โอ้ว่าอนิจจังสังขารเอ๋ย มาลงเอยสิ้นสุดหยุดเคลื่อนไหว ฯ เมื่อหมดหวังครั้งสุดท้ายไม่หายใจ ธาตุลมไฟน้ำดินก็สิ้นตาม ฯ นอนตัวแข็งแลสลดเมื่อหมดชีพ เขาตราสังใส่หีบสี่คนหาม ฯ สู่ป่าช้าสิ้นเชื้อเหลือแต่นาม ใครจะถามเรียกเราก็เปล่าดาย ฯ นี่แหละหนอมนุษย์เรามีเท่านี้ หมดลมแล้วก็ไม่มีซึ่งความหมาย ฯ วิญญาณปราศขาดลับดับจากกาย หยุดวุ่นวายทุกทุกสิ่งนอนนิ่งเลย ฯ เมื่อชีวิตเรานี้มีลมอยู่ จงเร่งรู้ศีลทานนะท่านเอ๋ย ฯ ทั้งภาวนาทำใจหัดให้เคย อย่าละเลยความดีทุกวี่วัน ฯ เมื่อสิ้นลมจิตพรากจากโลกนี้ จะได้พาความดีไปสวรรค์ ฯ อย่าทำบาปน้อยนิดให้ติดพลัน เพราะบาปนั้นจะเป็นเงาตามเราไป ฯ สู่นรกอเวจีที่มืดมิด สุดที่ใครจะตามติดไปช่วยได้ ฯ ต้องทนทุกข์สยดสยองในกองไฟ ตามแต่กรรมของผู้ใดที่ได้ทำ ฯ หมั่นสวดมนต์ภาวนารักษาศีล สอนลูกหลานให้เคยชินทุกเช้าค่ำ ฯ ให้รู้จักเคารพนบพระธรรม อย่าลืมคำที่พระสอนวอนให้ดี ฯ เราเกิดมาเพื่อตายมิใช่อยู่ ทุกทุกคนจะต้องสู่ความเป็นผี ฯ เมื่อเกิดมาเป็นคนได้ทั้งที ก็ควรสร้างความดีติดตัวไป ฯ เพื่อจะได้เป็นสุขไม่ทุกข์ยาก ไม่คับแค้นลำบากเมื่อเกิดใหม่ ฯ ใครทำดีย่อมสุขแท้จงแน่ใจ ใครทำชั่วทุกข์ยากไร้ย่อมถึงตน ฯ เร่งบำเพ็ญทานศีลและภาวนา แสวงหาแต่สิ่งบุญกุศล ฯ ทรัพย์ภายนอกเป็นของโลกโศกระคน ทรัพย์ภายในประดับตนพ้นทุกข์เอย.
เกศาผมหงอก บอกว่าตัวเฒ่า ฟันฟางผมเผ้า แก่แล้วทุกประการ ฯ ตามืดหูหนัก ร้ายนักสาธารณ์ บ่เป็นแก่นสาร ใช่ตัวตนของเรา ฯ แผ่พื้นเปื่อยเน่า เครื่องประดับกายเรา โสโครกทั้งตัว ฯ แข้งขามือสั่น เส้นเอ็นพันพัว เห็นน่าเกลียดกลัว อยู่ในตัวของเรา ฯ ให้มึนให้เมื่อย ให้เจ็บให้เหนื่อย ไปทุกขุมขน ฯ แก่แล้วโรคา เข้ามาหาตน ให้ความทุกข์ทน โศกาอาวรณ์ ฯ จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร ฯ แก่แล้วโรคา เข้ามาวิงวอน ได้ความทุกข์ร้อน ทั่วกายอินทรีย์ ฯ ครั้นสิ้นลมปาก กลับกลายหายจาก เรียกกันว่าผี ฯ ลูกรักผัวรัก เขาชักหน้าหนี เขาว่าซากผี เปื่อยเน่าพุพอง ฯ เขาเสียไม่ได้ เขาไปเยี่ยมมอง เขาบ่ได้ต้อง เกลียดกลัวนักหนา ฯ เขาผูกคอรัด มือเท้าเขามัด รัดรึงตรึงตรา ฯ เขาหามเอาไป ทิ้งไว้ป่าช้า เขากลับคืนมา สู่เหย้าเรือนพลัน ฯ ตนอยู่เอกา อยู่กับหมูหมา ยื้อคร่าพัลวัน ฯ ทรัพย์สินของตน ขนมาปันกัน ข้าวของทั้งนั้น ไม่ใช่ของเรา ฯ เมื่อตนยังอยู่ เรียกว่าของกู เดี๋ยวนี้เป็นของเขา ฯ แต่เงินใส่ปาก เขายังควักล้วงเอา ไปแต่ตัวเปล่า เน่าทั่วสรรพางค์ ฯ อยู่ในป่ารก ได้ยินเสียงนก กึกก้องดงยาง ฯ ได้ยินหมาใน ร้องไห้ครวญคราง ใจจิตอ้างว้าง วิเวกวังเวง ฯ มีหมู่นกแสก บินมาร้องแรก แถกขวัญของตน ฯ เหลียวไม่เห็นใคร อกใจวังเวง ให้อยู่ครื้นเครง รำพึงถึงตัว ฯ ตายไปเป็นผี เขาไม่ใยดี ทิ้งไว้น่ากลัว ฯ ยิ่งคิดยิ่งพรั่น กายสั่นระรัว รำพึงถึงตัว อยู่ในป่าช้า ฯ ผัวมิ่งสินทรัพย์ ยิ่งแลยิ่งลับ ไม่เห็นตามมา ฯ เห็นแต่ศีลทาน เมตตาภาวนา ตามเลี้ยงรักษา อุ่นเนื้ออุ่นใจ ฯ ศีลทานมาช่วย ได้เป็นเพื่อนม้วย เมื่อตนตายไป ฯ ตบแต่งสมบัติ นพรัตน์โพยภัย เลิศล้ำอำไพ อัตตกิเลสมากมี ฯ ศีลพาไปเกิด ได้วิมานเลิศ ประเสริฐโฉมศรี ฯ นางฟ้าแห่ล้อม ห้อมล้อมมากมี ขับกล่อมดีดสี ฟังเสียงบรรเลง ฯ บรรเลงสมบัติ แก้วเก้าเนาวรัตน์ นับน้อยไปหรือ ฯ คุณพระทศพล ที่ตนนับถือ พระธรรมนั้นหรือ สั่งสอนทุกวัน ฯ พระสงฆ์องค์อารีรัก มาเป็นปิ่นปัก พระกรรมฐาน ฯ เอออวยสมบัติ นพรัตน์โอฬาร ดีกว่าลูกหลาน ประเสริฐเพริศเพรา ฯ ลูกผัวที่รัก บ่เป็นตำหนัก รักเขาเสียเปล่า ฯ เขามิตามช่วย เพื่อนม้วยด้วยเรา ไปหลงรักเขา เห็นไม่เป็นการ ฯ รักตนดีกว่า จำศีลภาวนา บำเพ็ญศีลทาน ฯ จะได้ช่วยตน ให้พ้นสงสาร ลุถึงสถาน ได้วิมานทอง ฯ ผู้ใดใจพาล หลงรักลูกหลาน จะต้องจำจอง ฯ เป็นห่วงตัณหา เข้ามารับรอง ตายไปจะต้อง ตกจตุรบาย.
อันยศลาภ หาบไป ไม่ได้แน่ ฯ เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล ฯ ทิ้งสมบัติ ทั้งหลาย ให้ปวงชน ฯ ร่างของตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ
มนุษย์เราเอ๋ย เกิดมาทำไม นิพพานมีสุข หมดทุกข์มิไป ตัณหาหน่วงหนัก คอยชักหน่วงไว้ ฉันไปไม่ได้ ตัณหาผูกพัน ห่วงนั้นพันผูก ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร สละมันเถิด ชีวิตประเสริฐ หยุดเกิดนิพพาน ข้ามพ้นสงสาร ละสังขารไป ยามเมื่อหนุ่มสาว รูปเจ้าก็งาม แก่ลงงุ่มง่าม ไม่งามตรงไหน เอ็นใหญ่เก้าร้อย เอ็นน้อยเก้าพัน ช่วยยึดสังขาร ของท่านเอาไว้ หนาวมากร้อนมาก ก็อยากจะตาย ต้องกินต้องถ่าย วุ่นวายทั้งวัน ขนคิ้วก็ขาว ตาเจ้าก็มัว เส้นผมบนหัว หงอกทั่วถึงกัน จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย เหมือนดอกไม้โรย โอดโอยสังขารพึงเร่งภาวนา อย่าช้าเร็วพลัน ให้เห็นสังขาร เราท่านเกิดมา เป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา สร้างแต่ปัญหา พาให้ทุกข์ทน ชีวิตร่างกาย ต้องตายเป็นผี ลูกผัวที่มี เขาหนีสับสน เปื่อยเน่าพุพอง พี่น้องทุกคน เขาช่วยกันขน ร่างตนเอาไปพวกญาติพี่น้อง หามล่องสู่เมรุ ลำบากยากเข็น ร่างเหม็นหนอนไช ต้องถูกไฟไหม้ ย่างบนกองฟอน เป็นที่แน่นอน เมื่อตอนเจ้าตาย โลภโมโทสัน ของฉันของแก สิ่งใดไหนแน่ เที่ยงแท้ไฉน ทรัพย์สินเงินทอง เป็นของนอกกาย เอาไปไม่ได้ ทิ้งไว้ทุกคน สมบัติทั้งมวล เรือกสวนไร่นา ที่เจ้าอุตส่าห์ ทำมาแต่ต้น ใช่เป็นของเจ้า จะเอาติดตน มันไม่มีผล ให้คนอื่นไป เงินบาทหนึ่งนั้น ลูกหลานใส่ปาก สัปเหร่อยังควัก ไม่อยากให้ใช้ เงินในธนาคาร ลูกหลานเอาไป ต่างแย่งแบ่งใช้ หมดไปไม่นาน มนุษย์เราเอ๋ย อย่าหลงนักเลย เป็นกรรมก่อเกย สังเวยสังขาร จงรีบทำบุญ ค้ำจุนศีลทาน มุ่งสู่นิพพาน ด้วยกันทุกคน อะหัง วันทามิ สัพพะโส นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ.
มนุษย์เราเอย เกิดมาทำไม นิพพานมีสุข อยู่ใยมิไป ตัณหาหน่วงหนัก คอยชักหน่วงไว้ ฯ ฉันไปไม่ได้ ตัณหาผูกพัน ฯ ห่วงนั้นพันผูก ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร จงสละเสียเถิด จะได้ไปนิพพาน ข้ามพ้นภพสาม ยามหนุ่มสาวน้อย หน้าตาแช่มช้อย งามแล้วทุกประการ แก่เฒ่าหนังยาน แต่ล้วนเครื่องเหม็น เอ็นใหญ่เก้าร้อย เอ็นน้อยเก้าพัน มันมาทำเข็ญ ให้ร้อนให้เย็น เมื่อยขบทั้งตัว ขนคิ้วก็ขาว นัยน์ตาก็มัว เส้นผมบนหัว ดำแล้วกลับหงอก หน้าตาเว้าวอก ดูน่าบัดสี จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร จะเข้าที่นอน พึงสอนภาวนา พระอนิจจัง พระอนัตตา เราท่านเกิดมา รังแต่จะตาย ผู้ดีเข็ญใจ ก็ตายเหมือนกัน ข้าวของทั้งนั้น มิติดตัวไป ตายไปเป็นผี ลูกเมียผัวรัก เขาชักหน้าหนี เขาเหม็นซากผี เปื่อยเน่าพุพอง หมู่ญาติพี่น้อง เขาหามเอาไป เขาวางลงไว้ เขานั่งร้องไห้ แล้วกลับคืนมา อยู่แต่ผู้เดียว ป่าไม้ชายเขียว เหลียวไม่เห็นใคร เห็นแต่ฝูงแร้ง เห็นแต่ฝูงกา เห็นแต่ฝูงหมา ยื้อแย่งกันกิน ดูน่าสมเพช กระดูกกูเอ๋ย เรี่ยรายแผ่นดิน แร้งกาหมากิน เอาเป็นอาหาร เที่ยงคืนสงัด ตื่นขึ้นมินาน ไม่เห็นลูกหลาน พี่น้องเผ่าพันธุ์ เห็นแต่นกเค้า จับเจ่าเรียงกัน เห็นแต่นกแสก ร้องแรกแหกขวัญ เห็นแต่ฝูงผี ร้องไห้หากัน มนุษย์เราเอ๋ย อย่าหลงนักเลย ไม่มีแก่นสาร อุตส่าห์ทำบุญ ค้ำจุนเอาไว้ จะได้ไปสวรรค์ จะได้ทันพระเจ้า จะได้เข้านิพพาน อะหัง วันทามิ สัพพะโส อะหัง วันทามิ นิพพานะปัจจะโย โหตุ.
สังขารร่างกาย ต้องตายเป็นผี อยู่ในโลกนี้ ไม่มีแก่นสาร ทรัพย์สินเงินทอง เป็นของสาธารณ์ ไม่ใช่ของท่าน ลูกหลานต้องลา อย่ามัวประมาท โอกาสยังมี อย่าหลงโลกีย์ จะมีปัญหา โลกนี้แท้จริง เป็นสิ่งมายา เป็นสิ่งลวงตา ใช่ว่าจีรัง สังขารร่างกาย อยู่ไม่กี่ปี ก็ตายเป็นผี ไม่มีความหวัง เกิดแก่เจ็บตาย ร่างกายผุพัง ทุกวันเดินทาง สู่ยังกองฟอน จะห้ามไม่ฟัง จะรั้งไม่หยุด เป็นสิ่งสมมุติ ตามพุทธะสอน อำนาจใดใด อย่าไปวิงวอน ไม่ช่วยเราตอน ที่วันสิ้นใจ สังขารเรานี้ เป็นที่สังเวช มันเป็นสาเหตุ สังเกตเอาไว้ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ปวดร้าวอาลัย หิวอิ่มเกินไป ก็ไม่อยู่นาน หนาวก็จะตาย ร้อนก็จะแย่ ลำบากแท้ๆ นี่แลสังขาร ต้องกินต้องถ่าย ทนไปทุกวัน ดูน่าสงสาร คิดกันให้ดี สังขารร่างกาย ทั่วไปเน่าเหม็น มีของกากเดน มองเห็นทุกที่ ไหลเข้าไหลออก ย้อนยอกมากมี ล้วนเป็นสิ่งที่ มีอยู่ทั่วกัน น้ำเลือดน้ำหนอง ล้วนของปฏิกูล ไหลมาเป็นมูล พอกพูนหลายชั้น ข้างนอกเน่าเหม็น มองเห็นทุกวัน อีกข้างในนั้น ล้วนกันไม่งาม สังขารร่างกาย ไม่ใช่ตัวตน เกิดมาเป็นคน ไม่พ้นโดนหาม ต้องนอนเปลือยกาย ให้ไฟลุกลาม เมื่อเจ้าโดนหาม สู่เชิงตะกอน ผู้ดีเข็ญใจ ก็ตายเหมือนกัน อย่าหลงสังขาร ปลงกันไว้ก่อน ลูกหลานหญิงชาย ส่งได้แน่นอน ก็แค่กองฟอน แล้วย้อนกลับมา สังขารร่างกาย ต้องตายเป็นศพ ถูกแผ่นดินกลบ อยู่ในป่าช้า หมู่หนอนชอนไช ตอมไต่กายา เป็นเหยื่อนกกา หมูหมาในดง กระดูกเกลื่อนกลาด เรี่ยราดทั่วไป เอ็นเล็กเอ็นใหญ่ ไร้จุดประสงค์ ต้องถูกทอดทิ้ง นอนกลิ้งในดง เป็นป่ารกพง เปล่าดงกันดาร กระทำให้แจ้ง เจ้าแทงตลอด ให้จิตนี้ปลอด หลุดรอดสังขาร หยุดความกระหาย มุ่งไปนิพพาน ไม่หลงสังขาร ทั่วกันด้วยเถิด จะได้หยุดเกิด มันไม่ประเสริฐ ตราบใดยังเกิด อยู่ในสงสาร รีบภาวนา เพื่อละอัตตา ข้ามพ้นมายา ทั่วหน้ากันเทอญ.