▣ หมวดปกิณกะ ▣
ประกอบด้วย ๕ เรื่องคือ
วิธีแสดงความเคารพพระ
วิธีประเคนของพระ
วิธีทำหนังสืออาราธนาและใบปวารณา
วิธีอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร อาราธนาธรรม
วิธีกรวดน้ำ
วิธีแสดงความเคารพพระ คือการแสดงความเคารพพระภิกษุ ศาสนวัตถุ หรือสถานที่ทางพระพุทธศาสนา การแสดงความเคารพมีหลักใหญ่เพียง ๓ วิธีคือ การประนมมือ, การไหว้, การกราบ ฯ
การประนมมือ บาลีเรียกว่า "อัญชลี" คือการทำกระพุ่มมือ ให้นิ้วทุกนิ้วชิดเสมอกัน ยกพนมไว้ระหว่างอก ข้อศอกทั้งสองข้างชิดกับลำตัว ไม่กางออก ฯ อาการอย่างนี้เรียกว่า "ประนมมือ" เป็นการแสดงความเคารพเวลาสวดมนต์ หรือฟังพระสวดมนต์ ฟังพระเทศน์ เป็นต้น ฯ
การไหว้ บาลีเรียกว่า "นมัสการ" คือการยกมือที่ประนมแล้วนั้น ยกขึ้นก้มศีรษะเล็กน้อย นิ้วโป้งมือทั้งสองชิดส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะไหว้ใคร ฯ หากเป็นการไหว้พระพุทธรูป พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ยกมือให้นิ้วโป้งมือทั้งสองชิดกับตรงกลางระหว่างคิ้ว ฯ การไหว้ผู้ที่สูงศักดิ์กว่าเราหรือผู้ใหญ่ทั่วไป ให้นิ้วโป้งชิดจมูก ฯ หากไหว้ผู้เสมอกัน ให้นิ้วโป้งชิดคาง ฯ หากเป็นการรับไหว้ผู้มีศักดิ์ต่ำกว่าเรา ให้เพียงประนมมือก็พอ
การกราบ บาลีเรียกว่า "อภิวาท" คือการกราบราบลงกับพื้น ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ หมายถึงการกราบด้วยองค์ ๕ คือให้หน้าผาก ๑ ฝ่ามือ ๒ เข่า ๒ แนบกับพื้น ฯ การกราบพระรัตนตรัยนั้นกราบแบบแบฝ่ามือ ๓ ครั้ง ฯ การกราบพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ กราบแบบไม่แบมือ ๑ ครั้ง
วิธีประเคนของพระ คือการยกอาหารหรือสิ่งของมอบให้กับพระภิกษุสงฆ์ โดยของที่จะยกประเคนนั้นมีขนาดพอที่คนเดียวจะยกได้ ไม่ใช่ของหนักจนเกินไป ฯ ไม่มีวัตถุอนามาส (สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง) หรือสิ่งที่ภิกษุไม่ควรบริโภคใช้สอย ฯ การมีพระพุทธบัญญัติข้อนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุไปหยิบถือเอาอาหารที่ชาวบ้านเขายังไม่อนุญาตหรือยอมให้ แม้จะถือเอาโดยบริสุทธิ์ใจก็ตาม พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติว่าภิกษุจะบริโภคกลืนกินสิ่งใด ต้องให้ทายกแสดงอาการมอบสิ่งนั้นให้เสียก่อน ภิกษุจึงจะบริโภคได้ ฯ หลักการประเคนมี ๕ ประการ ดังนี้
สิ่งของนั้นมีน้ำหนักพอคนเดียวยกไหว
ทายก (ผู้ให้, ผู้ถวาย) เข้ามาอยู่ใกล้ภายในหัตถบาส (๑ ช่วงแขน)
ทายกแสดงอาการน้อมเข้ามา
ทายกถวายด้วยกาย หรือของเนื่องด้วยกาย หรือด้วยโยนให้ก็ได้
พระภิกษุรับด้วยกาย หรือของเนื่องด้วยกาย (เช่น ผ้า ถาด ฯลฯ)
ปัจจุบันนี้มีธรรมเนียมการประเคน หากสิ่งของที่จะถวายไม่ใช่สิ่งของที่จะกลืนกิน และเป็นของมีขนาดใหญ่ เช่น พระพุทธรูป โอ่งน้ำ ตู้เย็น กุฏี วิหาร ฯลฯ พึงใช้วิธีกล่าวคำถวายก็เพียงพอ หรือบางแห่งใช้วิธีนำสายสิญจน์มาผูกเข้ากับสิ่งของนั้น แล้วนำปลายสายสิญจน์มาประเคนแทนก็ถือเป็นอันใช้ได้ เพราะจุดประสงค์หลักก็มีเพียงว่า เพียงทายก "แสดงอาการให้" ก็ถือเป็นอันใช้ได้แล้ว
การขาดประเคน หมายถึง กรรมสิทธิ์ของภิกษุในการถือเอาสิ่งของที่ทายกประเคนแล้วต้องหมดลง ด้วยเหตุ ๗ ประการดังต่อไปนี้
รับประเคนแล้ว เปลี่ยนเพศเป็นหญิง
รับประเคนแล้ว มรณภาพ
รับประเคนแล้ว ลาสิกขา
รับประเคนแล้ว หันไปเป็นคนเลว (ต้องอาบัติปาราชิก)
รับประเคนแล้ว ให้สามเณรหรือคฤหัสถ์ไป
รับประเคนแล้ว สละไปโดยไม่มีเยื่อใย
รับประเคนแล้ว ถูกชิงเอาไปหรือถูกลักเอาไป
ของที่ขาดประเคนแล้วห้ามภิกษุนำมาฉัน หากจะฉันต้องมีทายกหรือคฤหัสถ์ประเคนให้ใหม่ ฯ
แต่ในบางกรณี เช่น การที่ทายกนำจานอาหารมาประเคนเรียบร้อยแล้ว พระภิกษุวางไว้เฉยๆ ทายกเห็นว่าวางไม่เรียบร้อย จึงเอามือหยิบจัดจานให้ใหม่ แบบนี้ "ไม่ถือว่าขาดประเคน" ภิกษุยังมีกรรมสิทธิ์ในอาหารนั้นอยู่ ฯ ภิกษุบางรูปไม่เข้าใจในข้อนี้ เมื่อเห็นทายกหยิบจานเพื่อจัดระเบียบให้ ก็ไปตำหนิหรือดุเอา แล้วให้ทายกประเคนใหม่ แบบนี้ไม่จำเป็นต้องประเคนใหม่ เพราะอาหารนั้นยังไม่ขาดประเคน ตามหลักที่กล่าวไว้ข้างต้น ฯ
ยกเว้นในบางกรณี เช่น มีเด็ก หรือชาวบ้านบางคน เดินมาหยิบอาหารที่ประเคนแล้วนั้นด้วยเจตนาจะเอาไปกิน อาจด้วยไม่รู้ว่าเป็นของพระภิกษุที่ประเคนแล้ว แบบนี้จึงถือว่าอาหารจานที่ถูกหยิบไปนั้นขาดประเคนแล้ว ภิกษุควรสละไป ฯ แต่หากภิกษุจะเอาอาหารนั้นคืน ก็จะต้องแจ้งให้เด็กหรือชาวบ้านคนนั้นทราบ แล้วขอคืน และให้เขาหรือคฤหัสถ์คนอื่นนำมาประเคนให้ใหม่ แบบนี้จึงจะถือว่าใช้ได้ ฯ
จะขอกล่าวถึงการตักบาตร เนื่องจากการตักบาตรก็ถือว่าเป็นการประเคนอาหารแล้วเช่นกัน พระภิกษุจึงนำอาหารที่ชาวบ้านตักบาตรนั้นมาฉัน (กิน) ได้เลย โดยไม่ต้องประเคนใหม่ ฯ
ในบางกรณีเวลาพระเดินบิณฑบาต แล้วมีลูกศิษย์ที่เป็นคฤหัสถ์หิ้วย่ามใส่อาหารที่ชาวบ้านตักบาตรมาให้ถึงวัด ในกรณีเช่นนี้ถือว่าอาหารที่ลูกศิษย์รับต่อมาจากพระ และนำมาใส่ในย่ามถือให้นั้น ยังไม่ขาดประเคนเช่นกัน เพราะพระภิกษุยังไม่ได้สละให้ใคร และยังไม่ได้สละให้กับลูกศิษย์คนนั้นด้วย และลูกศิษย์ก็ไม่ได้ถือเอาไปเป็นของตน เพียงแต่ให้ถือย่ามให้เท่านั้น ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงวัดแล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้ลูกศิษย์ประเคนอาหารให้ใหม่แต่อย่างใด ภิกษุสามารถนำอาหารในย่ามนั้นไปฉันได้เลย ฯ แต่ก็มีบางวัดสั่งให้ลูกศิษย์ประเคนให้ใหม่ แบบนี้ถือเป็นการเคร่ง แต่ก็ไม่เสียหายอะไร ถือเป็นการดีเพื่อความรอบคอบและบริสุทธิ์แน่นอน ฯ ยกเว้นในบางกรณี คือ ตอนบิณฑบาตร ชาวบ้านส่งอาหารให้ลูกศิษย์ใส่ย่ามเลย แบบนี้ยังไม่ถือเป็นการประเคนที่สมบูรณ์ เมื่อกลับมาถึงวัด จึงควรให้ลูกศิษย์ประเคนย่ามให้ใหม่
อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องการยืนตักบาตรของชาวบ้านนั้น ชาวบ้านจะสวมรองเท้าหรือไม่สวมรองเท้าก็ได้ ฯ ไม่ได้ทำให้พระผิดวินัยแต่อย่างใด เพราะไม่มีพุทธบัญญัติห้ามพระภิกษุรับบิณฑบาตจากคนที่สวมรองเท้า ฯ การถอดรองเท้าขณะตักบาตรนั้นเป็นวัฒนธรรมที่คนไทยคิดกันขึ้นมาในภายหลัง ด้วยเพราะความเคารพในพระภิกษุเป็นอย่างสูง เกรงว่าตนเองจะยืนสูงกว่าพระเท่านั้นเอง ซึ่งก็เป็นวัฒนธรรมที่ดี ฯ แต่หากชาวบ้านมีความจำเป็นด้วยเหตุบางอย่าง เช่น เท้าเจ็บ เท้าเป็นแผล หรือยืนอยู่บนที่สกปรก หรือบางคนเป็นข้าราชการทหาร ถอดรองเท้าไม่สะดวก แบบนี้ก็สมควรใส่รองเท้าขณะตักบาตรได้ ไม่ถือเป็นบาปกรรมอะไรแต่อย่างใด เพียงตักบาตรน้อมจิตด้วยความเคารพในสงฆ์แค่นั้นก็พอ และได้บุญเต็มที่แล้ว
การอาราธนาพระ ก็คือการนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ไปประกอบพิธีต่างๆ โดยทำให้เป็นกิจจะลักษณะหรือทำแบบเป็นทางการ เหมาะสำหรับหน่วยงานราชการ หรือชาวบ้านจะทำก็ได้ เพื่อแจ้งกำหนดการและรายละเอียดต่างๆ ของงานให้พระสงฆ์ทราบ ฯ หนังสืออาราธนานี้เรียกว่า "ฏีกานิมนต์พระ" ดังตัวอย่างดังนี้
"ขออาราธนาพระคุณเจ้า (พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์อีก.........รูป) เจริญพระพุทธมนต์ (หรือสวดมนต์ หรือแสดงพระธรรมเทศนา แล้วแต่กรณี) ในงาน.............. ที่บ้านเลขที่............ แขวง/ตำบล.................. เขต/อำเภอ............. จังหวัด............... กำหนดงานวันที่..........เดือน.............พ.ศ............. เวลา...........น."
หากจะอาราธนาให้รับอาหารบิณฑบาตเช้าหรือเพล ให้บอกด้วย ฯ หากต้องการตักบาตรหรือปิ่นโตก็ต้องบอกในฏีกาให้พระเตรียมไปให้ด้วย ฯ ถ้ามีรถหรือยานพาหนะไปรับส่งก็บอกในหมายเหตุท้ายฎีกาไว้ด้วย
ภายในงานมักนิยมถวายเครื่องไทยธรรมและถวายค่าจตุปัจจัยเป็นพิเศษจากไทยธรรมอีกส่วนหนึ่งด้วย ในการถวายค่าจตุปัจจัยนี้หากเป็นพระภิกษุนิกายธรรมยุต ทายกมักทำเป็นใบปวารณาถวาย ส่วนค่าจตุปัจจัยจะมอบไว้กับคนวัดหรือไวยาวัจกรที่มากับพระสงฆ์ ฯ ใบปวารณานั้นมีแบบนิยมเป็นฉบับดังนี้
"ขอถวายจตุปัจจัยอันควรแก่สมณบริโภค แด่พระคุณเจ้าเป็นมูลค่า.............บาท หากพระคุณเจ้าประสงค์สิ่งใดอันควรแก่สมณบริโภคแล้ว ได้โปรดเรียกร้องจากกัปปิยการกผู้ปฏิบัติของพระคุณเจ้า เทอญ"
ใบปวารณานี้นิยมกลัดติดกับผ้าที่ทอดในงานอวมงคล หรือถวายเฉพาะใบหรือใส่ซองรวมถวายไปกับเครื่องไทยธรรมในทุกๆงานก็ได้
การอาราธนา คือการเชื้อเชิญพระสงฆ์ในพิธีให้ศีล, ให้สวดพระปริตร, หรือให้แสดงธรรม เป็นต้น ฯ เป็นธรรมเนียมมีมาแต่ดั้งเดิมที่จะต้องอาราธนาก่อน พระสงฆ์จึงจะประกอบพิธีกรรมนั้นๆ ให้
วิธีอาราธนานั้น ถ้าพระสงฆ์นั่งบนอาสนะยกสูง เจ้าภาพและแขกนั่งเก้าอี้ ผู้อาราธนาเข้าไปยืนระหว่างเจ้าภาพกับแถวพระสงฆ์ตรงรูปที่ ๓ หรือที่ ๕ ห่างแถวพระสงฆ์พอสมควร หันหน้าไปทางโต๊ะที่บูชา ประนมมือไหว้พระพุทธรูปก่อน แล้วยืนประนมมือตั้งตัวตรง กล่าวคำอาราธนาตามแบบที่ต้องการ ฯ ถ้าพระสงฆ์นั่งอาสนะต่ำกว่าธรรมดา เจ้าภาพและแขกอื่นก็นั่งกับพื้น ผู้อาราธนาต้องเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าแถวพระสงฆ์ แล้วหันไปกราบพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา ๓ ครั้งก่อน แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ ประนมมือกล่าวคำอาราธนาที่ต้องการตามแบบ คือ
พิธีสวดมนต์เย็น - อาราธนาศีล, อาราธนาพระปริตร
พิธีเลี้ยงพระ - อาราธนาศีล
พิธีถวายทานทุกอย่าง - อาราธนาศีล
พิธีเทศน์ ถ้าเทศน์ต่อจากการสวดมนต์ ตอนสวดมนต์ไม่ต้องอาราธนาศีล เริ่มต้นด้วยอาราธนาพระปริตร ฯ เมื่อพระสวดมนต์จบแล้ว จึงอาราธนาศีลตอนพระขึ้นเทศน์ ฯ รับศีลแล้วจึงอาราธนาธรรมต่อ ฯ แต่ถ้าพิธีสวดมนต์กับพิธีเทศน์ไม่ได้ต่อเนื่องกัน ถือว่าเป็นคนละพิธี ตอนสวดมนต์ก็อาราธนาศีลตามแบบพิธีสวดมนต์เย็นที่กล่าวแล้ว ตอนเทศน์ก็เริ่มต้นด้วยอาราธนาศีลก่อน แล้วจึงอาราธนาธรรม
พิธีสวดศพต่างๆ เช่น สวดแจง สวดพระอภิธรรม เป็นต้น ถ้าไม่มีพิธีอื่นนำหน้าก็ให้อาราธนาศีลก่อน แต่ถ้ามีพิธีอื่นนำหน้าและได้อาราธนาศีลไปก่อนแล้ว ก็ไม่ต้องอาราธนาศีลซ้ำอีก
วิธีกรวดน้ำ คือการอุทิศส่วนบุญให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เริ่มต้นด้วยเตรียมน้ำสะอาดใส่ภาชนะไว้พอสมควร เมื่อพระสงฆ์เริ่มอนุโมทนาด้วยบท ยะถา วาริวะหา...ฯ ก็เริ่มกรวดน้ำ โดยการนึกถึงบุญกุศลที่เพิ่งทำนั้น แล้วนึกน้อมเอาบุญกุศลนั้นอุทิศไปยังผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยการกล่าวคำอธิษฐานในใจ หรือพูดออกมาเบาๆ ก็ได้ ฯ เทน้ำลงบนภาชนะรองรับ หรือเทลงบนพื้นดินโดยตรงก็ได้ ฯ เมื่อพระรูปที่สองขึ้นบทว่า สัพพีติโย...ฯ จึงเทน้ำให้หมด แล้วนั่งประนมมือฟังพระให้พรต่อไปจนจบ ฯ
คำกรวดน้ำ จะกล่าวเป็นภาษาบาลีหรือภาษาไทยก็ได้ แต่หากกล่าวเป็นภาษาบาลีควรจะรู้คำแปลหรือความหมายของคำกล่าวนั้นด้วย เพื่อให้จิตเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ฯ หากกล่าวเป็นภาษาบาลีไม่ได้ ก็ใช้ภาษาไทยหรือภาษาของตนในการอุทิศส่วนบุญก็ได้ ตัวอย่างเช่น...
"ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ที่ได้ทำในวันนี้ มีการให้ทาน รักษาศีล เป็นต้นฯ ให้แก่... (เอ่ยชื่อผู้ล่วงลับ) และญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความสุขเถิด"
หรือกล่าวเป็นภาษาบาลีว่า "อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ ฯ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย" คำแปล ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าเถิด ฯ ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงเป็นสุขเถิด"
การกรวดน้ำนั้นเป็นพิธีที่ต้องใช้น้ำในการกรวด แต่หากไม่สะดวกในการหาน้ำ จะใช้จิตตั้งใจอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้โดยตรงก็ได้ หรือที่เรียกว่า "การกรวดแห้ง" ก็ถือเป็นการอุทิศส่วนบุญและสำเร็จผลเช่นเดียวกัน เพราะการอุทิศส่วนบุญนั้นการใช้น้ำเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบในการให้จิตผู้กรวดมีสิ่งยึดเหนี่ยวว่ามีสิ่งที่อุทิศไปให้ญาติแล้วเท่านั้น แต่หากเข้าใจในพิธีอุทิศส่วนบุญแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเลยก็ได้ ให้ใช้จิตนึกน้อมผลบุญไป ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน