สังฆกรรม คือ พิธีกรรมของหมู่สงฆ์เพื่อปฏิบัติกิจกรรมในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องพร้อมด้วยคณะสงฆ์ คือต้องมีพระภิกษุร่วมในพิธีกรรมอย่างน้อย ๔ รูปขึ้นไป และต้องมีองค์ประกอบในการทำพิธีที่ถูกต้องและสมบูรณ์ ฯ
พิธีที่จัดเป็นสังฆกรรม มีด้วยกันหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น
พิธีอปโลกน์
พิธีสวดปาฏิโมกข์
พิธีกรานกฐิน
พิธีปวารณา
พิธีอุปสมบท
พิธีให้ปริวาสกรรม, พิธีให้มานัต, พิธีให้อัพภาน
❓ อธิบายคำศัพท์ ❓
สวดญัตติกรรม คือการกล่าวเผดียงสงฆ์ บอกให้สงฆ์ทราบ
สวดอนุสาวนา คือเนื้อคำประกาศความปรึกษาและตกลงของสงฆ์
เขตสีมา คือเขตที่สงฆ์ได้สวดสมมติแล้วให้เป็นพื้นที่ทำสังฆกรรมได้
พิธีอปโลกน์ คือ การที่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งประกาศในที่ประชุมสงฆ์ เพื่อให้หมู่สงฆ์ทราบ หรือเพื่อลงมติปรึกษาหารือในกิจการบางอย่าง เช่น อปโลกน์แจกอาหาร, อปโลกน์มอบผ้ากฐิน, อปโลกน์ลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุผู้หัวดื้อ เป็นต้น ฯ พิธีอปโลกน์นี้ไม่ต้องสวดตั้งญัตติ, ไม่ต้องสวดอนุสาวนา ฯ พิธีนี้ต้องทำด้วยคณะสงฆ์ ๔ รูปขึ้นไป ฯ ไม่ต้องทำในเขตสีมาก็ได้
พิธีสวดปาฏิโมกข์ คือ การประชุมของหมู่สงฆ์เพื่อฟังสวดพระปาฏิโมกข์ เพื่อทบทวนพระวินัยบัญญัติ ทุกกึ่งเดือน ฯ พิธีสวดพระปาฏิโมกข์นี้ต้องทำด้วยหมู่สงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป, ต้องสวดตั้งญัตติ, ไม่ต้องสวดอนุสาวนา จึงเรียกว่า ญัตติกรรม, ต้องทำในเขตสีมา ฯ
หากในอาวาสใดมีภิกษุเพียง ๒-๓ รูปไม่ต้องสวดปาฏิโมกข์ เพียงบอกปาริสุทธิอุโบสถ คือความบริสุทธิ์ในศีลของตนแก่กัน หากมีอาบัติก็พึงแสดงอาบัติให้เรียบร้อย ฯ หากในอาวาสมีภิกษุเพียง ๑ รูป ให้อธิษฐานเพียงว่า "วันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา"
พิธีกรานกฐิน คือ การที่หมู่สงฆ์สวดประกาศยกผ้ากฐินให้แก่พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับฉันทามติแล้ว เพื่อนำผ้ากฐินที่ได้ไปกราน คือทำเป็นผ้าในการนุ่งห่มครองต่อไป ฯ พิธีกรานกฐินนี้ต้องทำด้วยหมู่สงฆ์อย่างน้อย ๕ รูป (รวมภิกษุผู้รับกฐิน), ต้องสวดตั้งญัตติ และต้องสวดอนุสาวนาอีก ๑ ครั้ง จึงเรียกว่า ญัตติทุติยกรรมวาจา ฯ ต้องทำในเขตสีมา
พิธีปวารณา คือ การประชุมสงฆ์เพื่อกล่าวอนุญาตให้สงฆ์ทั้งหลายตักเตือนซึ่งกันและกัน เป็นการปวารณาตนเองต่อหมู่สงฆ์ว่า หากมีสิ่งใดที่หมู่สงฆ์ได้พบเห็นถึงความบกพร่องในการปฏิบัติของตน ขอให้สงฆ์ว่ากล่าวตักเตือนได้ ฯ พิธีปวารณากรรมนี้ ให้ทำในวันออกพรรษา ฯ ซึ่งในวันนั้นไม่ต้องสวดพระปาฏิโมกข์ ฯ พึงให้ภิกษุรูปหนึ่งสวดตั้งญัตติ ไม่ต้องสวดอนุสาวนา แล้วให้ภิกษุกล่าวคำปวารณาตนต่อสงฆ์ทีละรูปจนครบ ฯ
◉ คำสวดบุพพกิจ
ปะวาระณา กะระณะโต ปุพเพ นะวะวิธัง ปุพพะกิจจัง กาตัพพัง โหติ ฯ ตัณฐานะสัมมัชชะนัญจะ ตัตถะ ปะทีปุชชะ ละนัญจะ อาสะนะปัญญะปะนัญจะ ปานียะปะริโภชนะนียูปัฏฐะ ปะนัญจะ ฉันทาระหานัง ภิกขูนัง ฉันทาหะระณัญจะ เตสัญเญวะ อะกะตะปะวาระณานัง ปะวาระณาปิ อาหะระณัญจะ อุตุกขานัญจะ ภิกขุคะณะนา จะ ภิกขุนีนะโมวาโท จาติ ฯ ตัตถะ ปุริเมสุ จะตูสุ กิจเจสุ อิทานิ สุริยาโลกัสสะ อัตถิตายะ ปะทีปะกิจจัง นัตถิ อะปะรานิ ตีณิ ฯ ภิกขูนัง วัตตัง ชานันเตหิ อารามิเกหิปิ ภิกขูหิปิ กะตานิ ปะรินิฏฐิตานิ โหนติ ฯ ฉันทาหะระณะ ปะวาระณา อาหะระณานิ ปะนะ อิมิสสัง สีมายัง หัตถะปาสัง วิชะหิต๎วา นิสินนานัง ภิกขูนัง อะภาวะโต นัตถิ ฯ อุตุกขานัง นามะ เอตตะกัง อะติกกันตัง , เอตตะกัง อะวะสิฏฐันติ เอวัง อุตุอาจิกขะนัง , อุตูนีธะ ปะนะ สาสะเน เหมันตะคิมหะวัสสานานัง วะเสนะ ตีณิ โหนติ ฯ อะยัง วัสสาโนตุ อัส๎มิญจะ อุตุมหิ สัตตะ จะ อุโปสะถา เอกา จะ ปะวาระณา อิมินา ปักเขนะ เอโก จะ อุโปสะโถ สัมปัตโต ปัญจะ อุโปสะถา อะติกกันตา เท๎ว อุโปสะถา อะวะสิฏฐา อิติ เอวัง สัพเพหิ อายัส๎มันเตหิ อุตุกขานัง ธาเรตัพพัง. (รับว่า เอวัง ภันเต พร้อมกัน ผู้แก่ว่า เอวัง อาวุโส หรือ เอวัง)
ภิกขุคะณะนา นามะ อิมัส๎มิง ปะวาระณัคเค ปะวาระณัตถายะ สันนิปะติตา ภิกขู เอตตะกาติ ภิกขูนัง คะณะนา ฯ อิมัส๎มิม ปะนะ ปะวาระณัคเค .....(บอกจำนวนภิกษุ) ภิกขู สันนิปะติตา โหนติ ฯ อิติ เอวัง สัพเพหิ อายัส๎มันเตหิ ภิกขุคะณะนาปิ ธาเรตัพพา. (รับว่า เอวัง ภันเต พร้อมกัน ผู้แก่ว่า เอวัง อาวุโส หรือ เอวัง)
ภิกขุนีนะโมวาโท ปะนะ อิทานิ ตาสัง นัตถิตายะ นัตถิ ฯ อิติ สะกะระโณกาสานัง ปุพพะกิจจานัง กะตัตตา นิกกะระโณ กาสานัง ปุพพะกิจจานัง ปะกะติยา ปะรินิฏฐิตัตตา เอวันตัง นะวะวิธัง ปุพพะกิจจัง ปะรินิฏฐิตัง โหติ ฯ นิฏฐิเต จะ ปุพพะกิจเจ สะเจ โส ทิวะโส จาตุททะสี ปัณณะระสี สามัคคีนะมัญญะตะโร ยะถาชชะ ปะวาระณา ปัณณะระสี ยาวะติกา จะ ภิกขู กัมมัปปัตตา สังฆะปะวาระณาระหา ปัญจะ วา ตะโต วา อะติเรกา ปะกะตัตตา ปาราชิกัง อะนาปันนา สังเฆนะ วา อะนุกขิตตา , เต จะ โข หัตถะปาสัง อะวิชะหิต๎วา เอกะสีมายัง ฐิตา , เตสัญจะ วิกาละโภชะนาทิ วะเสนะ วัตถุสะภาคาปัตติโย เจ นะ วิชชันติ , เตสัญจะ หัตถะ ปาเส หัตถะปาสะโต พะหิกะระณะวะเสนะ วัชเชตัพโพ โกจิ วัชชะนียะปุคคะโล เจ นัตถิ ฯ เอวังตัง ปะวาระณากัมมัง อิเมหิ จะตูหิ ลักขะเณหิ สังคะหิตัง ปัตตะกัลลัง นามะ โหติ กาตุง ยุตตะรูปัง ปะวาระณากัมมัสสะ ปัตตะกัลลัตตัง วิทิต๎วา อิทานิ กะริยะมานา ปะวาระณา สังเฆนะ อะนุมาเนตัพพา. (พึงรับ ปะวาระณาญัตติง ฐะเปตุง)
◉ แบบตั้งญัตติปวารณา
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ หน)
สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ , อัชชะ ปะวาระณา ปัณณะระสี , ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง สังโฆ เตวาจิกัง ปะวาเรยยะ ฯ
◉ คำปวารณา
๑.สังฆปวารณา มีภิกษุ ๕ รูปขึ้นไปมาประชุมกัน พึงสวดบุพพกิจก่อน ถ้าจะปวารณารูปละ ๓ หน พึงตั้งญัติติว่า "สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อัชชะ ปะวาระณา ปัณณะระสี, ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง, สังโฆ เตวาจิกัง ปะวาเรยยะ"
ถ้าจะปวารณา ๒ หน หรือ ๑ หน หรือจัดภิกษุมีพรรษาเท่ากัน ปวารณาพร้อมกันพึงเปลี่ยนเป็น "เทฺววาจิกัง" "เอกะวาจิกัง" หรือ "สะมานะวัสสิกัง" แทน " เตวาจิกัง" ตามลำดับ ฯ ครั้นตั้งญัตติแล้ว พึงปวารณาตามลำดับพรรษา ดังนี้
"สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา, วะทันตุ มัง อายัส๎มันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ, ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิ ฯ ทุติยัมปิ ภันเต สังฆัง ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา, วะทันตุ มัง อายัส๎มันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ, ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิ ฯ ตะติยัมปิ ภันเต สังฆัง ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา, วะทันตุ มัง อายัส๎มันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ, ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิ ฯ
*ภิกษุพรรษามากสุดพึงเปลี่ยนดังนี้ "สังฆัมภันเต" เป็น "สังฆัง อาวุโส" ฯ, ... "ทุติยัมปิ อาวุโส สังฆัง" ฯ, ... "ตะติยัมปิ อาวุโส สังฆัง" ฯ
๒.คณะปวารณา หากมีภิกษุ ๔ รูป พึงตั้งญัตติว่า
"สุณาตุ เม อายัส๎มันโต, อัชชะ ปะวาระณา ปัณณะระสี, ยะทายัส๎มันตานัง ปัตตะกัลลัง, มะยัง อัญญะมัญญัง ปะวาเรยยามะ"
ถ้ามีภิกษุ ๓ รูป พึงว่า "อายัส๎มันตา" แทน "อายัส๎มันโต" ครั้นตั้งญัตติแล้ว พึงปวารณาตามลำดับพรรษา ดังนี้
"อะหัง ภันเต อายัส๎มันเต ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา, วะทันตุ มัง อายัส๎มันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ, ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิ ฯ ทุติยัมปิ ภันเต อายัส๎มันเต ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา, วะทันตุ มัง อายัส๎มันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ, ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิ ฯ ตะติยัมปิ ภันเต ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา, วะทันตุ มัง อายัส๎มันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ, ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิ ฯ
*ภิกษุอ่อนพรรษากว่า พึงว่า "ภันเต" แทน "อาวุโส"
หากมีภิกษุเพียง ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ แต่เปลี่ยน "อายัส๎มันตัง" แทน "อายัส๎มันเต"
๓.บุคคลปวารณา ภิกษุอยู่จำพรรษารูปเดียว ให้รอจนสิ้นเวลา เมื่อเห็นว่าไม่มีภิกษุอื่นมาแล้ว พึงอธิษฐานว่า "อัชชะ เม ปะวารณา"
พิธีอุปสมบท คือ การประชุมสงฆ์เพื่อบวชกุลบุตรผู้ศรัทธา ประสงค์จะบวชเข้ามาเป็นพระภิกษุ หรือพระภิกษุณี ในพระพุทธศาสนา พิธีอุปสมบทต้องทำกับกุลบุตรที่มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ และไม่บกพร่องในคุณสมบัติ ต้องประชุมสงฆ์อย่างน้อย ๕ รูป สำหรับในปัจจันตชนบท (ถิ่นทุรกันดารหาพระภิกษุได้ยาก) และอย่างน้อย ๑๐ รูป สำหรับในมัธยมชนบท (ถิ่นในเมืองที่มีพระภิกษุมาก) ฯ พิธีอุปสมบทนี้ต้องสวดตั้งญัตติและสวดอนุสาวนา ๓ ครั้ง จึงเรียกว่า ญัตติจตุตถกรรมวาจา ฯ ต้องทำในเขตสีมา
พิธีให้ปริวาสกรรม, ให้มานัต, ให้อัพภาน คือ การที่คณะสงฆ์สวดประกาศเพื่อให้ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งประพฤติวุฏฐานวิธี หรือการเข้าอยู่ปริวาสกรรม เพื่อระงับอาบัติหนัก ชนิดที่แก้ไขได้ของตน ตามพระวินัยบัญญัติ ฯ การสวดให้ปริวาสและสวดให้มานัต กำหนดสงฆ์ผู้เข้าประชุม ๔ รูปขึ้นไป (ไม่นับภิกษุผู้ขอปริวาส) ฯ หากเป็นการให้อัพภาน ต้องใช้สงฆ์จำนวน ๒๐ รูปขึ้นไป ฯ พิธีนี้ต้องสวดตั้งญัตติและสวดอนุสาวนา ๓ ครั้ง จึงเรียกว่า ญัตติจตุตถกรรมวาจา ฯ ต้องทำในเขตสีมา ฯ