คำสอนของพระพุทธศาสนา สอนเกี่ยวกับเรื่องของ "การเวียนว่ายตายเกิด" ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย ที่ยังมีอาสวะกิเลสอยู่ในจิต ไม่ว่าจะมีอาสวะมากหรือน้อยก็จะยังไม่พ้นไปจาก "สังสารวัฏ" หรือการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ ฯ ทั้งหมดจึงถูกเรียกว่า "สัตว์" ซึ่งแปลว่า "ผู้ข้อง" คือยังติดข้องอยู่ในวัฏฏสงสาร และติดข้องอยู่ในอาสวะกิเลสของตน ทำให้เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสังสารวัฏ ได้ดีบ้าง ได้ชั่วบ้าง ไปตามผลแห่งวิบากกรรมที่ตนได้สร้างขึ้น แล้วติดข้องอยู่ในวงจรของวัฏฏะนี้ ไม่พ้นไปได้ ฯ
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ฯ แล้วได้ตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมาคร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้ กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ สิ่งไหนจะมากกว่ากัน" ฯ ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ ย่อมทราบธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกข้าพระองค์ ผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะการประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย" ฯ
ทรงตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ ถูกแล้ว น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกเธอ ผู้ท่องเที่ยวไปมา ฯลฯ โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา ฯ ของพี่ชายน้องชาย ฯ พี่สาวน้องสาว ฯ ของบุตร ของธิดา ฯ ความเสื่อมแห่งญาติ ฯ ความเสื่อมแห่งโภคะ ฯ ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรค ตลอดกาลนาน ฯ น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้" ฯ
จากพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความยาวนานของสังสารวัฏที่สัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิด วนเวียนอยู่ในกองทุกข์สิ้นกาลนาน จึงทรงแสดงความจริงข้อนี้ เพื่อให้ผู้ฟังได้เกิดความสลดสังเวชใจในการเวียนว่ายตายเกิด
ผู้ที่จะพ้นจากวัฏฏะไปได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของภาวะที่ตนเป็นอยู่และสรรพสิ่ง แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด คลายความยึดถือจากรูปนามทั้งปวง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า "ขันธ์ทั้ง ๕" ที่ประกอบกันขึ้นเป็นสัตว์และสรรพสิ่ง เมื่อคลายความยึดมั่นได้แล้วจิตก็จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ภพชาติคือการเวียนว่ายตายเกิดก็เป็นอันหมดไปเอง จิตของผู้นั้นจะเข้าถึง "นิพพาน" ซึ่งเป็นสภาวะของการสิ้นอาสวะกิเลส และสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
การจะมีปัญญาเห็นแจ้งในความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนของสรรพสิ่ง แล้วหมดความยึดมั่น จนนำไปสู่การหลุดพ้นได้นั้น ต้องเริ่มจากการปฏิบัติตามแนวทางของ "อริยมรรค" ซึ่งเป็นหนทางของความถูกต้อง ไม่ผิดทาง ทำให้ไม่หลงทางในการปฏิบัติ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้แจ้งแล้ว ทรงตรัสบอกหนทางแห่งอริยมรรคนี้ไว้แล้ว เรียกว่า "อริยมรรคมีองค์ ๘" หรือข้อปฏิบัติทั้ง ๘ ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น
อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เปรียบเหมือนเส้นเชือกใหญ่เส้นเดียว แต่มี ๘ เกลียวผสานรวมกันไว้ จะแยกกันไม่ได้ ทั้ง ๘ เกลียวนี้ต้องประสานรวมอยู่ด้วยกันจึงจะทำให้สำเร็จผลของการปฏิบัติได้ ฯ
วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีดังต่อไปนี้
๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก ทำความรู้ตัวเต็มที่ และรู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ “ตัว” อย่างเดียว ฯ รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ “รู้อยู่เฉยๆ” ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม
เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ
จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป ฯ ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน “พฤติแห่งจิต” โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร
ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการ เจริญจิตครั้งต่อๆ ไป
ในกรณีที่ไม่สามารทำเช่นนี้ได้ ให้ลองนึกคำว่า “พุทโธ” หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต
พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว
เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ฯ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู่อารมณ์ทันที ฯ เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง
ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ ฯ เจตจำนงนี้ คือ ตัว “ศีล” ฯ
การบริกรรม “พุทโธ” เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ฯ ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจนและความไม่ขาดสายของพุทโธจะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ
เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่ามีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย
เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึก และ “พฤติแห่งจิต” ที่ฐานนั้นๆ ฯ บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ
๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต) ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสามคือ ราคะ โทสะ โมหะ
๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิต ให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน) ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖
๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ
"คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด"
๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติ สังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติแห่งจิต ได้อย่างละเอียดละออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่าเกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้ ฯ คำว่า แยกรูปถอดนั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง
๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น เรียกว่า “สมุจเฉทธรรมทั้งปวง”
๗. ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึกถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้นก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราว หมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะกรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า “พ้นเหตุเกิด”
๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง) เมื่อจิตว่างจาก “พฤติ” ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึงความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซึมซาบอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน
เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร
เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว “จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง” จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า “นิพพาน” ฯ
โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้นเป็นแบบ “ปริศนาธรรม” มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้นคำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้น มีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า “พฤติของจิต” แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น
คำว่า “ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต” เหล่านี้ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่าย เข้าใจง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่
ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ “พฤติแห่งจิต” อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการ ปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลังเพราะคำว่า “มรรคปฏิปทา” นั้น จะต้องอยู่ใน “มรรคจิต” เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย ฯ
การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยวิสุทธิศีล วิสุทธิมรรค พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้.
คำว่า “พระธาตุ” ในที่นี้หมายรวมทั้ง พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเชื่อกันว่าหมายถึงกระดูกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอรหันตธาตุ หมายถึงกระดูกของพระอรหันต์สาวก
พุทธศาสนิกชนตั้งแต่โบราณกาลมา เชื่อกันว่า หากผู้ใดมีศรัทธาอย่างแรงกล้า หมั่นปฏิบัติคุณงามความดี รักษาศีลให้บริสุทธิ์ สวดมนต์ภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากผู้นั้นต้องการปรารถนา “พระธาตุ” ไว้บูชาแล้ว ก็สามารถอธิษฐานให้พระธาตุเสด็จมาหาได้ โดยพระธาตุนั้นสามารถเสด็จมาได้เอง หรือมีผู้นำมาให้อย่างไม่ได้ตั้งใจมาก่อน หรือเพิ่มจำนวนได้เอง จากองค์เดียวเป็นหลายๆองค์ก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับความศรัทธาอย่างแรงกล้า และกุศลบารมีของผู้อธิษฐานด้วย
ข้าพเจ้าเองได้ประสบกับปาฏิหาริย์ของพระธาตุเสด็จนี้มาด้วยตนเองแล้วหลายครั้ง จึงได้กล้าที่จะบอกและยืนยันว่าเรื่องพระธาตุเสด็จนี้ “เป็นเรื่องจริง” แน่นอนไม่ต้องสงสัย จึงได้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ไว้ บอกกล่าวเพื่อเป็นธรรมทานแก่พุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาจริงและปรารถนาพระธาตุไว้สักการบูชา เพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นอนุสติเตือนใจ ให้รีบเร่งทำคุณงามความดีตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าถึงความดับทุกข์อันเป็นที่สุดแห่งธรรมทั้งหลาย
วิธีการเตรียมอุปกรณ์ อันดับแรกให้เตรียมผอบ หรือเจดีย์แก้ว หรือเจดีย์ไม้ ที่สำหรับใส่พระธาตุ โดยไปหาซื้อได้ตามร้านขายสังฆภัณฑ์ทั่วไป มีหลายแบบ หลายขนาด หลายราคา
จากนั้นให้ซื้อผ้ากำมะหยี่สีแดงกว้างขนาดฝ่ามือ, ผ้าขาวกว้างขนาดฝ่ามือ, สำลีชนิดแผ่น, น้ำมันจันทน์ (ของแท้ราคาจะแพงมากหลักพันขึ้น แต่กลิ่นหอมมาก หอมทนนาน คุ้มราคาจริงๆ ถ้าของเทียมราคาประมาณขวดละร้อยกว่าบาทเท่านั้น หอมไม่กี่วัน แต่จะเอาแบบใดก็ได้แล้วแต่ทุนทรัพย์ของแต่ละคน)
นำผ้าขาว และผ้ากำมะหยี่ มาใช้กรรไกรตัดเป็นแผ่นกลม ให้ขนาดพอดีกับความกว้างของข้างในผอบ หรือเจดีย์ แล้วเอาสำลีชนิดแผ่น มาตัดเป็นแผ่นกลมขนาดเดียวกัน จากนั้นนำสำลีแผ่นที่ตัดได้ขนาดแล้ว มาวางลงไปในเจดีย์ แล้วนำผ้าขาววางทับลงไป แล้ววางผ้ากำมะหยี่สีแดงวางทับลงไป คืออยู่บนสุด จากนั้นนำน้ำมันจันทน์มาค่อยๆ หยดลงบนผ้ากำมะหยี่ หยดแต่พอประมาณ อย่าให้มากจนชุ่ม หรือน้อยเกินไปจนไม่มีกลิ่น ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนในการเตรียมอุปกรณ์สำหรับใส่พระธาตุแล้ว
ถ้ามีพระธาตุเดิมที่มีอยู่ที่บ้านแล้ว ก็ให้อัญเชิญพระธาตุมาสัก ๑ องค์ขึ้นไป มาวางลงบนผ้ากำมะหยี่ ทุกขั้นตอนให้ทำด้วยความเคารพนอบน้อม ก่อนจะทำอะไรควรยกมือวันทาด้วยความเคารพทุกครั้ง แล้วปิดเจดีย์ให้เรียบร้อย แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีพระธาตุเดิมอยู่ก็ไม่เป็นไร ก็ให้ปิดเจดีย์เปล่านั้นไปให้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน แล้วอัญเชิญพระเจดีย์นั้นขึ้นวางบนหิ้งพระในตำแหน่งที่สูงระดับเดียวกับพระพุทธรูป หรือสูงกว่าพระพุทธรูปก็ได้ แต่หากสถานที่ไม่อำนวยก็ให้เลือกตำแหน่งที่เหมาะสม อาจต่ำกว่าพระพุทธรูปก็ได้ เพียงแต่อย่าให้ต่ำกว่ารูปเคารพที่เป็นพระสงฆ์หรือฆราวาสก็แล้วกัน
วิธีอัญเชิญพระธาตุ
ก่อนการอัญเชิญพระธาตุ ควรอาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาด ทำใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ แล้วเข้าห้องพระ ถ้ามีดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เช่นดอกมะลิ ก็ให้นำมาใส่พานเล็กๆ หรือจอกเล็กๆ วางไว้หน้าเจดีย์พระธาตุด้วย หากสถานที่อำนวยจะจุดธูปเทียนบูชาด้วยก็จะยิ่งดี แต่ต้องเป็นห้องที่ไม่อับ อากาศจะต้องถ่ายเทได้สะดวก หรือมีลมพัดเบาๆ เพื่อไม่ให้ควันธูปเข้าจมูก เพราะควันธูปและควันเทียน เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่หากสถานที่ไม่อำนวยก็ไม่จำเป็นต้องจุดธูปเทียนก็ได้ จากนั้นให้ตั้งใจสมาทานศีล ๕ แล้วทำวัตรสวดมนต์ภาวนาตามปกติ ตามเวลาอันสมควรแล้ว จากนั้นให้ทำศรัทธาให้เกิดขึ้นในใจอย่างแรงกล้าต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงพระคุณของพระองค์จนเกิดปีติได้ยิ่งดี แล้วน้อมจิตน้อมใจให้เสมือนประหนึ่งว่า บัดนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับอยู่ ณ เบื้องหน้าเรานี้แล้ว น้อมศีรษะกล่าวคำอัญเชิญพระธาตุด้วยความนอบน้อม ว่าดังนี้
อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ
อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ.
ให้ภาวนา ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๙ จบ หรือแล้วแต่ศรัทธาของแต่ละคน หลังจากนั้นจะสวดมนต์บทอื่นๆ ต่อไป หรือจะกรวดน้ำ แผ่เมตตาก็ได้ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการ
ให้สวดมนต์ภาวนาและอัญเชิญพระธาตุแบบนี้ทุกวัน ให้ทำด้วยความเพียร และเคารพศรัทธาอย่างแรงกล้าทุกวัน ส่วนพระธาตุจะเสด็จมาเมื่อไหร่หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับกุศลบารมีของแต่ละท่านเอง บางท่านก็ไม่กี่วัน บางท่านก็เป็นเดือนหรือหลายเดือน บางท่านก็เป็นปีๆ แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ขอให้พยายามหมั่นทำคุณงามความดี รักษาศีลให้ดี หมั่นช่วยเหลือสังคม ไม่หวังแม้แต่คำชมหรือคำสรรเสริญ ให้ทำความดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็จะเห็นผลได้เร็ว
พระธาตุที่เสด็จมานั้น จะมีหลายลักษณะ เช่น คล้ายเมล็ดข้าวสาร คล้ายก้อนกรวด คล้ายลูกยอ คล้ายเมล็ดในพุทรา คล้ายแก้วผลึก คล้ายคริสตัล ฯลฯ และจะมีหลายขนาด คือ เท่ากับเมล็ดข้าวสาร หรือเท่ากับเมล็ดถั่วเขียว เท่ากับเมล็ดงา เท่ากับนิ้วหัวแม่มือก็มี
พระธาตุที่เสด็จมา บางทีก็จะมาวางอยู่ในเจดีย์ที่เราจัดเตรียมไว้แล้ว หรือบางทีก็อาจจะมาวางอยู่บนโต๊ะหมู่บูชาก็ได้ หรือวางอยู่ภายนอกใกล้ๆ กับเจดีย์ก็ได้ เราต้องคอยสังเกตเอาเอง เมื่อเราเช็ดถูทำความสะอาดโต๊ะหมู่บูชา ก็ให้ตรวจตราให้ดีด้วยว่า อาจจะมีพระธาตุเสด็จมาวางอยู่หรือไม่ พระธาตุนั้นจะเสด็จมาในวันใดก็ได้ แต่เท่าที่ข้าพเจ้าเคยสังเกตคือ ถ้าวันใดเราไปทำความดีมา หรือไปเวียนเทียนมา กลับมาก็อาจจะได้เห็นพระธาตุเสด็จมาก็ได้ หรือถ้าเป็นวันพระ หรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา เป็นต้น ก็มักจะมีพระธาตุเสด็จมาเช่นกัน บางทีก็เสด็จมา ๑ – ๒ องค์ หรือมากถึงสิบกว่าองค์ก็มี
เคยมีผู้เห็นแสงขณะที่พระธาตุกำลังเสด็จ จะมีแสงสว่างสวยงาม บางทีก็เป็นรัศมีแบบฉัพพรรณรังสี มีบันทึกไว้ในสมัยโบราณมากมาย แม้ในปัจจุบันก็มีคนเคยเห็นหลายคน
คำแนะนำเพิ่มเติม ห้องพระนั้น ควรอยู่เป็นเอกเทศ ไม่ปะปนกับห้องอื่นจะดีที่สุด แต่หากไม่มีสถานที่เพียงพอ จำเป็นต้องอยู่ในห้องอื่น ก็ให้ไว้ในที่เหมาะสมควรแก่การเคารพ หน้าโต๊ะหมู่บูชาหรือหน้าหิ้งพระ ไม่ควรปล่อยให้มีใครมานอนขวาง (เพราะโบราณาจารย์กล่าวว่า ที่ใดมีพระธาตุอยู่ ก็จะมีเทวดามาบูชาสักการะอยู่เสมอ จึงไม่ควรให้ใครมานอนขวางหน้าหิ้งพระ) ไม่ควรปล่อยให้สกปรกเลอะเทอะ ควรทำความสะอาดอยู่เสมอ ห้องพระควรเป็นห้องที่สงบเงียบ สะอาด อากาศถ่ายเทดี เงียบสงบ เหมาะแก่การสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิ ก็จะเป็นสิริมงคลกับผู้อยู่อาศัย
ดอกไม้สำหรับบูชาพระธาตุ ควรเป็นดอกมะลิใส่พานเล็กๆ ตั้งบูชาอยู่เสมอ หรือถ้าไม่มีดอกมะลิจะใช้ดอกไม้ใดก็ได้ที่มีกลิ่นหอม ส่วนที่โต๊ะหมู่บูชาก็ให้จัดดอกบัวหรือดอกไม้อื่นๆ ใส่แจกัน ตามเหมาะควรก็ได้ตามอัธยาศัย
หลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงสอนเรื่องการ “บูชา” ว่ามีอยู่ ๒ ประการ คือ อามิสบูชา และ ปฏิบัติบูชา ทรงตรัสว่าการบูชาด้วยวัตถุสิ่งของต่างๆ ชื่อว่า อามิสบูชา และการบูชาด้วยการปฏิบัติตามคำสอน ชื่อว่า ปฏิบัติบูชา ในการบูชาทั้งสองอย่างนี้ทรงยกย่องปฏิบัติบูชาว่าเป็นเลิศที่สุด เพราะนำผู้ปฏิบัติตามให้เข้าถึงความพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
การบูชาพระธาตุนี้ จัดเป็นอามิสบูชาประเภทหนึ่ง ซึ่งแม้จะจัดเป็นบุญเป็นกุศลอันสูง แต่พุทธศาสนิกชนก็ควรไม่ลืมที่จะต้องปฏิบัติบูชาด้วย คือ ดำรงตนอยู่ในศีลธรรม คุณงามความดีทุกประการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ พระนิพพาน.