▣ หมวดบุญพิธี ▣
แบ่งออกเป็น ๒ เรื่องคือ
ทำบุญงานมงคล
ทำบุญงานอวมงคล
ทำบุญงานมงคล ก็คืองานที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างสิริมงคล ทำเพื่อความสุขความเจริญของชีวิต เช่น งานมงคลสมรส งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น
⊡ ระเบียบพิธี
ฝ่ายเจ้าภาพ เบื้องต้นต้องเตรียมการให้พร้อมก่อนงานเริ่ม ดังนี้
๑. นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ สำหรับงานมงคลส่วนมาก นิยมนิมนต์พระสงฆ์เป็นเลขคี่ เช่น ๕ รูป, ๗ รูป, ๙ รูป หรือมากกว่านั้น เป็นต้น ฯ ส่วนงานมงคลสมรส นิยมนิมนต์พระเป็นเลขคู่ เช่น ๑๐ รูป เพื่อให้ฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาวแบ่งกันอาราธนาพระฝ่ายละครึ่ง ฯ การใช้คำนิมนต์พระมาในงานมงคลที่เป็นทางการนี้ให้ใช้คำว่า "อาราธนาเจริญพระพุทธมนต์" ไม่ใช้คำว่า "สวดพระพุทธมนต์" ฯ
คำว่า "นิมนต์" กับคำว่า "อาราธนา" มีความหมายคล้ายกัน และบางครั้งสามารถใช้แทนกันได้ ฯ แต่คำว่า นิมนต์ ส่วนมากใช้สำหรับการเชื้อเชิญพระภิกษุสงฆ์ หรือในการต้อนรับพระภิกษุสงฆ์ เช่น นิมนต์เข้าไปในบ้าน, นิมนต์รับบิณฑบาต, นิมนต์ฉันน้ำ ฯลฯ เป็นต้น ฯ ส่วนคำว่าอาราธนามักใช้ในการขอร้องให้พระสวดพระคาถา หรือขอให้ท่านแสดงธรรม เป็นต้น ฯ
๒. เตรียมที่ตั้งพระพุทธรูป โดยจัดตั้งเป็นโต๊ะหมู่บูชาตามเหมาะควร พร้อมเครื่องบูชา เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้นฯ โดยหันหน้าพระพุทธรูปไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก แต่หากสถานที่ไม่อำนวยก็อาจหันไปทางทิศอื่นได้ตามเหมาะควร และควรหันหน้าไปทางเดียวกันกับแถวของพระภิกษุสงฆ์
๓. ตกแต่งสถานที่บริเวณพิธี ปูลาดอาสนะสำหรับภิกษุพระสงฆ์ให้ครบตามจำนวนที่นิมนต์ไว้ โดยมีข้อที่ควรระวังคือ ที่นั่งของพระภิกษุสงฆ์กับของฆราวาสควรแยกออกจากกันไว้คนละส่วน ฯ แต่หากแยกกันไม่ได้ จำเป็นต้องปูติดกัน ก็ให้ที่นั่งของพระภิกษุสงฆ์อยู่ในอาสนะที่สูงกว่า ไม่ควรอยู่ต่ำกว่าที่นั่งของฆราวาส หากปูเสื่อผืนยาวเต็มห้องก็ควรให้เสื่อของพระภิกษุสงฆ์นั้นซ้อนทับอยู่ด้านบนของเสื่อฆราวาส ไม่ควรให้เสื่อของฆราวาสทับบนเสื่อหรืออาสนะของพระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น ฯ
๔. วงด้ายสายสิญจน์ ใช้สายสิญจน์วงรอบฐานของพระพุทธรูป แล้ววงรอบยาวไปในบริเวณงาน หรือรอบบริเวณบ้าน โดยให้สายสิญจน์อยู่ในระดับสูง เพื่อไม่ให้เกะกะหรือกีดขวาง แล้วนำม้วนของสายสิญจน์มาใส่พานหรือภาชนะที่เหมาะสมวางไว้ใกล้กับโต๊ะหมู่บูชา ฯ วงด้ายสายสิญจน์นี้ไม่ควรให้ใครเดินข้ามเด็ดขาด เพราะถือเป็นของที่เชื่อมต่อกับพระพุทธรูป ฯ หรือหากไม่ต้องการวงรอบบ้านก็ได้ เพียงวงรอบฐานพระพุทธรูปแล้ววางไว้บนพานวางเตรียมไว้
๕. เตรียมเครื่องรับรองพระภิกษุสงฆ์ตามควร เช่น น้ำดื่ม เครื่องดื่ม กระโถน กระดาษชำระ เป็นต้น โดยให้วางไว้ด้านข้างอาสนะของแต่ละรูป
๖. เตรียมภาชนะสำหรับทำน้ำมนต์ โดยใช้ขันน้ำมนต์ หรือขันน้ำที่มีพานรอง หรือจะใช้บาตรพระก็ได้ แล้วแต่จะจัดหาได้ ใส่น้ำสะอาดลงไปพอประมาณ ใส่ใบเงินใบทองหรือดอกบัวลงไปด้วยเล็กน้อย เตรียมเทียนน้ำมนต์ไว้ ควรเป็นเทียนขี้ผึ้งหนัก ๑ บาทเป็นอย่างน้อย
๗. เตรียมภัตตาหารสำหรับถวายพระ หากภายในงานจะมีการทำบุญเลี้ยงพระ ให้เตรียมภัตตาหารไว้สำหรับถวายพระภิกษุสงฆ์ ฯ และหากเป็นงานตอนเช้า ให้เตรียมอาหารไว้สำหรับใส่ปิ่นโตถวายพระไว้ฉันเพลด้วย
เมื่อกำหนดงานมาถึง พระภิกษุสงฆ์มาถึงงานและนั่งในที่อาสนะแล้ว เจ้าภาพหรือมรรคนายก (ผู้นำพิธี) เข้าไปประเคนเครื่องรับรองที่เตรียมไว้ ประเคนสายสิญจน์ ประเคนขันน้ำมนต์ ส่วนอื่นนอกนั้น เช่น กระโถน ไม่ต้องประเคน ฯ จากนั้นเจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระ กราบพระ ๓ ครั้ง จากนั้นเจ้าภาพหรือมรรคนายก กล่าวคำอาราธนาศีล และรับศีลต่อไป แล้วอาราธนาพระปริตร
จากนั้นเจ้าภาพหรือมรรคนายก ควรเป็นผู้กล่าวชุมนุมเทวดา แต่หากกล่าวไม่ได้ ก็จะเป็นหน้าที่ของพระภิกษุรูปที่ ๓ เป็นผู้กล่าวชุมนุมเทวดาแทนก็ได้ ฯ จากนั้นพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดเจริญพระพุทธมนต์ นั่งฟังไปจนพระสวดถึงบทมงคลสูตร (อะเสวะนา...ฯ) เจ้าภาพเข้าไปจุดเทียนที่ขันน้ำมนต์ พระท่านจะสวดไปเรื่อยๆ หากมีการตักบาตรภายในงานพอพระท่านสวดถึงบท พาหุง...ฯ จึงลุกขึ้นไปตักบาตร เสร็จแล้วนั่งฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ไปจนจบ ฯ
ฝ่ายพระสงฆ์ ควรนำพัดมาด้วยทุกรูป แต่ไม่ควรใช้พัดที่เกี่ยวกับงานศพ ฯ หากนำพัดมาไม่ได้ทุกรูป พึงนำมาสำหรับหัวหน้าสงฆ์รูปเดียวก็ได้ ฯ ตั้งพัดไว้ด้านข้างทางขวามือของแต่ละรูป ฯ พัดนี้ใช้ในคราวที่ให้ศีล (เฉพาะหัวหน้าใช้), ตอนชุมนุมเทวดาและตอนขัดตำนาน (เฉพาะรูปที่สามใช้), ตอนอนุโมทนาท้ายพิธีต้องใช้ทุกรูป, หรือหากมีการบังสุกุลอัฐิก็ต้องใช้ทุกรูปเช่นกัน ฯ
เมื่อพระภิกษุสงฆ์เดินทางมาถึงภายในงานแล้ว นั่งลงบนอาสนะที่เขาเตรียมไว้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย หากเขาปูผ้าขาวไว้ ควรระวังไม่ควรใช้เท้าเหยียบลงบนผ้าขาวโดยตรง เพื่อเป็นการสำรวมระวังไม่ให้เหยีบย่ำสิ่งที่ทางโลกเขาสมมุติกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ หากหลบไม่ได้ให้คุกเข่าบนผ้าขาว แล้วเดินเข่าเข้าไปนั่งบนอาสนะ ฯ เมื่อทายกถวายน้ำดื่มเครื่องรับรองเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าภิกษุสงฆ์คลี่สายสิญจน์ส่งไปทางท้ายแถวภิกษุสงฆ์ โดยวางม้วนสายสิญจน์ที่เหลือไว้บนพานหรือภาชนะที่เหมาะควร ไม่ควรข้ามกรายสายสิญจน์เด็ดขาด เพราะเชื่อมต่อกับพระพุทธรูปซึ่งเป็นองค์แทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากประสงค์จะหยิบสิ่งของนอกวงสายสิญจน์ให้ยกสายสิญจน์ขึ้นก่อน แล้วลอดมือไปหยิบเอา
ในงานมงคลทั่วไปให้เจริญพระพุทธมนต์ ๗ ตำนานหรือ ๑๒ ตำนาน ฯ โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยอีก เช่น ในงานมงคลสมรสหรืองานแต่งงาน ให้เจริญพระพุทธมนต์บท "อังคุลิมาละปริตร" (ยะโตหัง ภะคินีฯ) เพิ่มเข้ามาเพื่อเป็นการให้พรเจ้าสาวในการมีบุตรในวันข้างหน้า ฯ หากเป็นงานขึ้นบ้านใหม่ให้เจริญพระพุทธมนต์บท "วัฏฏะกะปริตร" (อัตถิ โลเกฯ) เพื่อขอบารมีป้องกันอัคคีภัยให้ ฯ หากเป็นงานทำบุญต่ออายุหรืองานทำบุญให้คนป่วย ให้เจริญพระพุทธมนต์บท "โพชฌังคะปริตร" (โพชฌังโคฯ) เป็นต้น ฯ
สำหรับบทสวด ๗ ตำนาน ประกอบด้วย ๗ พระปริตร คือ ๑.มังคลปริตร (อะเสวะนาฯ) ๒.รัตนปริตร (ยังกิญจิ วิตตังฯ) ๓.เมตตปริตร (กะระณียะฯ) ๔.ขันธปริตร (วิรูปักเขฯ) ๕.โมรปริตร (อุเทฯ) ๖.ธชัคคปริตร (อิติปิโสฯ) ๗.อาฏานาฏิยปริตร (วิปัสสิสฯ, นัตถิ เมฯ, ยังกิญจิ ระตะนังโลเกฯ, สักกัตวาฯ)
สำหรับบทสวด ๑๒ ตำนาน ประกอบด้วย ๑๒ พระปริตร โดยเพิ่มจาก ๗ ตำนานเข้ามาอีก ๕ พระปริตร คือ ๑.วัฏฏกปริตร (อัตถิ โลเกฯ) ๒.อังคุลิมาลปริตร (ยะโตหังฯ) ๓.โพชฌังคปริตร (โพชฌังโคฯ) ๔.อภยปริตร (ยันทุนฯ) ๕.ชัยปริตร (มะหากา, ชะยันโตฯ)
บทสุดท้ายสวดบท เทวะตาอุยโยชะนะคาถา (ทุกขัปปัตตาฯ) เพื่อเป็นการส่งเทวดา ฯ หรือจะต่อด้วยบท มงคลจักรวาลใหญ่ (สิริธิติฯ) ด้วยก็ได้ ฯ แล้วต่อด้วยบท ภะวะตุ สัพฯ เสร็จแล้วม้วนเก็บด้ายสายสิญจน์ ฯ
ฝ่ายเจ้าภาพ เมื่ออาหารพร้อมแล้วให้ยกอาหารมาวางในที่กำหนด ฯ หากมีการจัดชุดอาหารสำหรับบูชาพระพุทธ ก็ให้กล่าวคำบูชาข้าวพระพุทธก่อนด้วย ฯ การจัดอาหารบูชาข้าวพระพุทธนี้เจ้าภาพจะจัดหรือไม่จัดก็แล้วแต่ความประสงค์ของเจ้าภาพ เพราะชาวพุทธบางท่านถือว่าเป็นพิธีที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ จึงแล้วแต่ศรัทธาและความประสงค์ของเจ้าภาพ ฯ จากนั้นเจ้าภาพหรือมรรคนายกกล่าวคำถวายภัตตาหาร แล้วเข้ามาประเคนภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ต่อไป ฯ
เมื่อพระภิกษุสงฆ์ฉันอาหารเรียบร้อยแล้ว หากมีเครื่องไทยทานพึงนำมาถวายในตอนนี้ จากนั้นหัวหน้าพระภิกษุสงฆ์ควรจะกล่าวคำอนุโมทนาเป็นภาษาไทยก่อน เรียกว่า "สัมโมทนียกถา" เพื่อให้เจ้าภาพเกิดความรื่นเริงในทานยิ่งขึ้นไป ฯ หากเป็นงานมงคลสมรสควรให้โอวาทธรรมแก่คู่บ่าวสาวในการครองชีวิตด้วย "ฆราวาสธรรม" เป็นต้น ฯ จากนั้นอนุโมทนาเป็นภาษาบาลีต่อไป ฯ
เมื่อพระภิกษุสงฆ์เริ่มอนุโมทนาด้วยบท ยะถา วาริวะหาฯ... เจ้าภาพก็กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับญาติพี่น้องหรือสรรพสัตว์ ฯ โดยการกรวดน้ำนั้นจะใช้น้ำหรือไม่ใช้น้ำก็ได้ เพราะจุดประสงค์อยู่ที่การอุทิศส่วนบุญ ซึ่งเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุข้อที่ว่า "ปัตติทานมัย" คือการให้ส่วนบุญ ฯ หากไม่ใช้น้ำ ก็ให้ใช้จิตระลึกถึงส่วนบุญที่ทำ แล้วนึกน้อมอุทิศส่วนบุญไปตามปรารถนาก็ได้เช่นกัน ฯ เมื่อพระว่าถึงบท สัพพีติโยฯ... พึงนั่งประนมมือฟังต่อไปจนจบ หากมีการประพรมน้ำมนต์ก็ประพรมในขณะพระให้พร หรือเมื่อพระให้พรจบแล้วก็ได้ ฯ หากเป็นงานมงคลสมรส มักจะให้พระภิกษุทุกรูปประพรมน้ำมนต์ให้กับคู่บ่าวสาวด้วย ฯ เสร็จแล้วกราบลาพระด้วยบท อะระหัง สัมมาฯ... เป็นอันเสร็จพิธี แล้วส่งพระภิกษุสงฆ์กลับวัด ฯ
หากเป็นงานสวดมนต์เย็น ไม่มีการเลี้ยงภัตตาหารพระในวันงาน แต่จะไปเลี้ยงในเช้าวันถัดไป ฯ เมื่อเช้าวันถัดไปมาถึง พึงต้อนรับพระภิกษุเช่นเดียวกับงานวันแรก เสร็จแล้วอาราธนาศีล แต่ไม่ต้องอาราธนาพระปริตร ฯ พระท่านจะสวดถวายพรพระ ฯ เมื่อพระสวดถึงบท พาหุง สะหัสสะฯ.... พึงตักบาตรให้เรียบร้อย แล้วนั่งฟังพระสวดมนต์ต่อไปจนจบ เสร็จแล้วกล่าวคำถวายภัตตาหาร และอื่นๆต่อไปตามที่กล่าวมาแล้ว ฯ เป็นอันเสร็จพิธี.
คำแนะนำสำหรับพระภิกษุสงฆ์ เมื่อรับกิจนิมนต์แล้วพึงมาตามกำหนดเวลาที่เจ้าภาพนัดหมาย ไม่ควรมาเร็วเกินไป เพราะการเตรียมการของเจ้าภาพอาจจะยังไม่เสร็จ หากพระมาเร็วก่อนกำหนดอาจทำให้เจ้าภาพอึดอัดใจ ฯ หากพระมาช้าเกินไปก็จะทำให้เจ้าภาพกระวนกระวายได้ พึงรู้กาลเวลาอันควรที่เหมาะสม ฯ ส่วนหลักการอื่นๆ พึงอ่านศึกษาในหนังสือ "ศาสนพิธี" ของนักธรรมชั้นตรี - ชั้นโท - ชั้นเอก โดยละเอียดต่อไป ฯ
งานอวมงคล ก็คืองานที่ทำบุญปรารภการเสียชีวิต เช่น งานทำบุญหน้าศพ, งานทำบุญอัฐิ (กระดูก), งานทำบุญครบรอบการเสียชีวิต ๗ วัน, ครบรอบ ๕๐ วัน, ครบรอบ ๑๐๐ วัน, เป็นต้น ฯ มีระเบียบวิธีแยกประเภทของงานออกดังนี้
◉ งานทำบุญหน้าศพ (ศพยังปรากฏอยู่)
ฝ่ายเจ้าภาพ พิธีกรรมส่วนใหญ่จะคล้ายกับงานมงคลทั่วไป แต่จะมีข้อแตกต่างกันบ้าง คือ นิยมนิมนต์พระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนเลขคู่ เช่น ๘ รูป ๑๐ รูป หรือมากกว่า ฯ ไม่ใช้คำว่า "อาราธนาเจริญพระพุทธมนต์" แต่จะใช้คำว่า "อาราธนาสวดพระพุทธมนต์" ฯ ไม่วงด้ายสายสิญจน์ ไม่ตั้งขันน้ำมนต์ ฯ เตรียมสายโยง (สายสิญจน์) หรือภูษาโยง (แผ่นผ้ายาว) ต่อจากศพไว้ เพื่อใช้สำหรับการบังสุกุล ฯ หลักการเดินสายโยงหรือภูษาโยง มีข้อที่ควรระวังคืออย่าโยงสูงกว่าพระพุทธรูปที่ตั้งในพิธี หรือไม่ควรปล่อยลาดลงมากับพื้นที่เดินหรือนั่งก็ไม่ควร เพราะเป็นสายที่โยงออกมาจากกระหม่อมของศพ เป็นสิ่งที่เนื่องด้วยศพ จึงควรโยงให้เหมาะสม ฯ ในวันเลี้ยงพระ เมื่อพระสงฆ์ฉันอาหารเสร็จแล้วนิยมให้มีบังสุกุล แล้วจึงถวายไทยธรรม เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาพึงกรวดน้ำอุทิศกุศลต่อไป
ฝ่ายภิกษุสงฆ์ ปฏิบัติคล้ายกับงานมงคล แต่ที่ต่างไปคือ พัดที่นำไปต้องใช้พัดที่เกี่ยวกับศพเป็นเหมาะสม เพราะงานอวมงคลเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตายทั้งสิ้น ฯ สำหรับบทสวดนั้นมีหลักดังนี้ ฯ หากเป็นงานทำบุญหน้าศพ ๗ วัน สวดอนัตตลักขณสูตร ฯ ทำบุญหน้าศพ ๕๐ วัน สวดอาทิตตปริยายสูตร ฯ ทำบุญหน้าศพ ๑๐๐ วันหรือทำบุญวันปลงศพ สวดธรรมนิยามสูตร ฯ ทำบุญศพในวาระอื่นจากนี้ จะสวดสูตรอื่นใดนอกจากที่กล่าวนี้ก็ได้ แล้วแต่เจ้าภาพประสงค์ หรือหัวหน้านำสวด แต่มีธรรมเนียมอยู่ว่า ไม่สวดเจ็ดตำนาน, สิบสองตำนาน, ธรรมจักร, มหาสมัย ฯ
ในการสวดมีระเบียบปฏิบัติคือ เมื่อพระให้ศีลและอาราธนาสวดพระปริตรแล้ว ไม่ต้องชุมนุมเทวดา ฯ จากนั้นหัวหน้านำสวดด้วยบทดังนี้ นะโม...ฯ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ ยะถาปิ เสลา ฯ เมื่อจบบทนี้แล้วพระทุกรูปลดมือลง ส่วนพระรูปที่ ๓ พึงตั้งพัดขัดตำนานบทที่จะสวดต่อไปตามที่กล่าวแล้ว สูตรใดสูตรหนึ่ง ฯ จากนั้นหัวหน้าพระนำสวดบทสูตรนั้นไปจนจบ จากนั้นต่อท้ายงานอวมงคลด้วยบท ปฏิจจสมุปบาท (อะวิชชา ปัจจะยา), พุทธะอุทานคาถา (ยะทา หะเว), ภัตเทกะรัตตะคาถา (อะตีตัง นานวา), ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ฯ ถ้ามีการสวดธรรมนิยามสูตร ให้สวด ติลักขณาทิคาถา (สัพเพ สังขารา อนิจจาติ) ก่อนสวดปฏิจจสมุปบาทด้วย
เมื่อสวดมนต์จบแล้ว ถ้ามีการชักผ้าบังสุกุลต่อท้าย เจ้าภาพจะลากสายโยงหรือภูษาโยง แล้วทอดผ้า จากนั้นพระสงฆ์ตั้งพัด จับพัดด้วยมือซ้าย พร้อมกันชักผ้าบังสุกุล จับผ้าด้วยมือขวา ใช้นิ้วมือ ๔ นิ้ว เว้นนิ้วแม่มือ สอดเข้าใต้ผ้า แล้วใช้นิ้วแม่มือจับบนผ้า อย่าคว่ำมือหรือทำเพียงใช้นิ้วแตะๆเท่านั้น เพราะเป็นกิริยาไม่สมควร จากนั้นชักบังสุกุล จบแล้วชักผ้าออกจากสายโยง
หากเป็นงานวันเดียว คือทั้งสวดมนต์และเลี้ยงพระในวันเดียวกัน ให้สวดมนต์ก่อนฉัน ในการสวดนั้นมีข้อแปลกจากงานที่ทำสองวันอยู่ประการหนึ่งคือ เมื่อสวดถึงบท ภัทเทกรัตตคาถา (อะตีตัง นานวาคะเมยยะ) จบแล้วให้สวดถวายพรพระต่อไปจนจบ จึงเสร็จพิธีสวดมนต์ ฯ หากไม่มีการเลี้ยงพระก็ไม่ต้องสวดบทถวายพรพระ ฯ การอนุโมทนา พึงใช้บท อะทาสิ เมฯ เพราะศพยังปรากฏอยู่
ขั้นตอนเตรียมการ
แจ้งนัดหมายเจ้าหน้าที่สุสานหรือเจ้าหน้าที่ของวัด
นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ ๔ รูป
ผ้าบังสุกุล ๔ ผืน
ปัจจัยถวายพระ ๔ ซอง
โกศใส่กระดูก, ลุ้งใส่อังคาร (เถ้ากระดูก)
ผ้าขาว ๒ ผืน สำหรับห่อกระดูก
กระถางธูป, ธูป
กลีบดอกไม้ เช่น กลีบกุหลาบ กลีบมะลิ ฯลฯ
น้ำขมิ้น น้ำส้มป่อย
น้ำอบไทย
เงินเหรียญ
เมื่อถึงกำหนดเวลา พึงนำโต๊ะมาตั้งในพิธี ฯ นำผ้าขาวมาปูไว้ผืนหนึ่งบนโต๊ะ ฯ นำกระดูกมาวางเรียงเป็นรูปคนในผ้าขาว ฯ จากนั้นนำผ้าขาวอีกผืนมาวางทับบนกองกระดูก ตรงครึ่งตัวของรูปคน คล้ายกับการห่มผ้าให้ตรงหน้าอก ซึ่งขั้นตอนห่มผ้าขาวอีกผืนนี้จะเว้นไม่ทำก็ได้ แล้วแต่ความนิยมของท้องถิ่น ฯ จากนั้นเจ้าภาพและญาติ จุดธูปคนละดอก ไหว้เคารพกระดูก แล้วปักธูปในกระถางธูป ฯ จากนั้นเจ้าภาพและญาตินำผ้าบังสุกุลทั้ง ๔ ผืน มาวางตรงมุมโต๊ะทั้ง ๔ มุม แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาชักผ้าบังสุกุล พระสงฆ์จะพิจารณาด้วยบท "บังสุกุลตาย" คือ อนิจจา วะตะสังขารา... ฯ แต่พระยังไม่ดึงผ้าออกไป ฯ จากนั้นทำการ "กลับธาตุ" คือ ยกโต๊ะหันกลับไปด้านตรงข้าม หัวไปอยู่ท้าย-ท้ายไปอยู่หัว ฯ หากโต๊ะใหญ่ยกไม่สะดวก ก็ใช้วิธีนิมนต์ให้พระสงฆ์เดินมาอยู่ตำแหน่งที่สลับด้านกันแทนก็ได้ ฯ แล้วนิมนต์พระสงฆ์ชักบังสุกุลต่อ พระสงฆ์จะพิจารณาด้วยบท "บังสุกุลเป็น" คือ อะจิรัง วะตะยัง กาโย... ฯ แล้วพระดึงผ้าออกไป จากนั้นนิมนต์พระสงฆ์ไปนั่งในที่นั่งรับรองที่จัดเตรียมไว้ ฯ จากนั้นนำกลีบดอกไม้มาโปรยบนกองกระดูก แล้วพรมน้ำขมิ้นน้ำส้มป่อย แล้วพรมน้ำอบไทย แล้วโปรยเงินเหรียญบนกองกระดูก ฯ จากนั้นถวายปัจจัยเครื่องไทยทานที่เตรียมไว้แด่พระสงฆ์ ฯ พระสงฆ์อนุโมทนาให้พร ฯ จากนั้นนำกระดูกใส่โกศที่เตรียมไว้ นำเถ้ากระดูกใส่ลุ้งที่เตรียมไว้ แล้วนำผ้าขาวนั้นห่อลุ้ง ทำเป็นหูมัดให้เรียบร้อย แล้วมอบให้เจ้าภาพนำไปบรรจุ หรือไปลอยอังคารตามต้องการต่อไป ฯ
พิธีคลุมบาตร คือการทำบุญกระดูกผู้วายชนม์ในเช้าวันเก็บอัฐิ ถ้าเทียบกับพิธีของหลวงก็คือพิธีสามหาบนั่นเอง ฯ ธรรมเนียมการคลุมบาตรมักจะทำกันที่วัด ไม่ใคร่จะทำกันที่บ้าน ฯ
ฝ่ายเจ้าภาพพึงนิมนต์พระสงฆ์ตามจำนวนที่ต้องการ เมื่อถึงกำหนดเวลาพึงนำบาตรของพระแต่ละรูปมาวางเรียงกันไปตามอาวุโสพรรษา จากนั้นเจ้าภาพนำข้าวมาตักบาตรลงในบาตรทุกใบให้เสร็จก่อนพระสงฆ์จะลงมาฉันเช้า ฯ จากนั้นเจ้าภาพนำผ้าขาว (หรือใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวก็ได้) ขนาดผืนพอปิดปากบาตรแต่ละใบ มาวางปิดปากบาตรแต่ละใบให้ครบ เพื่อกันแมลงหรือสิ่งต่างๆ หล่นลงในบาตร อันเป็นที่มาของการเรียกว่า "คลุมบาตร" ฯ
เมื่อถึงกำหนดเวลา พระสงฆ์ลงมาแล้ว พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์และรับถวายภัตตาหารแล้ว เจ้าภาพก็ประเคนบาตร พร้อมกับสำรับกับข้าวอาหารหวานคาว จากนั้นพระสงฆ์พิจารณาอาหาร (ปะฏิสังขาโย ฯลฯ) แล้วลงมือฉัน จากนั้นพระสงฆ์อนุโมทนาให้พร เป็นอันเสร็จพิธี
งานทำบุญอัฐิ ฝ่ายเจ้าภาพพึงเตรียมงานตามที่จัดงานทำบุญหน้าศพทุกประการ ต่างกันเพียงแต่งานนี้เป็นการทำบุญหน้าอัฐิหรือหน้ารูปถ่ายที่ระลึก ให้ตั้งโต๊ะแยกออกมาต่างหาก โดยจัดเครื่องบูชาตามเหมาะสม
ฝ่ายพระสงฆ์ พึงปฏิบัติเช่นเดียวกับงานทำบุญหน้าศพเช่นเดิม ส่วนบทสวดนั้นนิยมสวดบทอื่นๆ จากที่กล่าวแล้วนั้น หรืออาจสวดธรรมนิยามสูตร หรือ สติปัฏฐานปาฐะ ก็แล้วแต่หัวหน้านำสวด ฯ
ขั้นตอนเตรียมการ
นิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูป
โต๊ะวางอุปกรณ์
ผ้าขาว ๒ เมตร
พานรองรับดอกไม้เคารพอัฐิ
กระถางธูป-ธูป
พวงมาลัยดอกมะลิ หรือดอกไม้อื่นๆ
แจกัน ๑ คู่
ดอกไม้ ๑ กำมือ
น้ำอบไทย
ผ้าบังสุกุล ๔ ผืน
ปัจจัยไทยทานสำหรับถวายพระ
เต้ากรวดน้ำ
ปูนซีเมนต์สำหรับปิดช่องบรรจุอัฐิ
เมื่อถึงกำหนดเวลา พึงนำโต๊ะไปตั้งหน้ากู่หรือเจดีย์ที่จะบรรจุอัฐิ แล้วเปิดผาโกศหรือลุ้งที่มีอัฐิอยู่ภายใน จากนั้นเจ้าภาพและญาติจุดธูปคนละดอก บูชาเคารพอัฐิ นำไปปักบนกระถางธูป หากมีดอกไม้บูชาก็นำไปวางบนพานที่เตรียมไว้ ● จากนั้นเจ้าภาพและญาตินำผ้าบังสุกุล ๔ ผืน ไปวางที่มุมโต๊ะ แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาชักผ้าบังสุกุล แล้วนิมนต์พระสงฆ์นั่งพักที่เก้าอี้หรือในที่จัดเตรียมไว้ ● จากนั้นเจ้าภาพนำปัจจัยไทยธรรมมาถวายแด่พระสงฆ์ ฯ พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำรับพรไปจนจบ ● จากนั้นนิมนต์พระสงฆ์ประพรมน้ำอบไทยที่อัฐิ และที่กู่หรือช่องเจดีย์บรรจุอัฐิด้วย ฯ จากนั้นเจ้าภาพและญาติร่วมประพรมน้ำอบไทยบนกระดูก และที่กู่เจดีย์บรรจุด้วย ● จากนั้นนำอัฐิบรรจุในกู่หรือเจดีย์ ฉาบปูนปิดให้เรียบร้อย
พิธีลอยอัฐิ (กระดูก) และลอยอังคาร (เถ้าถ่านกระดูก) นี้ เป็นพิธีกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ฮินดู ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ จึงแล้วแต่ความประสงค์ของเจ้าภาพ จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ฯ พิธีลอยอังคารนี้จะเป็นการนำอัฐิและเถ้าถ่านของศพที่เผาแล้วไปลอยในทะเลหรือแม่น้ำ เพราะมีความเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และเมื่อร่างกายแตกดับก็ควรให้กลับไปสู่สภาพเดิมตามธรรมชาติ โดยธาตุ “น้ำ” เป็นหนึ่งในธาตุหลักที่มีลักษณะเย็น สงบ และชุ่มชื่น นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้กับทุกสรรพสิ่งบนโลก จึงมีความเชื่อกันว่าเป็นการส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับให้ไปสู่สุคติ หรือภพภูมิที่ดี มีแต่ความสงบร่มเย็น เปรียบเหมือนสายน้ำที่มีความชุ่มเย็น ฯ พิธีกรรมและอุปกรณ์ประกอบพิธีอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ และเท่าที่จัดหาได้ ฯ
◉ มีอุปกรณ์ ๒ ชุดที่ต้องเตรียมไว้ ดังนี้
๑. ชุดสำหรับขอขมาแม่ย่านางเรือ ประกอบด้วย พวงมาลัย, พานดอกไม้, ธูป ๗ ดอก, เทียน ๑ เล่ม
๒. ชุดสำหรับลอยอัฐิ ลอยอังคาร ประกอบด้วย พานดอกไม้เพื่อขอขมาเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดร, ธูป ๗ ดอก, เทียน ๑ เล่ม, กระทงพานดอกไม้ ๗ สี, พวงมาลัยหรือดอกมะลิ, กลีบกุหลาบ, ดอกกุหลาบ, ดอกมะลิ, น้ำอบไทย
◉ ขั้นตอนการปฏิบัติ
๑. บูชาแม่ย่านางเรือ
คณะญาติมิตรของผู้ล่วงลับนำอังคาร ไปสู่ท่าเทียบเรือ จากนั้นพิธีกรนำประธานในพิธี หรือญาติอาวุโสลงเรือก่อน ส่วนคนอื่น ๆ ให้รอบนท่าเทียบเรือ เมื่อประธานในพิธีลงเรือแล้วจึงนำดอกไม้สดและธูปเทียนที่ใส่รวมไว้ในพานจุดบูชาแม่ย่านางที่หัวเรือ เพื่อกล่าวบูชาและขออนุญาตแม่ย่านางเรือ โดยประธานกล่าวเองหรือพิธีกรกล่าวนำ โดยว่าดังนี้ "ข้าพเจ้าขอน้อมไหว้บูชาแม่ย่านางเรือ ผู้คุ้มครองรักษาเรือลำนี้ ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ ด้วยข้าพเจ้าพร้อมด้วยญาติมิตรขออนุญาตนำอัฐิและอังคารของ....(เอ่ยชื่อผู้วายชนม์) ลงเรือลำนี้ไปลอยในทะเล (หรือแม่น้ำ) ให้ข้าพเจ้าและญาติมิตรกระทำพิธีลอยอัฐิและอังคารลงเรือได้ และได้โปรดคุ้มครองรักษาให้ข้าพเจ้าและญาติมิตรกระทำพิธีลอยอัฐิและอังคารด้วยความสะดวกและปลอดภัยโดยประการทั้งปวง เทอญ" เมื่อทำพิธีบูชาแม่ย่านางเรือเสร็จแล้ว คณะญาติมิตรของผู้ล่วงลับจึงนำอังคารลงเรือและออกเรือไปยังจุดที่จะลอยอังคาร
๒. ไหว้อังคารบนเรือก่อนทำพิธีลอยน้ำ
เมื่อเรือแล่นมาถึงจุดที่จะทำพิธีลอยอังคารแล้วให้หยุดเรือลอยลำ จากนั้นพิธีกรจึงเปิดลุ้ง/ภาชนะดินปั้นที่ใส่อังคารเพื่อจัดเครื่องไหว้ให้ประธานในพิธี ประธานจุดธูปเทียนไหว้อังคารและสรงด้วยน้ำอบไทย โรยดอกมะลิ กลีบกุหลาบ และดอกไม้อื่น ๆ เมื่อทุกคนไหว้อังคารเสร็จแล้ว พิธีกรจึงห่อลุ้งอังคารด้วยผ้าขาวที่มีขนาดความยาวและกว้างประมาณครึ่งเมตร แล้วรวบด้วยสายสิญจน์ทำเป็นจุกข้างบนและสอดพวงมาลัยเข้าไป และแจกดอกกุหลาบให้กับคณะญาติมิตรคนละ ๑ ดอก
๓. บูชาเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดร
พิธีกรจัดเครื่องบูชาเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดรให้แก่ประธาน จากนั้นประธานจึงจุดเทียน ๑ เล่ม และธูป ๗ ดอกที่กระทงดอกไม้ ๗ สี แล้วจึงกล่าวบูชาและฝากอังคารกับเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดร "ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมไหว้บูชาเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดร และเทพยดาทั้งหลายผู้สถิตคุ้มครองรักษาอยู่ในทะเล (แม่น้ำ) นี้ ด้วยเครื่องสักการะนี้ ด้วยข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกอบกุศลกิจ อุทิศส่วนบุญแก่....(เอ่ยชื่อผู้วายชนม์) และบัดนี้จักได้ประกอบพิธีลอยอัฐิและอังคารของ....(เอ่ยชื่อผู้วายชนม์) พร้อมกับขอฝากไว้ในความอภิบาลของเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดร แม่ย่านางเรือ และเทพยดาทั้งหลาย ได้โปรดอนุโมทนาดลบันดาลให้ดวงวิญญาณของ....(เอ่ยชื่อผู้วายชนม์) จงเข้าถึงสุคติในสัมปรายภพ ประสบสุขในทิพยวิมาน ตลอดกาลนาน เทอญ"
๔. เริ่มพิธีลอยอังคาร
เมื่อประธานหรือพิธีกรกล่าวบูชา กล่าวฝากอังคารกับเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดรเสร็จแล้ว พิธีกรจึงเชิญทุกคนยืนไว้อาลัยประมาณ ๑ นาที จากนั้นประธานจึงโยนเหรียญลงทะเล เพื่อซื้อที่ตามธรรมเนียมแล้วลงบันไดเรือทางกาบซ้าย เพื่อลอยกระทงดอกไม้เจ็ดสี โดยใช้มือประคองค่อยๆ วางบนผิวน้ำแล้วจึงอุ้มประคองลุ้งอังคารค่อยๆ วางบนผิวน้ำ โดยให้ผู้ร่วมพิธีทุกคนถือสายสิญจน์ไปด้วย แต่หากกาบเรืออยู่สูงจากผิวน้ำมากเกินไปและไม่มีบันไดลงเรือ ให้ใช้สายสิญจน์ทำเป็นสาแหรก 4 สาย โดยใส่กระทงดอกไม้เจ็ดสี ๑ สาแหรก และใส่ห่อลุ้งอังคาร ๑ สาแหรก ค่อยๆ หย่อนลงไปบนผิวน้ำ (ห้ามโยนลงไปเด็ดขาด) และเมื่อห่อลุ้งอังคารลงสู่ผิวน้ำแล้วให้โรยกลีบกุหลาบ ธูปเทียนตามลงไป รวมไปถึงสิ่งของที่เหลือจากการไหว้บูชา ทั้งหมดก็ให้โรยตามลงไปด้วย เป็นอันเสร็จพิธี