ระดับ ม.ปลาย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
บทที่ 1
การคิดแยกแยะระหวางผลประโยชนสวนตนกับผลประโยชนสวนรวม
เรื่องที่ 4 การคิดเป็น
ในชีวิตประจำวันทุกคนต้องเคยพบกับปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเอารัดเอาเปรียบ การงานการเงิน หรือแม้แต่การเล่นกีฬาหรือปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาขัดแย้งของเด็ก หรือปัญหาการแต่งตัวไปงานต่าง ๆเป็นต้น เมื่อเกิดปัญหาก็เกิดทุกข์ แต่ละคนก็จะมีวิธีแก้ไขปัญหา หรือแก้ทุกข์ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไปซึ่งแต่ละคน แต่ละวิธีการอาจเหมือนหรือต่างกัน และอาจให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความเชื่อ ความรู้ ความสามารถและประสบกรณ์ของบุคคลนั้น หรืออาจะขึ้นอยู่กับทฤษฎีและหลักการของความเชื่อที่ต่างกัน เหล่านั้น
1. ปรัชญา "คิดเป็น" อยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า ความต้องการของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนมีจุดรวมของความต้องการที่เหมือนกัน คือ ความสุข คนเราจะมีความสุขเมื่อตนเองและสังคมสิ่งแวดล้อมประสมกลมกลืนกันได้ โดยการปรับตัวเราเองให้เข้ากับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม หรือโดยการปรับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับตัวเรา หรือปรับทั้งตัวเราและสิ่งแวดล้อมให้ประสมกลมกลืนกัน หรือเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับตน คนที่สามารถทำได้เช่นนี้เพื่อให้ตนเองมีความสุขนั้น จำเป็นต้องเป็นผู้มีการคิด
สามารถคิดแก้ปัญหา รู้จักตนเอง รู้จักสังคมและสิ่งแวดล้อม และมีองค์ความรู้ที่จะนำมาคิดแก้ปัญหาได้จึงจะเรียกได้ว่าผู้นั้นเป็นคนคิดเป็น
"คิดเป็น" เป็นคำไทยสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่ ดรโกวิท วรพิพัฒน์ ใช้เพื่ออธิบายถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของคนในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รุนแรงและซับซ้อนได้อย่างปกติสุข"คิดเป็น" มาจากความเชื่อพื้นฐานเบื้องต้นที่ว่า คนมีความแตกต่างกันเป็นธรรมดาแต่ทุกคนมีความต้องการสูงสุดเหมือนกันคือความสุขในชีวิต อย่างไรก็ตามสังคม สิ่งแวดล้อมไม่ได้หยุดนิ่งแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงอยู่ตลอดเวลาก่อให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ความไม่สบายกายไม่สบายใจขึ้นได้เสมอกระบวนการปรับตนเองกับสังคมสิ่งแวดล้อมให้ผสมกลมกลืนจึงต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและทันการ คนที่จะทำได้เช่นนี้ต้องรู้จักคิด รู้จักใช้สติปัญญา รู้จักตัวเองและธรรมชาติ สังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดีสามารถแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างหลากหลายและพอเพียงอย่างน้อย 3 ประการ คือ ข้อมูลทางวิชาการข้อมูลทางสังคม
สิ่งแวดล้อม และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตนเอง มาเป็นหลักในการวิเคราะห์ปัญหา เพื่อเลือกแนวทางการตัดสินใจที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา หรือสภาพการณ์ที่เผชิญอยู่อย่างรอบคอบ จนมีความพอใจแล้วก็พร้อมจะรับผิดชอบการตัดสินใจนั้นอย่างสมเหตุสมผล เกิดความพอดีความสมดุลในชีวิตอย่างสันติสุข เรียกได้ว่า"คนคิดเป็น"กระบวนการคิดเป็น อาจสรุปตามผังได้ดังนี้
จากแผนภูมิดังกล่าวนี้ จะเห็นว่า คิดเป็นหรือกระบวนการคิดเป็นนั้นจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ประกอบด้วยการคิด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลประเภทต่าง ๆ ไม่ใช่การเรียนรู้จากหนังสือหรือลอกเลียนจากตำรา หรือรับฟังการสอนการบอกเล่าของครูแต่เพียงอย่างเดียว
2. ข้อมูลที่นำมาประกอบการคิด การวิเคราะห์ต่าง ๆ ต้องหลากหลาย เพียงพอ ครอบคลุมอย่างน้อย 3 ด้าน คือ ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง และข้อมูลเกี่ยวกับสังคมสิ่งแวดล้อม
3. ผู้เรียนเป็นคนสำคัญในการเรียนรู้ ครูเป็นผู้จัดโอกาสและอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้
4. เรียนรู้จากวิถีชีวิตจากธรมชาติและภูมิปัญญา จากประสบการณ์และการปฏิบัติจริงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. กระบวนการเรียนรู้เป็นระบบเปิดกว้าง รับฟังความคิดของผู้อื่นและยอมรับความเป็นมนุษย์ที่ศรัทธาในความแตกต่างระหว่างบุคคล ดังนั้น เทคนิคกระบวนการที่นำมาใช้ในการเรียนรู้จึงมักจะเป็นวิธีการสานเสวนา การอภิปรายถกแถลง กลุ่มสัมพันธ์เพื่อกลุ่มสนทนา
6. กระบวนการคิดเป็นนั้น เมื่อมีการตัดสินใจลงมือปฏิบัติแล้วจะเกิดความพอใจ มีความสุขแต่ถ้าลงมือปฏิบัติแล้วยังไม่พอใจก็จะมีสติ ไม่ทุรนทุราย แต่จะกลับย้อนไปหาสาเหตุแห่งความไม่สำเร็จไม่พึงพอใจกับการตัดสินใจดังกล่าว แล้วแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อหาทางเลือกในการแก้ปัญหา แล้วทบทวนการตัดสินใจใหม่จนกว่าจะพอใจกับการแก้ปัญหานั้น
"คิดเป็น" เป็นคำเฉพาะที่หมายรวมทุกอย่างไว้ในตัวแล้ว เป็นคำที่บูรณาการเอาการคิด การกระทำการแก้ปัญหา ความเหมาะสม ความพอดี ความเชื่อวัฒนธรรม ประเพณี คุณธรรม จริยธรรม มารวมไว้ในคำว่า"คิดเป็น" หมดแล้ว นั่นคือ ต้องคิดเป็น คิดชอบ ทำเป็น ทำชอบ แก้ปัญหาได้อย่างมีคุณธรรมและความรับผิดชอบ
ไม่ใช่เพียงแค่คิดอย่างเดียว
กระบวนการเรียนรู้ตามทิศทางของ "คิดเป็น" นี้ ผู้เรียนสำคัญที่สุด ผู้สอนเป็นผู้จัดโอกาส จัดกระบวนการจัดระบบข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้ รวมทั้งการกระตุ้น ให้กระบวนการคิด การวิเคราะห์ได้ ใช้ข้อมูลอย่างหลากหลาย ลึกซึ้ง และพอเพียง นอกจากนั้น "คิดเป็น" ยังครอบคลุมไปถึงการเคารพคุณค่าของความเป็นมนุษย์ของคนอย่างเท่าเทียมกัน การทำตัวเป็นสามัญ เรียบง่าย ไม่มีมุม ไม่มีเหลี่ยม ไม่มีอัตตา ให้เกียรติผู้อื่นด้วยความจริงใจ มองในดี - มีเสีย ในเสีย - มีดี ในขาว - มีดำ ในดำ - มีขาว ไม่มีอะไรที่ขาวไปทั้งหมดและไม่มีอะไรที่ดำไปทั้งหมด มองในส่วนดีของผู้อื่นไว้เสมอ
2. กระบวนการและขั้นตอนการแก้ปัญหาของคนคิดเป็น
คนคิดเป็นเชื่อว่าทุกข์หรือปัญหาเป็นความจริงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ก็สามารถแก้ไขได้ถ้ารู้จักแสวงหาข้อมูลที่หลากหลายและพอเพียงอย่างน้อย 3 ด้าน คือ ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมทางสังคมในวิถีชีวิต วิถีวัฒนธรรมประเพณี วิถีคุณธรรมจริยธรรมและข้อมูลที่เกี่ยวกับตนเอง รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ ซึ่งครอบคลุมถึงการพึ่งพาตนเองและความพอเพียง พอประมาณมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ประกอบการคิดและการตัดสินใจแก้ปัญหา คนคิดเป็นจะเผชิญกับทุกข์หรือปัญหาอย่างรู้เท่าทัน มีสติไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบในการเลือกวิธีการแก้ปัญหาและตัดสินใจแก้ปัญหาตามวิธีการที่เลือกแล้วว่าดีที่สุดก็จะมีความพอใจและเต็มใจรับผิดชอบกับผลการตัดสินใจเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม สังคมในยุคโลกาภิวัตน์เป็นสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรง ปัญหาก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ก็เกิดขึ้น ดำรงอยู่และดับไป
หรือเปลี่ยนโฉมหน้าไปตามกาลสมัย กระบวนทัศน์ในการดับทุกข์ก็ต้องพัฒนารูปแบบให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย กระบวนการดับทุกข์หรือแก้ปัญหาก็จะหมุนเวียนมาจนกว่าจะพอใจอีกเป็นเช่นนี้อยู่อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
กระบวนการแก้ปัญหาแบบคนคิดเป็น อาจแบ่งได้ดังนี้
2.1 ขั้นทำความเข้าใจกับทุกข์และปัญหา คนคิดเป็นเชื่อว่าทุกข์หรือปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นก็แก้ไขได้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา
"ปัญหา" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ข้อสงสัย ความสงสัยสิ่งเข้าใจยาก สิ่งที่ตนไม่รู้หรือคำถาม อันได้แก่ โจทย์ในแบบฝึกหัด หรือข้อสอบเพื่อประเมินผล เป็นต้นปัญหา จะหมายรวมถึง ปัญหาส่วนตัว ปัญหาครอบครัว ปัญหาเพื่อนร่วมงาน ปัญหาจากผู้บังคับบัญชา ปัญหาจากสภาวะสิ่งแวดล้อมและอื่น ๆ
ปัญหาเกิดขึ้นได้ 2 ทาง คือ
1) ปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น เมื่อเศรษฐกิจทรงตัวหรือซบเซา ทำให้รายได้ของเราลดน้อยลงคนในสังคมมีการดิ้นรนแก่งแย่งกัน เอาตัวรอด การลักขโมย จี้ปล้น ฆาตกรรม ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาหลายเรื่องสืบเนื่องมาจากสุขภาพอนามัยภัยจากสิ่งเสพติดหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นต้น
2) ปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายใน คือปัญหาที่เกิดจากกิเลสในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมี 3 เรื่องสำคัญ คือ โลภะ ได้แก่ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นมากขึ้นกว่าเดิม มีการดิ้นรน แสวงหาต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีความพอเพียง เมื่อแสวงหาด้วยวิธีสุจริตไม่ได้ก็ใช้วิธีการทุจริต ทำให้เกิดความไม่สงบไม่สบายกาย ไม่สบายใจ โทสะ ได้แก่ ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาทคนอื่น ความคิดประทุษร้ายคนอื่นโมหะ ได้แก่ ความไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง หลงเชื่อคำโกหก หลอกลวง ชักชวนให้หลงกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำเรื่อง
เสียหาย หลงผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็นต้น
2.2 ขั้นหาสาเหตุของปัญหา ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการแก้ปัญหาเป็นขั้นตอนที่จะวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของปัญหา เป็นตัวต้นตอของปัญหาทั้งที่เป็นต้นเหตุโดยตรง และที่เป็นสาเหตุทางอ้อม ทั้งนี้ ต้องวิเคราะห์จากสาเหตุที่หลากหลายและมีความเป็นไปได้หลาย ๆ ทาง การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาอาจทำได้ง่าย ๆ ใน 2 วิธี คือ
1) การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการนำเอาข้อมูลที่หลากหลายด้านต่าง ๆ มาแยกแยะ และจัดกลุ่มของข้อมูลสำคัญ ๆ เช่น ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สภาวะแวดล้อม วิทยาการใหม่ ๆ นโยบายและทิศทางในการบริหารจัดการ ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยีฯลฯ ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์นี้เมื่อจำแนกแล้ว สาเหตุของปัญหาอาจมาจากข้อมูลอย่างน้อย 3 ประการ คือ
(1) สาเหตุสำคัญมาจากตนเอง จากพื้นฐานของชีวิตตนเองและครอบครัว ความไม่สมดุลของการงานอาชีพที่พึงปรารถนา ปัญหาด้านเศรษฐกิจในครอบครัว ความโลภ โกรธ หลงในใจของตนเองความคับข้องใจในการรักษาคุณธรรม จริยธรรมของตนเอง ฯลฯ
(2) สาเหตุสำคัญมาจากสังคม ชุมชนและสภาวะแวดล้อม ความไม่พึงพอใจต่อพฤติกรรมไม่พึงปรารถนาของเพื่อนร่วมงาน การขาดแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ ชุมชนมีการทะเลาะเบาะแว้งขาดความสามัคคี ฯลฯ
(3) สาเหตุสำคัญมาจากการขาดแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ความเคลื่อนไหวที่เป็นปัจจุบันของวิชาการและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องขาดภูมิปัญญาที่จะช่วยเติมข้อมูลทางปัญญาในการบริหารจัดการฯลฯ
2) การวิเคราะห์สถานการณ์โดยการนำเอาสภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ มาพัฒนาหาคำตอบโดยพยายามหาคำตอบในลักษณะต่อไปนี้ให้มากที่สุด คืออะไร ที่ไหน เมื่อไรเพียงใด เช่น วิธีการอะไรที่ก่อให้เกิดสภาพเหตุการณ์เช่นนี้ สิ่งแวดล้อมอะไรที่ก่อให้เกิดสภาพเหตุการณ์เช่นนี้ บุคคลใดที่ก่อให้เกิดสภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ผลเสียหายเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมจึงมีสาเหตุเช่นนี้เกิดขึ้น ฯลฯจากนั้นจึงกระทำการจัดลำดับความสำคัญของสาเหตุต่าง ๆ คือ หาพลังของสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาทั้งนี้เนื่องจาก
(1) ปัญหาแต่ละปัญหาอาจเป็นผลเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ
(2) ทุกสาเหตุย่อมมีอันดับความสำคัญหรือพลังของสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาในอันดับแตกต่างกัน
(3) ทรัพยากรมีจำกัด ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร เงิน เวลา วัสดุ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาจัดสรรการใช้ทรัพยากรให้ตรงกับพลังที่ก่อปัญหาสูงสุด
2.3 ขั้นวิเคราะห์เสนอทางเลือกของปัญหา เป็นขั้นตอนที่ต้องศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างหลากหลายและทั่วถึง เพียงพอทั้งข้อมูลด้านบวกและด้านลบ อย่างน้อย 3 กลุ่มข้อมูล คือ ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสังคมสิ่งแวดล้อม แล้วสังเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นขึ้นมาเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาหลาย ๆ ทางที่มีความเป็นไปได้ 24 ขั้นการตัดสินใจ เลือกทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดจากทางเลือกทั้งหมดที่มีอยู่เป็นทางเลือกที่ได้วิเคราะห์และสังเคราะห์จากข้อมูลทั้ง 3 ด้านดังกล่าวแล้วอย่างพร้อมสมบูรณ์ บางครั้งทางเลือกที่ดีที่สุดอาจเป็นทางเลือกที่ได้จากการพิจารณาองค์ประกอบที่ดีที่สุดของแต่ละทางเลือก นำมาผสมผสานกันก็ได้
2.5 ขั้นนำผลการตัดสินใจไปสู่การปฏิบัติ เมื่อได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลและไตร่ตรองข้อมูลอย่างรอบคอบพอเพียงและครบถ้วนทั้ง3 ประการแล้ว นับว่าทางเลือกที่ตัดสินใจนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
2.6 ขั้นติดตามประเมินผล เมื่อตัดสินใจดำเนินการตามทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว พบว่ามีความพอใจก็จะมีความสุข แต่ถ้านำไปปฏิบัติแล้วยังไม่พอใจ ไม่สบายใจ ยังขัดข้องเป็นทุกข์อยู่ก็ต้องกลับไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 3 ด้านที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่จนกว่าจะมีข้อมูลที่เพียงพอทำให้การตัดสินใจครั้งนั้น เกิดความพอใจ และมีความสุขกับการแก้ปัญหานั้นอย่างไรก็ตาม สังคมในยุคโลกาภิวัตน์เป็นสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงปัญหาก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ก็เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป หรือเปลี่ยนโฉมหน้าไปตามกาลสมัยกระบวนทัศน์ในการดับทุกข์ก็ต้องพัฒนารูปแบบให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกระบวนการดับทุกข์หรือแก้ปัญหาก็จะหมุนเวียนมาจนกว่าจะพอใจอีกเป็นเช่นนี้อยู่อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
จัดทำโดย...นางภานิษา เชื้อเมืองพาน ตำแหน่ง ครู