การวัดด้านพุทธิพิสัยแบบใหม่
ในช่วงปี ค.ศ.1990 - 1999 แอนเดอร์สัน (Anderson) และ แครทโวทล์ (Krathwohl) ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในคณะของบลูมด้วย ได้มีการปรับปรุงจุดมุ่งหมายทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยของบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) (Anderson and Krathwohl., 2001, Wilson, Leslie O., 2013, Davis R. Krathwohl, 2002) ดังนี้
จากตาราง จะเห็นได้ว่า การปรับปรุงจุดมุ่งหมายทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยใหม่นี้ เป็นการปรับเปลี่ยนนิยามคำศัพท์ และ โครงสร้าง ดังนี้
1. การปรับนิยามคำศัพท์ มีดังนี้
1.1 การเปลี่ยนจากการใช้คำนาม เป็นคำกริยา เพราะคำกริยาสามารถอธิบายการกระทำของพุทธิพิสัยได้ดีกว่าคำนาม เช่น ความรู้ (Knowledge) เปลี่ยนเป็นจำ (Remember) ความเข้าใจ (Comprehension) เปลี่ยนเป็น เข้าใจ (Understand) เป็นต้น
1.2 การปรับเปลี่ยนคำอธิบาย หรือ คำนิยามของแต่ละด้าน ดังนี้
1.2.1 จำ (Remember) หมายถึง ความสามารถในการดึง (Retrieving) ความรู้ที่เกี่ยวข้อง จากหน่วยความจำระยะยาว (Long term memory) (ทำหน้าที่เหมือนคลังข้อมูลถาวรซึ่งบรรจุทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับโลกเอาไว้ เป็นระบบ ที่สามารถเก็บข้อมูลความจำได้นาน และไม่จำกัด โดยจะเก็บข้อมูลไว้บนพื้นฐานของความหมายและความสำคัญของข้อมูล) ประกอบด้วย
1) การจำได้ (Recognizing) หรือ เรียกว่า การระบุ (Identifying)
2) การระลึกได้ (Recalling) หรือ เรียกว่า การดึงความรู้ออกมา (Retrieving)
1.2.2 เข้าใจ (Understand) หมายถึง ความสามารถในการอธิบายความหมายของข้อความ การใช้คำพูดอธิบายปากเปล่า (Oral) การเขียน (Writing) และ การสื่อความหมาย (Graphic communication) ประกอบด้วย
1) การตีความ (Interpreting) เช่น อธิบายความ (clarifying) ถอดความ (Paraphrasing) แสดงให้เห็น (representing) การแปลความ (translating)
2) การยกตัวอย่าง (Exemplifying) เช่น การอธิบายให้เห็นภาพประกอบ (illustrating) การยกตัวอย่างประกอบ (instantiating)
3) การจัดประเภท (Classifying) เช่น การจัดกลุ่ม (categories) การจัดเป็นกลุ่ม(subsuming)
4) การสรุป (Summarizing) เช่น การสรุปเรื่อง (abstracting) การกล่าวสรุป (generalizing)
5) การอนุมาน/การลงความเห็น/การสรุปอ้างอิง (Inferring) เช่น การลงมติ /การสรุปผล (concluding) การสรุปอ้างอิง (extrapolating) การสอดแทรกความเห็น (interpolating) การทำนาย (predicting)
6) การเปรียบเทียบ (Comparing) เช่น การเปรียบเทียบความแตกต่าง (contrasting) การจับคู่ (matching) การทำแผนที่ (mapping)
7) การอธิบาย (Explaining) เช่น รูปแบบการสร้าง (constructing model)
1.2.3 ประยุกต์ใช้ (Apply) หมายถึง ความสามารถในการนำกระบวนการไปใช้ในการทำแบบฝึกหัด (Perform exercises) หรือ แก้ปัญหา (Solve problems) หรือ แก้ไขสถานการณ์ ประกอบด้วย
1) การปฏิบัติ (Executing) เช่น การดำเนินการ (carrying out)
2) การทำ/ดำเนินการ (Implementing) เช่น การใช้ (using)
1.2.4 วิเคราะห์ (Analyze) หมายถึง ความสามารถในการวิเคราะห์ส่วนประกอบต่าง ๆ และตรวจสอบความเกี่ยวข้องของส่วนประกอบ (Constituent parts) กับ โครงสร้างภาพรวม (Overall structure) หรือ วัตถุประสงค์ (Objectives) ประกอบด้วย
1) การบอกความแตกต่าง (Differentiating) เช่น การจำแนก (discriminating) การแยกแยะ/จำแนกความแตกต่าง (distinguishing) การบอกจุดสนใจ (focusing) การคัดเลือก/การคัดสรร(selecting)
2) การจัดการ (Organizing) เช่น การเชื่อมโยง/การหาความสอดคล้อง (finding coherence) การบูรณาการ (integrating) การกำหนดโครงร่าง (outlining) การวิเคราะห์คำ/ประโยค (parsing) การจัดทำโครงสร้าง (structuring)
3) บอกคุณลักษณะ (Attributing) เช่น การรื้อ (deconstructing)
1.2.5 ประเมิน (Evaluate) หมายถึง ความสามารถในการตัดสินใจบนพื้นฐานของเกณฑ์ และมาตรฐาน ประกอบด้วย
1) การตรวจสอบ (Checking) เช่น การประสานกัน/ความสอดคล้องกัน(coordinating) การค้นหา (detecting) การติดตาม (monitoring) การทดสอบ (testing)
2) การวิจารณ์ (Critiquing) เช่น การตัดสิน (judging)
1.2.6 สร้างสรรค์ (Create) หมายถึง ความสามารถนำเอาส่วนต่าง ๆ หรือ ส่วนประกอบ หรือ องค์ประกอบ มารวมกัน เพื่อสร้างเป็นสิ่งใหม่ ประกอบด้วย
1) การสร้าง/ทำให้เกิดขึ้น/ทำให้มีขึ้น (Generating) เช่น การสร้างสมมุติฐาน (hypothesizing)
2) การวางแผน (Planning) เช่น การออกแบบ (designing)
3) การผลิต (Producing) เช่น การสร้าง (constructing)
2. การปรับเปลี่ยนโครงสร้าง
พุทธิพิสัยแบบเดิม จะวัดมิติเดียว คือ มิติกระบวนการทางปัญญา (Cognitive process dimension) ซึ่งเป็นการวัดตั้งแต่ความรู้ จนถึง การประเมินค่า แต่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการวัด 2 มิติ ประกอบด้วย มิติที่หนึ่ง คือ มิติกระบวนการทางปัญญา (Cognitive process dimension) และ มิติที่สอง คือ มิติด้านความรู้ (Knowledge dimension)
มิติด้านความรู้ (Knowledge dimension) ประกอบด้วย
1. ความรู้ด้านข้อเท็จจริง (Factual knowledge) เป็นความรู้พื้นฐานที่นักเรียนต้องรู้ เพื่อนำไปปรับให้เข้ากับเนื้อหาวิชา หรือ การแก้ปัญหา ประกอบด้วย
1.1 ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ (Knowledge of terminology)
1.2 ความรู้เกี่ยวกับรายละเอียด และองค์ประกอบ (Knowledge of specific details and elements)
2. ความรู้ด้านความคิดรวบยอด (Conceptual knowledge) เป็นความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ภายในระหว่างองค์ประกอบพื้นฐานต่าง ๆ กับโครงสร้างนั้น (โครงสร้างขนาดใหญ่)
ที่ทำให้องค์ประกอบพื้นฐานเหล่านั้น สามารถทำงานร่วมกันได้ ประกอบด้วย
2.1 ความรู้เกี่ยวกับการจำแนกประเภทและจำแนกกลุ่ม (Knowledge of classifications and categories)
2.2 ความรู้เกี่ยวกับหลักการ และการขยายหลักการ (Knowledge of principles and generalizations)
2.3 ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎี รูปแบบ และ โครงสร้าง ( Knowledge of theories, models, and structures)
3. ความรู้ด้านกระบวนการ (Procedural knowledge) เป็นความรู้เกี่ยวกับวิธีการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง วิธีการแสวงหาความรู้ และเกณฑ์สำหรับการใช้ทักษะ ขั้นตอนวิธีแก้ปัญหา กลวิธีและวิธีการ ประกอบด้วย
3.1 ความรู้เกี่ยวกับทักษะเฉพาะเรื่องและขั้นตอนวิธีแก้ปัญหา Knowledge of subject-specific skills and algorithms
3.2 ความรู้เกี่ยวกับเทคนิค และ วิธีการเฉพาะเรื่อง (Knowledge of subject specific techniques and methods)
3.3 ความรู้เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสม (Knowledge of criteria for determining when to use appropriate procedures)
4. ความรู้ด้านอภิปัญญา (Metacognitive knowledge) เป็นความรู้เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจโดยทั่วไป หรือ เป็นการสร้างความตระหนักและความรู้ด้วยตัวเอง ประกอบด้วย
4.1 ความรู้เชิงกลยุทธ์ (Strategic knowledge)
4.2 ความรู้เกี่ยวกับงานที่เป็นองค์ความรู้ รวมทั้งบริบทที่เหมาะสมและเงื่อนไขความรู้
(Knowledge about cognitive tasks, including appropriate contextual and conditional knowledge)
4.3 ความรู้เกี่ยวกับตนเอง (Self-knowledge)