะและสามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน
และผลประโยชน์ส่วนรวม และสร้างกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
อย่างเป็นระบบ รวมถึงการบูรณาการและเสริมพลังการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการผลักดันให้เกิดสังคม
ที่ไม่ทนต่อการทุจริต
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : กระดับเจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต มีวัตถุประสงค์
เพื่อให้เจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตของประชาชนได้รับการปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
และเพื่อรักษาเจตจำนงทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาการทุจริตให้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลในแต่ละช่วง
ยุทธศาสตร์ที่ 3 : สกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กระบวนการ นโยบาย
เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล สามารถกระจายผลประโยชน์สู่ประชาชนอย่างเป็นธรรม และไม่มีลักษณะ
ของการขัดกันแห่งผลประโยชน์และเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตเชิงนโยบายทุกระดับ
ยุทธศาสตร์ที่ 4 : พัฒนาระบบป้องกันการทุจริตเชิงรุก มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากลไกการ
ป้องกันการทุจริตให้เท่าทันต่อสถานการณ์การทุจริต พัฒนากระบวนการทำงานด้านการป้องกันการทุจริตให้
สามารถป้องกันการทุจริตให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในการบูรณาการการทำงานระหว่าง
องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการทุจริต และเป็นการป้องกันไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในอนาคต
ยุทธศาสตร์ที่ 5: ปฏิรูปกลไกและกระบวนการปราบปรามการทุจริต มีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุง
และพัฒนากลไกและกระบวนการปราบปรามการทุจริตให้มีความรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และเท่าทันต่อพลวัตของ
การทุจริตการตรากฎหมาย และปรับปรุงกฎหมายให้กระบวนการปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพบูรณาการ
กระบวนการปราบปรามการทุจริตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ และเพื่อให้ผู้กระทำความผิดถูกดำเนินคดี
และลงโทษอย่างเป็นรูปธรรมและเท่าทันต่อสถานการณ์
ยุทธศาสตร์ที่ 6 : ยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคะแนน
ดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยให้มีระดับร้อยละ 50 ขึ้นไป เป็นเป้าหมายที่ต้องการยกระดับคะแนน
ให้มีค่าสูงขึ้น หากได้รับคะแนนมากจะหมายถึงการที่ประเทศนั้นมีการทุจริตน้อย ดังนั้น ยุทธศาสตร์
ที่ 6 นี้ จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญในการที่จะต้องมุ่งมั่นในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
8. กรณีตัวอย่างผลที่เกิดจากการทุจริต
องค์กรบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่ง ได้จ้างเหมาให้สร้างระบบประปาหมู่บ้าน ในราคา 400,000 บาท
โดยมีบริษัทแห่งหนึ่งเสนอราคาต่ำสุดเป็นผู้ได้รับเลือกให้ก่อสร้างดังกล่าว องค์การบริหารส่วนตำบล ได้มีคำสั่ง
แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจการจ้าง มีนาย ก. ประธานคณะกรรมการ นาย ข. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล
เป็นกรรมการ และมีผู้แทนประชาคมหมู่บ้านอีก 2 คน เป็นกรรมการร่วม โดยมี นาย ค. หัวหน้าส่วนโยธา
เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่ง นาย ก. นาย ข. และ นาย ค. ได้ร่วมกันเรียกรับเงินจากบริษัทดังกล่าว จำนวน
10 เปอร์เซ็นต์ ของวงเงินค่าจ้างก่อสร้าง ประมาณ 40,000 บาท บริษัทได้ขอต่อรองเหลือ 20,000 บาท และ
ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้วางแผนจับกุม นาย ก. พร้อมคณะ ได้พร้อมของกลาง เป็นเงินสด 20,000 บาท
การเรียกรับเงินเปอร์เซ็นต์จากค่าจ้าง เป็นการคอร์รัปชันอย่างหนึ่งในวงการราชการ
จัดทำโดย...นางภานิษา เชื้อเมืองพาน