การสอนประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 ต้องอาศัยครูผู้รู้ทางประวัติศาสตร์เพื่อจะได้ถ่ายทอดความรู้นั้นมาพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้รู้ทางสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมอย่างสมสมัย เพื่อทันต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัฒน์ นอกจากนี้การจัดการศึกษาประวัติศาสตร์ ในศตวรรษที่ 21 จะต้องเป็นการจัดการศึกษาที่ช่วยเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตให้สงบสุข มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เจริญรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง การสอนประวัติศาสตร์ในยุคนี้จำเป็นต้องให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยความเข้าใจมีทักษะพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่มากเพียงพอ และสามารถนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาต่างๆ ได้ ครูผู้สอนต้องรู้จักดัดแปลงตัวอย่างกิจกรรม แบบฝึกหัด ตลอดจนจัดหาสื่ออุปกรณ์ประกอบการสอนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง พร้อมทั้งสอน คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็นเสียสละเพื่อส่วนรวมมีน้ำใจและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 

ปัจจุบันการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนเมืองสมเด็จจากการศึกษา พบว่า สาเหตุมาจากผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ต่ำ ครูขาดสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการที่จะทำให้เกิดมโนคติ (Concept) แบบฝึกหัดเพื่อฝึกทักษะมีน้อยและไม่พอเพียง จำนวนผู้เรียนต่อห้องเรียนมีมาก ผู้เรียนมีความสามารถทางการเรียนแตกต่างกัน มีเจตคติที่ไม่ดีต่อวิชาประวัติศาสตร์ เบื่อหน่ายต่อการเรียน ไม่สนใจเรียน ไม่ตั้งใจเรียนในชั้นเรียน ไม่เห็นคุณค่าจากการเรียนประวัติศาสตร์ ตลอดจนการสอนของครูไม่น่าสนใจ จึงส่งผลให้ผู้เรียนมีปัญหาทางการเรียนในเรื่องต่อไป และในระดับที่สูงขึ้นไป ดังนั้น ความรู้พื้นฐานเบื้องต้นเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องรู้ เช่น ต้องเข้าใจการบวกมาก่อนการคูณ เข้าใจการลบมาก่อนการหาร เป็นต้น จึงมีความเชื่อว่า การจะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงขึ้นกว่าเดิม จะต้องเริ่มปรับปรุงแก้ไขปัญหามาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยเฉพาะเรื่อง วิถีไทย ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญของประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่ง ถ้าความรู้พื้นฐานเบื้องต้นไม่มีคุณภาพ ย่อมส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน

                 จากการศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัย พบว่าชุดการสอนแบบสื่อประสม ทำให้ผู้เรียนมีความสนใจ มีอิสระในการเรียนด้วยตนเอง ช่วยแก้ไขปัญหาผู้เรียนที่มีความสามารถทางการเรียนที่แตกต่างกัน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียนหรือผู้เรียนกับผู้เรียน ช่วยให้ผู้สอนมีความมั่นใจในการสอน ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้น ช่วยแบ่งเบาภาระในการสอนของครู ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงขึ้น และทำให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนประวัติศาสตร์

                 จากหลักการและเหตุผลที่กล่าวมา และที่ห้องปฏิบัติการสอนของผู้ศึกษา มีอุปกรณ์ช่วยสอนทั้งเครื่องโปรเจคเตอร์ เครื่องฉายภาพนิ่ง และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งไว้อย่างสมบูรณ์ จึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้ศึกษาได้เลือกแนวทางการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ เรื่อง วิถีไทย โดยใช้ชุดการสอนแบบการพัฒนาชุดฝึกทักษะการเรียนรู้แบบ CREATIVE  Model   ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  สำหรับผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ และส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงขึ้น มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์

      1. ลักษณะงานที่ปฏิบัติตามมาตรฐานตำแหน่ง

มีความสามารถ และทักษะในการปฏิบัติงาน ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ โดยแสดงให้เห็นว่าเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีกระบวนการคิด ค้นพบองค์ความรู้ด้วยตนเอง สร้างแรงบันดาลใจ วัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง เพื่อคิดค้นและปรับเปลี่ยนนวัตกรรมให้คุณภาพการจัดการเรียนรู้สูงขึ้น 

2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ เรื่อง วิถีไทย โดยใช้ชุดการสอนแบบ CREATIVE  Model  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบสื่อประสมวิชาประวัติศาสตร์ เรื่อง วิถีไทย สำหรับผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนรู้ด้วยชุดการสอนแบบ CREATIVE  Model  เรื่องวิถีไทย  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  ที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดการสอนแบบ CREATIVE  Model  เรื่องวิถีไทย  ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้  

           2.1 ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ทำการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยการจับสลากจากผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 4 ห้องเรียน มา  1 ห้องเรียนได้ห้อง ม. 2/4 เป็นกลุ่มตัวอย่าง มีจำนวนผู้เรียนทั้งสิ้น 20 คน  

           2.2 ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น คือชุดการสอนแบบ CREATIVE  Model  วิชาวิถีไทย  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนรู้ด้วยชุดการสอนแบบ CREATIVE  Model  เรื่อง วิถีไทย  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 

           2.3 รูปแบบการศึกษา ใช้รูปแบบการทดลองกลุ่มเดียว (กลุ่มตัวอย่าง) ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งได้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test Design

            2.4 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ ชุดการสอนแบบ CREATIVE  Model  เรื่องวิชาวิถีไทย  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ จำนวน 1 ชุด มีทั้งหมด 4 ตอน   

            2.5 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวนข้อสอบก่อนเรียน/หลังเรียน มีจำนวน 20 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดการสอนแบบสื่อประสมวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง จำนวนเต็ม สำหรับผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 10 ข้อ ซึ่งแบบสอบถามความพึงพอใจใช้สอบถามผู้เรียนกลุ่มตัวอย่างหลังเรียนรู้ด้วยชุดการสอนครบทั้ง 4 ตอน   

    2.6 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ โดยการสร้างและการหาประสิทธิภาพชุดการสอนแบบสื่อประสม การสร้างและหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดการสอนแบบสื่อประสม

             2.7 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้ศึกษาได้ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567  

             2.8 การวิเคราะห์ข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองโดยการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของชุดการสอนแบบสื่อ หาประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบสื่อประสม คำนวณหาดัชนีประสิทธิผล ของชุดการสอนแบบสื่อประสม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลมีดังนี้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( )  ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( SD) ค่า (t – test) การคำนวณค่าสถิติข้างต้นใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป