ผู้เขียนขอเสนอการวางแผนการวิจัย โดยแบ่งเป็น 10 ขั้นตอน ดังรูปต่อไปนี้
ผู้เขียนขอเสนอการวางแผนการวิจัย โดยแบ่งเป็น 10 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การกำหนด/นิยามปัญหาการวิจัย (Identification of the research problem)
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นแรกในการวิจัย ซึ่งผู้วิจัยอาจจะทำการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม หรือ ในการทำงาน แล้วจัดลำดับความสำคัญของปัญหา เลือกปัญหาที่สามารถทำได้มาวิจัย หรืออาจจะวิเคราะห์จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี การศึกษา ฯลฯ แล้วเลือกปัญหาที่สนใจมาศึกษา เช่น การปฏิรูปการเรียนรู้ การประกันคุณภาพของสถานการศึกษา เป็นต้น
ขั้นที่ 2 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Literature review) การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เป็นการค้นคว้าหาความรู้ แนวคิด ทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย เช่น ศึกษาจากตำรา วารสาร รายงานการวิจัย อินเตอร์เน็ต ฯลฯ เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้วิจัยเกิดความกระจ่าง และมีความเข้าใจในเรื่องที่จะวิจัยมากขึ้น รู้ว่ามีใครทำวิจัยในลักษณะนี้บ้าง ทำอย่างไร และ ผลการวิจัยเป็นอย่างไร
ขั้นที่ 3 การกำหนดสมมุติฐาน (Formulation of a hypothesis) หลังจากที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยเป็นอย่างดีแล้ว ผู้วิจัยจะมองเห็นแนวทางในการกำหนดสมมุติฐานโดยใช้ข้อมูลจากสภาพความจริง จากเอกสารที่ศึกษา กำหนดสมมุติฐานความสัมพันธ์ ความแตกต่างของตัวแปรที่จะศึกษา ซึ่งสมมุติฐานนี้จะช่วยในการวางแผน ดำเนินการวิจัย และออกแบบการวิจัย
ขั้นที่ 4 การออกแบบการวิจัย (Research design) เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยสร้างแบบแผนการวิจัย ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับพิมพ์เขียว หรือแปลนบ้าน ที่ให้สถาปนิกออกแบบ โดยกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้าง วัสดุอุปกรณ์ งบประมาณและระยะเวลาในการสร้างบ้าน เช่นเดียวกับ การออกแบบแผนการวิจัยจะทำให้ทราบถึงวิธีการศึกษา/ทดลอง กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือ และสถิติที่ใช้ในการวิจัย ตลอดจนการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ
ขั้นที่ 5 การเลือกกลุ่มตัวอย่าง (Samples) กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มเป้าหมายผู้วิจัยจะศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ดี ควรเป็นได้มาจากการสุ่มจากประชากรที่ศึกษา การเลือกกลุ่มตัวอย่างมี 2 วิธี คือ วิธีที่ 1 ใช้หลักการความน่าจะเป็น และ วิธีที่ 2 ไม่ใช้หลักการความน่าจะเป็น กล่าวคือ วิธีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างทุกคนมีโอการถูกสุ่มอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนวิธีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างมีโอกาสสุ่มไม่เท่าเทียมกัน การสุ่มกลุ่มตัวอย่างนั้น ผู้วิจัยต้องพิจารณาให้รอบคอบ เลือกให้เหมาะสมกับการวิจัย และมีจำนวนที่เหมาะสม พอเพียงตามหลักการสุ่ม
ขั้นที่ 6 การสร้างเครื่องมือ (Instrumentation) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง ที่จะทำให้การวิจัยน่าเชื่อถือ เครื่องมือที่ดีต้องวัดผลและประเมินผลสิ่งที่จะศึกษาได้ตรงและครอบคลุม ต้องมีการหาคุณภาพของเครื่องมือ เช่น ความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น เป็นต้น
ขั้นที่ 7 การเลือกสถิติที่ใช้ในการวิจัย (Statistics) สถิติที่ใช้ในการวิจัยมีทั้งสถิติเชิงบรรยายและเชิงอ้างอิง ผู้วิจัยต้องรู้จักเลือกสถิติมาวิเคราะห์ให้เหมาะสมกับลักษณะของข้อมูล และสถิตินั้นต้องสามารถทดสอบสมมุติฐานการวิจัยได้ครบถ้วนและถูกต้อง
ขั้นที่ 8 การดำเนินทดลองและการเก็บรวบรวมข้อมูล (Data collection) ถ้าเป็นวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยจะต้องดำเนินการทดลอง ตามแบบแผนการทดลองที่ได้วางแผนไว้ และควรวางแผนควบคุมตัวแปรหรือสิ่งที่จะกระทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน หรือ ความลำเอียง ในขณะดำเนินการทดลองด้วยแล้วจึงเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเครื่องมือที่เตรียมไว้ ส่วนการวิจัยที่ไม่ใช่การทดลองนั้น ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลได้เลย ในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นผู้วิจัยต้องมีความละเอียดรอบคอบ จัดเก็บข้อมูลให้ครบถ้วน และพอเพียงกับการนำมาวิเคราะห์ข้อมูล
ขั้นที่ 9 การวิเคราะห์ข้อมูล (Data analysis) เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลได้แล้ว ผู้วิจัยต้องนำข้อมูลตรวจสอบ ความถูกต้อง คัดเลือกข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ให้มากที่สุด เช่น ควรเป็นแบบสอบถาม/ทดสอบ ที่ผู้ตอบได้ตอบครบทุกข้อ และมีความตั้งใจในการสอบ ซึ่งผู้วิจัยพิจารณาจากการตอบ แล้วนำข้อมูลลงรหัส (Code) บันทึกในแบบลงรหัส (Coding forms) จากนั้นนำข้อมูลไปวิเคราะห์ด้วยการคำนวณด้วยเครื่องคิดเลข หรือ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันนี้โปรแกรมที่มีผู้นิยมใช้วิเคราะห์ข้อมูลทางการศึกษา คือ โปรแกรม SPSS/PC+ for Windows
ขั้นที่ 10 การสรุปผลและเขียนรายงานผลวิจัย (Conclusion and research report) เป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการวิจัย เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว ให้นำผลที่ได้มาแปลผล สรุปผล โดยชี้ให้เห็นว่า ผลที่ได้เป็นอย่างไร สอดคล้อง/ไม่สอดคล้อง กับผลงานวิจัยใดบ้าง พร้อมทั้งมีการเสนอแนะการนำผลการวิจัยไปใช้ด้วย แล้วเขียนรายงานผลการวิจัยเป็นรูปเล่ม เผยแพร่ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไปได้รับทราบ
อนึ่ง สำหรับขั้นตอนในการวิจัยทั้งหมด 10 ขั้นตอนนั้น ( ตามแนวทางของลูกศรเส้นทึบ) ในแต่ละขั้นตอนมีส่วนที่สนับสนุนกัน (พิจารณาตามลูกศรเส้นปะ) เช่น เมื่อได้อ่านเอกสารอ้างอิงแล้วอาจจะช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดปัญหา หรือ ชื่อเรื่องวิจัยได้รัดกุมและชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นต้น ส่วนผลที่ได้จากการวิจัย ก็จะก่อให้เกิดทฤษฎี และองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งจะนำไปใช้ต่อไป