ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ฯ ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจให้กับผู้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาก่อนว่า "ศาสนพิธี" นั้นเป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นภายหลังศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติขึ้น แต่เป็นนักปราชญ์ชาวพุทธรุ่นหลังได้ช่วยกันประดิษฐ์คิดค้นพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา เพื่อสำหรับจัดทำพิธีกรรมต่างๆ ที่เป็นงานเกี่ยวกับการทำบุญทำกุศลต่างๆ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพิธีกรรมเท่านั้น โดยอิงอาศัยหลักการของคำสอนในพระพุทธศาสนาเข้ามาประกอบบ้าง แต่สิ่งของบางอย่างก็บัญญัติเพิ่มเข้ามาโดยไม่ได้มีสอนไว้ในพระไตรปิฎก ฯ ดังนั้นพิธีกรรมเหล่านี้จึงไม่ถือว่าต้องเป็นหลักการที่ตายตัวแต่อย่างใด การจัดพิธีกรรมต่างๆ จึงสามารถปรับปรุงไปตามความนิยมของในแต่ละท้องถิ่นจะจัดทำให้เหมาะสมตามสมควร โดยมีหลักการสำคัญที่จะต้องยึดถือไม่กี่อย่าง เช่น
ต้องไม่เป็นบาป
ต้องไม่ผิดศีลธรรมอันดี
ต้องไม่ขัดกับหลักกฎแห่งกรรม
ต้องไม่เป็นที่น่ารังเกียจของสังคม
ศาสนพิธีแบ่งออกเป็นหลายหมวด ดังนี้...
▣ หมวดกุศลพิธี ▣
แบ่งออกเป็น ๓ เรื่องคือ
พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
พิธีเวียนเทียน
พิธีรักษาศีลอุโบสถ
◈ พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ คำว่า "พุทธมามกะ" แปลว่า "ผู้รับเอาพระพุทธเจ้าเป็นของตน" คือการประกาศตนว่ายอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ฯ การประกาศตนว่านับถือพระรัตนตรัยนี้มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ในสมัยที่บางคนเคยนับถือศาสนาอื่นมาก่อน เมื่อหันมานับถือพระพุทธศาสนาก็จะทำการประกาศปฏิญาณตนว่าได้ยอมรับนับถือพระรัตนตรัยแล้ว เป็นต้น ฯ ในครั้งพุทธกาลไม่มีพิธีกรรมอะไรมาก เพียงแต่คนนั้นพูดออกมาว่าขอยอมรับนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าหรือต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ ก็เป็นอันใช้ได้ ฯ หรือผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุหรือสามเณร ก็จะต้องปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ยอมรับนับถือพระรัตนตรัยก่อน ฯ สำหรับในเมืองไทยเรามักนิยมทำพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะในสมัยเมื่อ
๑. เมื่อบุตรหลานมีอายุพ้นความเป็นทารก คืออายุประมาณ ๑๒-๑๕ ปี ก็ประกอบพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะเพื่อให้เด็กได้สืบความเป็นชาวพุทธตามวงศ์ตระกูลต่อไป
๒. เมื่อจะส่งบุตรหลานที่เป็นชาวพุทธอยู่แล้ว ไปอยู่ในดินแดนที่ไม่ใช่พุทธศาสนา เพื่อให้เด็กได้รำลึกอยู่เสมอว่าตนเป็นพุทธศาสนิกชน
๓. เมื่อจะปลูกฝังนิสัยเยาวชนให้มั่นคงในพระพุทธศาสนา โดยทำรวมกันเป็นหมู่ ทำปีละครั้งหรือตามเหมาะสม
๔. เมื่อมีบุคคลต่างศาสนาเกิดเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ต้องการจะประกาศตนเป็นชาวพุทธ ก็ประกอบพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เพื่อประกาศว่าตนยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว
⊡ ระเบียบพิธี
คือนำดอกไม้ธูปเทียนใส่พานไปถวายพระภิกษุ แจ้งความประสงค์ให้ท่านทราบ ฯ หากเป็นหมู่คณะก็เขียนชื่อของผู้จะแสดงตนในแผ่นกระดาษ แล้วนำมาถวายแด่พระภิกษุ เมื่อพระท่านรับแล้วจึงมอบตัว ฯ พิธีการมอบตัวคือ ถือพานดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปใกล้พระภิกษุ ยกพานน้อมถวาย เมื่อพระรับแล้ว ให้ถอยออกมาเล็กน้อย และกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง หากมีบัญชีรายชื่อหมู่คณะก็น้อมถวายด้วย ฯ จากนั้นฟังคำแนะนำและวันนัดหมาย ขอเผดียงสงฆ์ต่อพระภิกษุ คือนิมนต์พระภิกษุรวมทั้งหมดอย่างน้อย ๔ รูป เสร็จแล้วกราบลาพระ เพื่อมาตามวันนัดหมายต่อไป ฯ
เตรียมการฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ ให้เตรียมสถานที่ในอุโบสถหรือในศาลาตามเหมาะสม ตั้งโต๊ะหมู่บูชามีพระพุทธรูปเป็นประธาน ปูลาดอาสนสงฆ์เรียงไว้ตามลำดับ และปูอาสนะสำหรับพระอาจารย์ประธานสงฆ์ไว้ด้านหน้าคณะสงฆ์ทั้งหมด ฯ เตรียมที่ปักธูปเทียนและที่วางดอกไม้บูชาพระสำหรับผู้แสดงตน
เตรียมการฝ่ายผู้แสดงตน ให้เตรียมชุดขาวสำหรับแต่งกายในวันแสดงตน (ถ้ามี) หรืออาจเป็นเสื้อขาวและกางเกงหรือกระโปรงนักเรียนก็ได้ หรือหากเป็นพนักงานหรือข้าราชการก็แต่งเครื่องแบบของตนตามเหมาะสมก็ได้ ฯ เตรียมดอกไม้ธูปเทียน ๑ ชุด สำหรับถวายพระอาจารย์ และดอกไม้ธูปเทียนสำหรับบูชาพระพุทธรูปประธานด้วย นอกนั้นจะมีไทยธรรมสำหรับถวายคณะสงฆ์ด้วยก็แล้วแต่ศรัทธา
วันพิธีแสดงตน ทุกคนแต่งกายตามที่เตรียมไว้ ไปยังสถานที่ประกอบพิธีก่อนเวลาเล็กน้อย ฯ เมื่อถึงกำหนดเวลาพระอาจารย์และพระสงฆ์เข้าสู่บริเวณพิธี ผู้แสดงตนเข้าไปคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูปประธาน จุดธูปเทียนและวางดอกไม้บูชาพระ ส่งใจระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ฯ หากมาเป็นหมู่คณะให้ผู้นำเป็นตัวแทนจุดธูปเทียน จากนั้นเปล่งวาจาว่า
อิมินา สักกาเรนะ, พุทธัง ปูเชมิ ฯ ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยเครื่องสักการะนี้ (กราบ) อิมินา สักกาเรนะ, ธัมมัง ปูเชมิ ฯ ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรม ด้วยเครื่องสักการะนี้ (กราบ) อิมินา สักกาเรนะ, สังฆัง ปูเชมิ ฯ ข้าพเจ้าขอบูชาพระสงฆ์ ด้วยเครื่องสักการะนี้ (กราบ)
จากนั้นเข้ามาสู่ด้านหน้าพระอาจารย์ ถวายพานเครื่องสักการะ แล้วกราบพระสงฆ์ตรงหน้าพระอาจารย์นั้นด้วย ฯ หากมาเป็นหมู่คณะ ให้ผู้นำเป็นตัวแทนเข้ามาถวายพาน แล้วกราบพร้อมกันด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง ฯ จากนั้นนั่งคุกเข่าประนมมือ เปล่งคำปฏิญาณตนให้เสียงดังฟังชัด ต่อหน้าสงฆ์ทั้งคำบาลีและคำแปล เป็นตอนๆ ไปจนจบ ดังนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯ ข้าพเจ้าขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น (ว่า ๓ หน)
(สำหรับคนเดียว) เอสาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ สังฆัญจะ พุทธะมามะโกติ (หญิงว่า พุทธะมามิกาติ), มัง สังโฆ ธาเรตุ ฯ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้ปรินิพพานไปนานแล้ว, กับทั้งพระธรรมและพระสงฆ์, ว่าเป็นสรณะที่ระลึกนับถือ, ขอพระสงฆ์จงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นพุทธมามกะ, ผู้รับเอาพระพุทธเจ้าเป็นของตน, คือผู้นับถือพระพุทธเจ้า ฯ
(สำหรับหลายคน) เอเต มะยัง (หญิงว่า เอตา มะยัง) ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามะ, ธัมมัญจะ สังฆัญจะ พุทธะมามะกาติ, โน สังโฆ ธาเรตุ ฯ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้ปรินิพพานไปนานแล้ว, กับทั้งพระธรรมและพระสงฆ์, ว่าเป็นสรณะที่ระลึกนับถือ, ขอพระสงฆ์จงจำข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่าเป็นพุทธมามกะ, ผู้รับเอาพระพุทธเจ้าเป็นของตน, คือผู้นับถือพระพุทธเจ้า ฯ
จากนั้นพระสงฆ์ทั้งหมดประนมมือรับ "สาธุ" พร้อมกัน ต่อนั้นผู้ปฏิญาณนั่งพับเพียบ ประนมมือรับฟังโอวาทจากพระอาจารย์ต่อไป ฯ เมื่อจบโอวาทแล้ว ผู้ปฏิญาณรับว่า "สาธุ" พร้อมกัน แล้วนั่งคุกเข่าประนมมือ น้อมตัวลงเล็กน้อย กล่าวคำอาราธนาศีล ๕ และสมาทานศีลตามลำดับ
(คำอาราธนาศีล) อะหัง (หลายคนว่า มะยัง) ภันเต, วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะสีลานิ ยาจามิ (หลายคนว่า ยาจามะ) ฯ ทุติยัมปิ... ฯ ตะติยัมปิ... ฯ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯ (ว่า ๓ หน) ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ฯ
พระอาจารย์ว่า "ยะมะหัง วะทามิ ตัง วะเทหิ" ผู้ปฏิญาณตนรับว่า "อามะ ภันเต"
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะที่ระลึกนับถือ ฯ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นสรณะที่ระลึกนับถือ ฯ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นสรณะที่ระลึกนับถือ ฯ ทุติยัมปิ... แม้ครั้งที่สอง... ฯ ตะติยัมปิ... แม้ครั้งที่สาม... ฯ
พระอาจารย์ว่า "ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง" ผู้ปฏิญาณรับว่า "อามะ ภันเต"
(คำสมาทานศีล) ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯ อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท เว้นจากการลักทรัพย์ ฯ กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ฯ มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท เว้นจากการพูดเท็จ ฯ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท เว้นจากการดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ฯ
อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ ฯ ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท ๕ เหล่านี้ ฯ (ว่า ๓ หน)
พระอาจารย์บอกอานิสงส์ศีลต่อไปว่า ฯ สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา, สีเลนะ นิพพุติง ยันติ, ตัสมา สีลัง วิโสธะเย ฯ
ผู้ปฏิญาณตนกราบ ๓ ครั้ง ฯ ถ้ามีเครื่องไทยธรรม ให้นำมาถวายพระสงฆ์ในตอนนี้ เสร็จแล้วเตรียมกรวดน้ำเมื่อพระสงฆ์อนุโมทนา ฯ
ฝ่ายพระสงฆ์ อนุโมทนาด้วยบทดังนี้ ฯ ยะถา ฯ สัพพีติโย ฯ โส อัตถะลัทโธ หรือ สา อัตถะลัทธา หรือ เต อัตถะลัทธา แล้วแต่กรณี ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ฯ เป็นอันจบพิธี.
◈ พิธีเวียนเทียนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในปัจจุบันถือกัน ๓ วันคือ วันมาฆบูชา, วันวิสาขบูชา, วันอาสาฬหบูชา ฯ ชาวพุทธนิยมทำบุญกันในวันสำคัญนี้ และประกอบพิธีเวียนเทียนรอบปูชนียสถาน หรือปูชนียวัตถุ เพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย และระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสำคัญนั้น
วันมาฆบูชา ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ที่มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ฯ
วันวิสาขบูชา ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ (แต่ในปีที่มีอธิกมาสก็จะเลื่อนไปเป็นวันเพ็ญเดือน ๗) เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ฯ
วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี
⊡ ระเบียบพิธี
เตรียมดอกไม้ธูปเทียน ไปที่วัดหรือพุทธสถาน จะเป็นอุโบสถ พระเจดีย์ พระบรมธาตุ หรือพระพุทธรูปก็ได้ แล้วเดินประทักษิณ คือเดินเวียนขวา ครบ ๓ รอบ ฯ ในระหว่างเดินให้ทำจิตใจให้สงบ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย หรือจะสวดมนต์พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ก็ได้ ฯ เสร็จแล้วปักธูปเทียนบูชาในที่เหมาะสม
หากมีการนัดหมายกันที่วัด ก็ไปให้ทันเวลา เมื่อพร้อมเพรียงกันแล้ว พระภิกษุสงฆ์จะนำทำวัตรสวดมนต์ก่อนก็ได้ หรือไม่สวดก็แล้วแต่กรณี ฯ จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ทุกคนถือดอกไม้ธูปเทียนขึ้น พระภิกษุสงฆ์กล่าวนำบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน เสร็จแล้วพระภิกษุสงฆ์เดินนำหน้า พุทธบริษัทเดินตามหลัง ครบ ๓ รอบ ฯ เสร็จแล้วปักธูปเทียนในที่เหมาะสม เป็นอันเสร็จพิธี ฯ หรือทางวัดอาจจัดให้มีธรรมเทศนา หรือสวดมนต์สลับกันไปจนตลอดรุ่งก็ได้ ฯ
◈ พิธีรักษาอุโบสถศีล
คือวันที่พุทธศาสนิกชนสมาทานรักษาศีลอุโบสถ ในปัจจุบันนิยมรักษากันในวันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ โดยจะทำพิธีรักษาที่บ้านก็ได้ หรือจะไปรวมตัวกันทำพิธีที่วัดก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก ฯ เริ่มจากตอนเช้า หลังจากท้องฟ้าสว่างแล้ว ให้ประกาศตนเพื่อแสดงเจตจำนงที่จะรักษาอุโบสถศีล ฯ หากไปทำที่วัดเมื่อพร้อมเพรียงกันแล้ว ให้ผู้นำกล่าวนำบูชาพระรัตนตรัย จากนั้นผู้นำเป็นผู้ประกาศ ต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ ดังนี้
⊡ คำประกาศอุโบสถศีล
เมื่อสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ผู้นำพึงประนมมือ กล่าวคำประกาศองค์อุโบสถดังต่อไปนี้
อัชชะ โภนโต ปักขัสสะ อัฏฐะมีทิวะโส* เอวะรูโป โข โภนโต ทิวะโส พุทเธนะ ภะคะวะตา ปัญญัติตัสสะ ธัมมัสสะวะนัสสะ เจวะตะทัตถายะ อุปาสะกะอุปาสิกานัง อุโปสะถัสสะ จะ กาโล โหติ ฯ หันทะ มะยัง โภนโต สัพเพ อิธะ สะมาคะตา ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมานุธัมมะปะฏิปัตติยา ปูชะนัตถายะ อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง อุปะวะสิสสามาติ ฯ กาละปะริจเฉทัง กัต๎วา ตัง ตัง เวระมะณิง อารัมมะณัง กะริต๎วา อะวิกขิตตะจิตตา หุต๎วา สักกัจจัง อุโปสะถัง สะมาทิเยยยามะ อีทิสัง หิ อุโปสะถัง สัมปัตตานัง อัมหากัง ชีวิตัง มา นิรัตถะกัง โหตุ ฯ
------------------------
(*นี้สำหรับวันพระ ๘ ค่ำ ถ้าเป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ พึงเปลี่ยนคำว่า อัฏฐะมีทิวะโส เป็น ปัณณะระสีทิวะโส, ถ้าเป็น ๑๔ ค่ำว่า จาตุททะสีทิวะโส)
⊡ คำอาราธนาอุโบสถศีล
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ ฯ ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ ฯ ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ ฯ
⊡ รับไตรสรณคมน์
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ (ว่า ๓ หน)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ
(พระสงฆ์ว่า) ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง ฯ (พึงรับพร้อมกันว่า) อามะ ภันเต ฯ
⊡ คำสมาทานอุโบสถศีล
๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๓. อะพรัหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๖. วิกาละโภชนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๗. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธะ วิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๘. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อิมัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง, พุทธะปัญญัตตัง อุโปสะถัง, อิมัญจะรัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง, สัมมะเทวะ อะภิรักขิตุง สะมาทิยามิ ฯ
(พระสงฆ์ว่า) อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ อุโปสะถะวะเสนะ มะนะสิกะริต๎วา สาธุกัง อัปปะมาเทนะ รักขิตัพพานิฯ (พึงรับว่า) อามะ ภันเตฯ
(พระสงฆ์ว่าต่อ) สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัส๎มา สีลัง วิโสธะเย. (พึงกราบพร้อมกัน ๓ ครั้ง ต่อไปพึงนั่งฟังธรรมเทศนา เมื่อจบแล้วพึงให้สาธุการและสวดประกาศตนพร้อมกันดังนี้)
⊡ คำสวดประกาศตน
อะหัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต (หญิงว่า คะตา) อุปาสะกัตตัง (หญิงว่า อุปาสิกัตตัง) เทเสสิง ภิกขุสังฆัสสะ สัมมุขา เอตัง เม สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะเย ยะถาพะลัง จะเรยยาหัง สัมมาสัมพุทธะสาสะนัง ทุกขะนิสสะระณัสเสวะ ภาคี อัสสัง (หญิงว่า ภาคินิสสัง) อะนาคะเตฯ (กราบหมอบลงว่า)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา ฯ พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง ฯ พุทโธ ปฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง ฯ กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ ฯ กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา ฯ ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง ฯ ธัมโม ปฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง ฯ กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม ฯ กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา ฯ สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง ฯ สังโฆ ปฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง ฯ กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ ฯ
เสร็จพิธี.