ใบความรู้ที่ 4.2 ประวัตินักดนตรีเอกของไทย
พระยาประสานดุริยศัพท์
พระยาประสานดุริยศัพท์ มีนามเดิมว่า แปลก ประสานศัพท์ เกิดเมื่อวันอังคาร แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๐๓ ที่บ้านเลขที่ ๘๑ ตรอกไข่ ถนนบำรุงเมือง ตำบลหลังวัดเทพธิดา หลังวังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ เป็นบุตรคนโตของขุนกนกเลขา (ทองดี) และนางนิ่ม พระยาประสานดุริยศัพท์ มีน้อง ๔ คน เรียงตามลำดับถัดจากท่าน ดังนี้ คือ
๑. ชาย “เปลี่ยน”
๒. ชาย “แย้ม” (พระพิณบรรเลงราช)
๓. หญิง “สุ่น” (ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเล็ก)
๔. หญิง “นวล” (ภายหลังใช้นามสกุลพงศ์บุปผา)
การศึกษาวิชาสามัญนั้น ท่านมิได้เข้าเรียนที่ใด แต่เรียนที่บ้านตนเองจนอายุได้ ๑๘ ปี สำหรับวิชาดนตรีไทยนั้น ได้เรียนปี่ชวากับครูชื่อ “หนูดำ” ส่วนวิชาดนตรีปี่พาทย์อื่นๆ รวมทั้งปี่ใน ปี่นอกนั้น ได้ศึกษาจริงจังกับครูช้อย สุนทรวาทิน ผู้เป็นบิดาของพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) ครูช้อย สุนทรวาทินนั้น ท่านรักใคร่ในตัวพระยาประสานดุริยศัพท์มาก เพราะว่า พระยาประสานดุริยศัพท์ เป็นศิษย์ที่มีความขยันหมั่นเพียร มีฝีมือในทางดนตรี อีกทั้งเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในการแต่งเพลงด้วย ดังนั้น ครูช้อย สุนทรวาทิน จึงได้พยายามพร่ำสั่งสอนและถ่ายทอดวิชาความรู้ทางดนตรีเท่าที่มีอยู่ ให้แก่พระยาประสานดุริยศัพท์ ผู้เป็นศิษย์อย่างเต็มที่ จนกระทั่งพระยาประสานดุริยศัพท์กลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดคน หนึ่งของเมืองไทย
พระยาประสานดุริยศัพท์ เป็นครูดนตรีที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไปในนาม “ครูแปลก” ได้ดำเนินอาชีพด้วยการเป็นครูดนตรีเรื่อยมา บ้านของท่านตั้งอยู่หลังตลาดประตูผีติดกับวัดเทพธิดาราม ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เจ้านายต่างก็มีวงปี่พาทย์มโหรี และเครื่องสายกันหลายพระองค์ ทั้งนี้เพื่อใช้ในการบรรเลงขับกล่อมในยามว่าง หรือเมื่อมีงานสำคัญๆก็มักจะนำวงดนตรีมาบรรเลงประชันกัน ปัจจุบันได้ขายให้คนอื่นไปแล้ว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร พระองค์ท่านมีพระราชประสงค์จะใคร่มีวงปี่พาทย์ส่วนพระองค์ขึ้นและได้ทูลขอวงปี่พาทย์จากสมเด็จพระราชชนนี (สมเด็จพระพันปีหลวง) สมเด็จพระราชชนนีของพระองค์ก็ได้โปรดประทานให้มาหมดทั้งเครื่องดนตรีและนักดนตรี
การที่เจ้านายต่างๆทรงมีวงปี่พาทย์ส่วนพระองค์ขึ้น นอกจากจะทรงมีไว้เพื่อใช้บรรเลงขับกล่อมยามว่างพระธุระแล้ว ยังเป็นสิ่งประดับพระบารมีอีกด้วย ยิ่งกว่านี้เมื่อมีงานสำคัญๆก็มักจะนำวงดนตรีมาบรรเลงประชันขันแข่งกัน เจ้านายที่ทรงเป็นเจ้าของวง จึงต้องหาครูบาอาจารย์ที่ปรีชาสามารถไว้ปรับปรุงวงดนตรีของตนเพื่อมิให้น้อยหน้ากันได้ และวงปี่พาทย์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งคนทั่งไปนิยมเรียกกันว่า “วงสมเด็จพระบรมฯ” ก็ได้ครูแปลก ประสานศัพท์ ครูดนตรีที่มีชื่อเสียงยิ่งไว้เป็นครูผู้ฝึกสอนและควบคุม
พระยาประสานดุริยศัพท์ เป็นครูดนตรีที่มีทั้งฝีมือและสติปัญญา ท่านสามารถบรรเลงเครื่องดนตรีได้แทบทุกชนิด และที่ถนัดที่สุดได้แก่ ปี่ในและระนาดเอก ซึ่งเป็นที่ร่ำลือในหมู่นักดนตรีผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ก็ได้แก่พระยาประสานดุริยศัพท์นั่นเอง เพื่อเลือกเป็นครูสอนดนตรีให้แก่หลวงประดิษฐไพเราะในครั้งนั้น
ในการที่พระยาประสานดุริยศัพท์ได้ไปเป็นครูสอนดนตรีให้แก่หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) คุณครูหลวงบรรเลงเลิศเลอ (กร กรวาทิน) ท่านได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
“เนื่องจากหลวงประดิษฐไพเราะ เป็นผู้ที่มีฝีมือทางระนาดเอกดีอยู่แล้ว ในการที่เจ้าคุณครูไปสอนท่าน สอนเฉพาะเกี่ยวกับไหวพริบ วิธีการในการบรรเลงเป็นส่วนมาก โดยท่านได้ให้หลวง
ประดิษฐไพเราะ ตีเพลงต่างๆให้ฟัง แล้วท่านเจ้าคุณครูก็ตรวจดูว่าลูกใดไม่ดี ท่านก็บอกลูกใหม่ให้แทน เอาของเก่าตรงที่ไม่ดีนั้นออก”
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ราว พ.ศ. ๒๔๒๘ ขณะนั้นท่านมีอายุราว ๒๕ ปี รัฐบาลอังกฤษได้มีหนังสือเชิญมายังรัฐบาลไทยให้ส่งนาฏศิลป์และดนตรีไทยไปแสดง ณ ประเทศอังกฤษและยุโรป ในครั้งนี้ทางวังบูรพาภิรมย์เป็นผู้จัดส่งไป นักดนตรีได้ไปแสดงในครั้งนั้น ก็ได้แก่พระยาประสานดุริยศัพท์ เป่าปี่ใน ครูคร้าม ตีระนาด เป็นต้น ผลงานการบรรเลงเดี่ยวของพระยาประสานฯ เป็นที่พอพระราชหฤทัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียเป็นที่ยิ่ง ถึงกับทรงรับสั่งขอฟังการเป่าขลุ่ยเป็นการส่วนพระองค์อีกครั้งในพระราชวังบัคกิ้งแฮม การบรรเลงครั้งหลังนี้ สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียทรงลุกจากพี่ประทับ และใช้พระหัตถ์ลูบคอพระยาประสานฯ พร้อมทั้งมีรับสั่งถามว่าเวลาเป่านั้น
หายใจบ้างหรือไม่ เพราะเสียงขลุ่ยดังกังวานอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดหายแม้ชั่วขณะ เป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่ง นับเป็นเกียรติประวัติอย่างสูงแก่วงการดุริยางค์ไทย
พระยาประสานดุริยศัพท์เป็นครูดนตรีที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ถ้าจะกล่าวแล้ว ก็ได้แก่นักดนตรีทั้งหลายที่รับราชการในกรมพิณพาทย์หลวงนั้นเอง ซึ่งได้แก่ พระประดับดุริยกิจ (แหยม วีณิน) พระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต) หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) หลวงบรรเลงเลิศเลอ (กร กรวาทิน) ตราโมทและครูเฉลิม บัวทั่ง เป็นต้น พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) ครูมนตรี
พระยาประสานดุริยศัพท์ได้แต่งเพลงไว้เป็นจำนวนมาก ได้แก่
ประเภทเพลงเถา เช่น
เพลงเขมรปากท่อ เถา
เพลงประพาสเภตรา เถา
เพลงอาถรรพ์ เถา
เพลงสามไม้ใน เถา
ประเภทเพลงสามชั้น เช่น
เพลงเขมรใหญ่
เพลงดอกไม้ไทร
เพลงถอนสมอ
เพลงทองย่อน
เพลงเทพรัญจวน
เพลงนารายณ์แปลงรูป
เพลงคุณลุงคุณป้า
เพลงพราหมณ์เข้าโบสถ์
เพลงธรณีร้องไห้
เพลงแขกเห่
เพลงอนงค์สุชาดา
เพลงย่องหงิด
เพลงเขมรราชบุรี
เพลงพม่าห้าท่อ
ประเภทเพลงสองชั้น เช่น
เพลงลาวคำหอม
เพลงลาวดำเนินทราย
ชีวิตครอบครัวของพระยาประสานดุริยศัพท์
ท่านได้แต่งงานกับนางสาวพยอม ชาวจังหวัดราชบุรี มีบุตรธิดารวมทั้งสิ้น ๑๑ คน แต่ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเล็ก ๖ คน จึงเหลืออยู่ ๕ คน เรียงตามลำดับจากคนโตลงมาดังนี้
๑.หญิง มณี ประสานศัพท์ (มณี สมบัติ)
๒.หญิง เสงี่ยม ประสานศัพท์ (นางตรวจนภา พวงดอกไม้)
๓.หญิง ประยูร ประสานศัพท์
๔.ชาย ปลั่ง ประสานศัพท์ (ขุนบรรจงทุ้มเลิศ)
๕.หญิง ทองอยู่ ประสานศัพท์ (นางอินทรรัตนากร อินทรรัตน์)
ปัจจุบันนี้ ยังคงเหลืออยู่เพียง ๒ คน คือ ขุนบรรจงทุ้มเลิศและนางอินทรรัตนากร
ขุนบรรจงทุ้มเลิศ (ปลั่ง ประสานศัพท์) เป็นผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการดนตรีจากท่านบิดาได้มาก ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ กับทั้งเป็นผู้ที่มีความจำดี ในเวลาต่อมาก็ได้รับราชการในกรมพิณพาทย์หลวงด้วย
พระยาประสานดุริยศัพท์ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ในชีวิตราชการ เป็นบุคคลที่มีเกียรติยศชื่อเสียง มีตำแหน่งสูง ได้เป็นถึงพระยาและเป็นถึงเจ้ากรมพิณพาทย์หลวง ในรัชกาลที่ ๖ แม้กระนั้นก็ตาม ฐานะทางครอบครัวของท่านใช่ว่าจะร่ำรวยเป็นเศรษฐีก็หาไม่ แต่อยู่ในระดับพอมีพอกินและค่อนข้างยากจนมากกว่า
เนื่องจากพระยาประสานดุริยศัพท์ ท่านต้องตรากตรำทำงานในหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่ ประกอบกับอายุของท่านก็มากขึ้น ท่านจึงล้มเจ็บลงและถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ สิริรวมอายุ ๖๕ ปี
เรียบเรียงจาก
๑.บทความเรื่องพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ของพระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี)
๒.สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย ภาคประวัตินักดนตรีและนักร้อง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน , ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒
๓. ดนตรีวิจักษ์ โดย นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล
พระยาภูมีเสวิน
พระยาภูมีเสวิน มีนามเดิมว่า จิตร จิตตเสวี เกิดเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๔๓๗ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๗ ปีมะเมีย ณ ตำบลคลองชักพระ อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี อยู่บ้านเลขที่ ๙๒ ถนนวัดราชาธิวาส อำเภอ ดุสิต จังหวัด กรุงเทพมหานคร ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ของหลวงคนธรรพวาที (จ่าง จิตตเสวี) ผู้เป็นบิดา และนางคนธรรพวาที (เทียบ จิตตเสวี) พี่น้องของท่านมีอยู่ด้วยกัน ๕ คน
ท่านได้เรียนซอด้วงจากหลวงคนธรรพวาทีผู้เป็นบิดาเมื่ออายุได้ ๖ ขวบ และมีความสามารถออกวงได้เมื่ออายุ ๘ ขวบ จากนั้นท่านยังได้หัดดนตรีไทยประเภทอื่นๆ กับครูอาจารย์อีกหลายท่าน อาทิเช่น เรียนปี่ชวากับครูทอง เรียนกลองแขกกับครูมั่ง นอกจากนั้นยังได้ศึกษาดนตรีต่างๆกับครูแป้น ครูพุ่ม และ ครูสอน(บางขุนศรี) ต่อมาได้มาเรียนกับ ม.จ. ประดับ เมื่อสิ้น ม.จ.ประดับแล้วจึงได้มาเรียนจะเข้กับขุนประดับ ครูอ่วม และขุนเจริญดนตรีการ (นายดาบเจริญ โรหิตโยธิน) จนสามารถเล่นดนตรีได้รอบวง ที่ชำนาญพิเศษคือ เครื่องสายทุกชนิด
ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงพระราชอิสรยศักดิ์เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้ทรงตั้งวง มโหรีปี่พาทย์ขึ้น ท่านจึงได้เข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กแผนกมหรสพในตำแหน่งประจำกองดนตรีกรม มหาดเล็กกระทรวงวัง ได้รับพระราชทานยศเป็นสองตรี เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๙ ในระยะนี้เอง ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของบรมครูอีกผู้หนึ่งคือ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ซึ่งท่านเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง และพระยาประสาน ดุริยศัพท์ ก็รักใคร่ในตัวท่านมาก เพราะเป็นศิษย์ที่มีความขยันหมั่นเพียร เป็นผู้มีฝีมือและสติปัญญาเฉลียวฉลาดในทางดนตรีเป็นอย่างดีเยี่ยม พระยาประสานฯ จึงได้พยายามพร่ำสอนและถ่ายทอดวิชาความรู้ทางดนตรีให้แก่ท่าน โดยเฉพาะ ระนาด และ ฆ้อง จนมีความชำนาญ บรรเลงเดี่ยวฆ้องเล็กได้ และชนะเลิศในการประชันวง เมื่อคราวเสด็จตามพระบรมโอรสาธิราช (รัชกาลที่๖) ไปภาคใต้ ยังความปลื้มปิติยินดีแก่พระองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับได้รับพระราชทานเหรียญที่ระลึกปักษ์ใต้ ในวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๒ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้เพียง ๑๕ ปี
ขณะที่ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยามานพนริศร์ นับว่าเป็นคุณประโยชน์แก่ชาตินานับประการทางด้านศิลปะ ดนตรีไทย นั่นคือท่านได้รับแนะนำและขอร้องจากพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ให้ไปเรียนซอสามสายกับเจ้าเทพสุกัญญา (ณ เชียงใหม่) บูรณะพิมพ์ ซึ่งทั้งเจ้าคุณประสานฯ และเจ้าเทพฯ ก็ช่วยกันสอนและถ่ายทอดวิชาซอสามสายให้เป็นระยะเวลา ๙ ปี ซึ่งประยาประสานฯ ได้เคยกล่าวกับท่านว่า “ถ้าไม่เรียนซอสามสายไว้ ต่อไปอาจจะสูญ คุณหลวงนายมีนิสัยสุภาพ และมีความพยายามดี ทั้งเป็นผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที เคารพครูอาจารย์ เป็นอย่างสูง ขอให้เรียนซอสามสายไว้ เพื่อจะได้ สั่งสอนอนุชนรุ่นหลังต่อไป”
เมื่อ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๖๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาภูมีเสวิน
ในกระบวนเครื่องดนตรีไทย ย่อมเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ซอสามสายเป็นเครื่องดนตรีที่หาได้ยากที่สุด และที่จะให้มีกลเม็ดเด็ดพราย ไพเราะเพราะพริ้ง ก็ยากขึ้นไปอีก แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อต่อความเป็นจริงเหล่านี้เลย และในที่สุดท่านก็ได้บรรลุถึงความเป็นเอกในทางซอสามสาย จนเป็นที่ปรากฏว่าท่านสีซอสามสายได้ไพเราะที่สุด แม้แต่ซอด้วง ซออู้ รวมถึงขลุ่ย ท่านก็บรรเลงได้จับใจยิ่ง ชื่อเสียงในทางการบรรเลงดนตรีของท่านนั้นเลื่องลือไปทั่วประเทศ เนื่องจากท่านบรรเลงออกอากาศ ณ กรมประชาสัมพันธ์อยู่เป็นประจำ นอกจากฝีมือในการบรรเลงดนตรีดังกล่าวมาแล้ว พระยาภูมีฯ ยังมีความสามารถในทางนาฏศิลป์เป็นอย่างมากด้วย โดยเป็นศิษย์ของพระยาพรหมา (ทองใบ) พระยานัฏกานุรักษ์ (ทองดี) และคุณหญิงเทศ โดยท่านได้แสดงโขนเป็นตัวอินทรชิตหลายครั้ง
ในปีที่ท่านได้รับพระราชทานยศเป็นพระยาภูมีเสวินนี้เอง ท่านก็ประสบกับความเศร้าสลดอย่างสุดซึ้งด้วยเหตุที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ พร้อมกันนั้นท่านก็ถูกปลดออกจากเบี้ยหวัดที่เคยได้รับพระราชทาน แต่ก็อาจเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เคยพระราชปรารภ ไว้ว่า “แม้สิ้นแผ่นดินของข้าแล้ว ใครจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป เขาก็คงชุบเลี้ยงก็อาจเป็นได้”
ดังนั้น ในวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๔๗๘ ท่านจึงเข้ารับราชการที่กรมศิลปากร ในตำแหน่ง เจ้าพนักงานกลางแผนกละครและสังคีต ทำหน้าที่เหมือนเลขาธิการของอธิบดี ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับรายการบันเทิงทางวิทยุกระจายเสียง ติดต่อเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการเมื่อมีการแสดงโขน ละครดนตรี นอกจากนั้นท่านยังร่วมกับกรมศิลปากร ปรับปรุงพระราชพิธี และงานด้านต่างๆ
ท่านได้เริ่มงานดนตรีขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วยเวลานั้นสถานีวิทยุกระจายเสียง แห่งประเทศไทย ซึ่งมีคุณ ชวาลา (หัวหน้ากองการหนังสือพิมพ์) และคุณ อำพัน (หัวหน้ากองการกระจายเสียง) ได้มาเรียนเชิญท่านไปปรึกษาวิธีการ ที่จะปรับปรุงและสนับสนุนเพลงไทยในรายการวิทยุ และขอร้องให้ท่านเขียนคำบรรยายพร้อมทั้งบรรเลงเพลงดนตรีไทย ประเภทต่างๆเป็นประจำทุกอาทิตย์ เมื่อรายการของท่านได้เผยแพร่ออกสู่ประชาชนมากขึ้น ก็ทำให้ชื่อเสียงของท่านขจรขจายมากขึ้น เช่นเดียวกัน จากฝีมือซึ่งเป็นหนึ่งของท่านทั้งซอสามสาย และขลุ่ยคราใดที่มีการประกวดมโหรีปี่พาทย์ และการขับร้องเพลงไทย ท่านก็ได้รับเชิญเป็นกรรมการตัดสินทุกครั้ง และยังได้เป็นกรรมการ จัดรายการวิทยุในสมัยที่วิทยุกระจายเสียงยังขึ้นอยู่กับกรมไปรษณีย์ อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ระลึกคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว ท่านก็บรรเลงเพลงซอสามสาย เพลงพญาโศกในรายการวิทยุกระจายเสียง หลายท่านเมื่อได้ฟังถึงกับน้ำตาไหล ด้วยทำให้หวนระลึกถึงพระองค์ท่าน อันฝีไม้ลายมือของพระยาภูมีฯ นั้นเป็นที่เลื่องลือไปถึงพระกรรณของเจ้านายผู้หญิงในรัชกาลที่ ๗ ถึงกับทรงขอดูตัวเนื่องจากเป็นที่เลื่องลือกันว่า รูปงามและมีฝีมือเป็นเอก ดังนั้นกรมหลวงลพบุรีราเมศร์ (สมเด็จชาย) จึงได้ทรงนำตัวเข้าเฝ้าบรรเลงถวายในวังสวนสุนันทา นอกจากนี้ ชาวบ้านร้านถิ่นที่ชอบดนตรีมีหลายคนหาท่านถึงบ้านและได้เชิญท่านไปแสดงตาม หัวเมือง เช่น ที่ฉะเชิงเทรา และที่ตำบลบางช้าง สมุทรสงคราม ฯลฯ จากนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ยอมรับคำเชิญจากสถาบันการศึกษาต่างๆไปช่วยฝึกสอนดนตรีแก่เด็กๆ อาทิเช่น โรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม โรงเรียนเพาะช่างครุสภา วิทยาลัยวิชาการศึกษา (ประสานมิตร,ปทุมวัน) เป็นต้น
หลังจากที่ท่านได้ครบเกษียณอายุราชการแล้วท่านยังอุตสาห์สอนดนตรีให้แก่ สถาบันต่างๆอยู่เป็นนิตย์ ท่านตรากตรำทำงานทางด้านนี้มาก เพื่อที่จะถ่ายทอดวิชาด้านดนตรีให้แก่ผู้สนใจ ที่จะช่วยทำนุบำรุงไว้ จะกลับมาถึงบ้านก็ราว ๕ ทุ่ม สองยามทุกวัน นอกจากนั้นในวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ยังมีคนมาเรียนกับท่านถึงที่บ้านอีกมาก ไม่มีเวลาพักผ่อนเต็มที่ แต่ท่านไม่เคยบ่น ท่านยังกลับพูดเสียอีกว่า คราใดที่มีคนมาเยี่ยมมาฝึกดนตรีกับท่านแล้ว ถือว่าเป็นการพักผ่อนอย่างดีเยี่ยม ซึ่งดีกว่านั่งๆนอนๆ อยู่เฉยๆ
พระยาภูมีฯ มีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงทางด้านฝีมือการดนตรีอยู่หลายท่าน ได้แก่ ศ.ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ รศ.อุดม อรุณรัตน์ ดร.ณัชชา พันธุ์เจริญ อาจารย์เฉลิม ม่วงแพรศรี และคุณศิริพรรณ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เป็นหลานตา เป็นต้น
ผลงานด้านการแต่งเพลง ปรากฏผลงานเพลงที่ท่านแต่งไว้หลายเพลง ได้แก่ เพลงสอดสี เถา (พ.ศ. ๒๕๐๓) โหมโรงภูมิทอง สามชั้น (แต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ โดยดัดแปลงมาจากเพลงนกกระจอกทอง สองชั้น) และจำปาทอง เถา (พ.ศ. ๒๕๑๘) ทั้งยังได้ประดิษฐ์ทางบรรเลงเดี่ยวซอสามสายเอาไว้หลายเพลง ได้แก่ ต้นเพลงฉิ่ง ขับไม้บัณเฑาะว์ ทะแย นกขมิ้น ปลาทอง บรรทมไพร พญาครวญ พญาโศก แสนเสนาะ ทยอยเดี่ยว เชิดนอก และกราวใน เถา
และนอกจากในฐานะครูดนตรีแล้ว พระยาภูมีฯ ยังเป็นนักค้นคว้าและขยันบันทึกไว้ด้วย สิ่งที่ท่านบันทึกไว้นั้น ได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ อาทิเช่น ประวัติพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ประวัติผู้เชี่ยวชาญการสีซอสามสายในสมัยรัตนโกสินทร์ และหลักการสีซอสามสาย ซึ่งเป็นตำราดนตรีไทยที่ดีมาเล่มหนึ่ง โดยท่านได้บรรยายไว้โดยละเอียดถึงการใช้คันชัก การใช้นิ้ว และยังได้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับพระราชพิธีเห่กล่อมพระบรรทมไว้ด้วย
พระยาภูมีเสวินได้บรรเลงดนตรีออกงานครั้งสุดท้ายเมื่ออายุประมาณ ๘๐ ปี ณ โรงละครแห่งชาติ กรมศิลปากร โดยบรรเลงร่วมกับหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยชีวิน) เพื่อนคู่หูของท่าน
ต่อมา เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๙ เวลาเช้า หลังจากที่ท่านได้จุดธูปสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว ท่านก็เป็นลมแน่นิ่งไป ภรรยาและบุตรของท่านก็ช่วยกันพาส่งโรงพยาบาลวชิระ ซึ่งระยะทางจากบ้านของท่านถึงโรงพยาบาล รถวิ่งไม่เกิน ๕ นาที แต่อย่างไรก็ตามขณะที่พาท่านส่งโรงพยาบาลนั้นเป็นช่วงระยะเวลาที่การจราจร ติดขัดมาก กว่าจะพาท่านมาถึงโรงพยาบาลเสียเวลาไปเกือบ ๒๐ นาที ซึ่งหมอลงบันทึกไว้ว่าท่านสิ้นใจก่อนจะมาถึง สุดความสามารถของหมอที่จะช่วยได้ สิริรวมอายุได้ ๘๒ ปี
เรียบเรียงจาก
๑. หนังสือที่ระลึก งานเชิดชูเกียรติ ๑๐๐ ปี พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) ผู้เชี่ยวชาญซอสามสายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
๒. สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย ภาคประวัตินักดนตรีและนักร้อง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน , ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒
๓. ดนตรีวิจักษ์ โดยนายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล (พ.ศ. ๒๕๒๙)
พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน)
พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน)
เป็นบุตรคนโตของครูช้อย และนางไผ่ สุนทรวาทิน ได้ฝึกฝนวิชาดนตรี จากครูช้อย ผู้เป็นบิดา จนมีความแตกฉาน ต่อมาเจ้าพระยาเทเวศน์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) ได้ขอตัวมาเป็นนักดนตรีในวงปี่พาทย์ของท่าน ท่านเข้ารับราชการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๒ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนเสนาะดุริยางค์” ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ตำแหน่งเจ้ากรมพิณพาทย์หลวง จึงโปรดให้เลื่อนเป็น “หลวงเสนาะดุริยางค์”ในปีพ.ศ.๒๔๕๓
จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนเป็น “พระเสนาะดุริยางค์” รับราชการในกรมมหรสพหลวง และได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา ด้วยความซื่อสัตย์ และมีความจงรักภักดี ท่านจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาเสนาะดุริยางค์” ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับมอบหมายให้ควบคุมวงพิณพาทย์ ของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง วงพิณพาทย์วงนี้ นับได้ว่าเป็นการรวบรวมผู้มีฝีมือ ซึ่งต่อมาได้เป็นครูผู้ใหญ่ เป็นที่รู้จักนับถือโดยทั่วไป เช่น ครูเทียม คงลายทอง ครูพริ้ง ดนตรีรส ครูสอน วงฆ้อง ครูมิ ทรัพย์เย็น ครูแสวง โสภา ครูผิว ใบไม ้ครูทรัพย ์นุตสถิตย ์ครูอรุณ กอนกุล ครูเชื้อ นักร้อง และครูทองสุข คำศิริพระยาเสนาะดุริยางค์
พระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก)
พระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก)
นามเดิม มี ดุริยางกูร คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า ครูมีแขก เล่ากันว่า เมื่อคลอดออกมาใหม่ๆ มีสิ่งขาวๆ ครอบอยู่บนศรีษะคล้ายๆ หมวกแขก เลยเรียก มีแขก ต่อมาก็เป็นครูมีแขก บ้านเดิมท่านอยู่ในบริเวณสุเหร่าเหนือวัดอรุณราชวราราม
ครูมีแขก มีชีวิตอยู่ในรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐ์ไพเราะ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๓๙๖ ต่อมาในวันที่ ๒๑ ธันวาคมปีเดียวกันท่านได้บรรเลงเพลงเชิดจีน ซึ่งแต่งไว้ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯและพระองค์ทรงโปรดปรานมาก ถึงกับได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระประดิษฐ์ไพเราะ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านเป็นหลวง เพียงเดือนเดียวเท่านั้น
พระประดิษฐ์ไพเราะ เป็นครูดนตรีไทยคนสำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 3-5 คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า ครูมีแขก สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงสืบประวัติไว้ว่า ครูปี่พาทย์ชื่อครูมีแขกนั้น คือเป็นเชื้อแขก ชื่อ”มี”
เป็นคีตกวีคนแรกที่นำเพลง 2 ชั้น มาทำเป็นเพลงสามชั้น มีความสามารถในการแต่งเพลง และฝีมือในทางเป่าปี่ เป็นเยี่ยม โดยเฉพาะเพลงเด่นที่สุดคือ “ทยอยเดี่ยว” จนทำให้ท่านได้รัมสมญานามว่า “เจ้าแห่งเพลงทยอย” ซึ่งหมายถึงเพลงที่มีเทคนิคการบรรเลงและลีลาที่พิสดาร โดยเฉพาะลูกล้อ ลูกขัดต่างๆ อีกเพลงหนึ่งคือเพลง “เชิดจีน” เป็นเพลงที่ให้อารมณ์สนุกสนาน มีลูกล้อลูกขัด ที่แปลกและพิสดาร ท่านแต่งบรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ซึ่งได้รับการโปรดปรานมาก จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระประดิษฐ์ไพเราะ” ตำแหน่งปลัดจางวางมหาดเล็ก
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เป็นครูมโหรีของกรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร นอกจากมีความสามารถในการเป่าปี่แล้ว ครูมีแขกยังชำนาญในการสีซอสามสาย โดยได้แต่งเพลงเดี่ยวเชิดนอกทางซอสามสายไว้ด้วย บทเพลงจากการประพันธ์ของท่านคือ เพลงจีนแส อาเฮีย แป๊ะ ชมสวนสวรรค์ การะเวกเล็ก แขกบรเทศ แขกมอญ ขวัญเมือง เทพรัญจวน พระยาโศก จีนขิมเล็ก เชิดในสามชั้น (เดี่ยว) ฯลฯ
ผลงานของท่านเป็นมรดกของดนตรีไทยมีมากมาย พอสรุปได้ดังนี้
เป็นผู้ริเริ่มเอาเพลง ๒ ชั้น มาทำเป็น ๓ ชั้น
ริเริ่มทำเพลงเดี่ยวสำหรับเครื่องดนตรี เพลงที่มีชื่อเสียงของท่านคือ ทยอยเดี่ยว
เป็นต้นฉบับเพลงทยอย เพลงทยอยเป็นเพลงที่มีเทคนิคการบรรเลงและลีลาที่วิจิตร
พิศดาร โดยประเภทลูกล้อ ลูกขัด เพลงประเภททยอยที่สำคัญ ซึ่งท่านแต่งไว้ คือ ทยอยนอก ซึ่งคงถือเป็นเพลงเอกของท่าน พระประดิษฐ์ไพเราะได้ประดิษฐ์เพลงนี้ขึ้นราวสมัยรัชกาลที่๔ ตอนต้นๆ
เหตุที่เรียกว่าทยอยนอกเป็นเพลงเอกก็เพราะ นอกเหนือจากความไพเราะแล้ว ท่านยังแทรกลูกเล่นไว้อย่างน่าฟัง มีทั้งเสียงหนัก เสียงเบา ล้อกันไปมาตลอดเวลา ถ้านักดนตรีคนใดบรรเลงเพลงนี้ไม้ได้ถือกันว่าฝีมือยังไม่ถึงขั้น
ดัดแปลงทำนองเพลงจีนขึ้นเป็นเพลงไทย สำเนียงจีนคือเพลงจีนแส อาเฮีย แป๊ะและ
ชมสวนสวรรค์
บทเพลงอื่นของท่าน คือ การะเวกเล็ก แขกบรเทศ แขกมอญ แขกมอญบางช้างขวัญเมือง
พระยาโศก เทพรัญจวน พระอาทิตย์ชิงดวง ทยอยเขมร จีนเก็บบุผา จีนขิมเล็ก นอกจากผลงานดังกล่าวแล้ว ท่านยังเป็นครูสอนปี่พาทย์ให้กับเจ้านายในรัชกาลที่๔ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงเรียนกับท่านในรัชกาลที่ ๕ หลังจากท่านได้เป็นครูมโหรีของสมเด็จกรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูรไม่นานท่านก็ถึงแก่กรรม ท่านเป็นต้นสกุลของ ดุริยางกูร
พระเจนดุริยางค์
นามเดิมปิติ วาทยากร เกิดเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๒๖ ต.บ้านทราย อ.ยานนาวาจ.พระนคร บิดาเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน ชื่อ จาคอบ ไฟท์ มารดาเป็นคนไทย เชื้อสายมอญ ชื่อ ทองอยู่ วาทยากร บิดาของท่านได้เดินทางมาประเทศไทย ในฐานะนักท่องเที่ยวและผจญภัย หลังจากที่ได้พักผ่อนและท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทย รู้สึกชอบเมืองไทยประกอบกับเป็นผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในทางดนตรีและขณะนั้นสมเด็จพระบัณฑูรกรมพระราชวังบวรมหาวิชัยชาญ(วังหน้า) กำลังต้องการครูแตรวงจึงมีรับสั่งให้เข้ารับราชการเป็นครูแตรวงในราชสำนัก ต่อมาได้ย้ายมาประจำเป็นครูแตรวงทหารบก จนกระทั่งมรณะกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ ซึ่งขณะนั้นพระเจนอายุได้ ๒๖ ปี
พระเจนดุริยางค์ได้เข้ารับการศึกษาครั้งแรกที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ตั้งแต่อายุได้ ๗ ขวบ เรียนอยู่ที่นี่เป็นเวลา 11 ปี ในขณะที่เรียนหนังสืออยู่นั้น บิดาของท่านได้สอนดนตรีให้ด้วย เป็นเหตุที่ทำให้ท่านรักดนตรีและได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองอยู่เสมอตลอดมา เมื่อสำเร็จจากโรงเรียนอัสสัมชัญก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนนี้ 2 ปี แล้วลาออกไปเข้ารับราชการในกรมรถไฟหลวง แผนกกองเดินรถได้รับพระราชทานสัญญาบัตร มีบรรดาศักดิ์และราชทินนามว่า “ขุนเจนรถรัฐ” รับราชการอยู่นาน 14 ปี
ในระหว่างที่ท่านรับราชการในกรมรถไฟหลวงนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงทราบว่าท่านมีความสามารถในทางดนตรีอยู่มาก จึงรับสั่งให้ย้ายไปรับราชการกรมมหรสพ ตำแหน่งผู้ช่วยปลัดกรม หลังจากที่ได้เข้าประจำกรมมหรสพได้เดือนเศษ ท่านก็ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร มีบรรดาศักดิ์และราชทินนามว่า “หลวงเจนดุริยางค์” และอีกปีต่อมา ก็ได้ เลื่อนตำแหน่งเป็นปลัดกรมได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระเจนดุริยางค์” ในปี พ.ศ. ๒๔๖๕
ในระหว่างที่ท่านย้ายเข้าประจำอยู่ในกรมมหรสพ ท่านได้ฝึกสอนนักดนตรีในราชสำนัก จนสามารถเล่นดนตรีสากลได้ดีเยี่ยมในสมัยนั้น หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จสวรรคต วงดนตรีสากลหรือวงดนตรีฝรั่งหลวง ต้องหยุดชะงักไปชั่วคราว และต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นองค์อุปถัมภ์ดนตรีสากล จึงได้ดำเนินงานการบรรเลงเป็นปกติอีกครั้ง ในระยะนั้นมีเจ้านายบางท่านเกิดความรู้สึกต่อต้านไม่เห็นด้วย ท่านและคณะถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นาๆ นักดนตรีต้องได้รับความลำบาก ทั้งในเรื่องการเงินและความเป็นอยู่ด้วยความอดทนของท่านและนักดนตรีทุกคนในวงก็พยายามผนึกกำลังโดยไม่ย่อท้อ วงดนตรีก็เข้มแข็งยิ่งขึ้นเป็นที่ถูกพระราชหฤทัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ ซึ่งไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด นักดนตรีก็ได้เงินเพิ่มขึ้น ตัวท่านเองก็ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเป็นบำเหน็จความชอบ
ในระหว่างที่เจ้านายหลายท่านมีความเห็นขัดแย้งในเรื่องการส่งเสริมดนตรีสากล เพลงไทยที่ไหวตัวขึ้นมีการวางหลักบันทึกดนตรีสากลเพื่อรักษาหลักฐาน และป้องกันการสูญหาย ซึ่งแต่เดิมนั้นเพลงไทยใช้ต่อกันโดยวิธีจดจำเป็นหลัก เมื่อนักดนตรีตายไปเพลงต่างๆ ก็สูญหายไปด้วย งานบันทึกเพลงไทยด้วยโน้ตสากลได้เริ่มขึ้นในความอำนวยการของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งมีท่านเป็นผู้วางหลักฐานการบันทึก
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ กิจการของวงดนตรีสากลได้ย้ายไปสังกัดในกรมศิลปากรและกรมศิลปากรได้ส่งพระเจนดุริยางค์ไปดูงานดนตรีในต่างประเทศ คือ ประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน ออสเตรียและอิตาลี เป็นเวลา 8 เดือน เมื่อกลับจากต่างประเทศแล้วใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้ไปประจำอยู่กองทัพอากาศเพื่อจัดตั้งวงดนตรีของกองทัพอากาศขึ้น ต่อมากรมศิลปากรถูกตัดงบประมาณไปมาก กิจการดนตรีสากลทรุดโทรม ท่านได้ลาออกจากหัวหน้ากองดุริยางค์ศิลป์ ไปเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดดนตรีสากล ภายหลังโรงเรียนฝึกหัดดนตรีเลิกล้มกิจการ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่านได้กลับเข้ารับราชการในกรมศิลปากรอีก จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๙๗ รวมเวลาที่ท่านรับราชการในกรมมหรสพและกรมศิลปากรนานถึง ๓๗ ปี หลังจากที่ท่านออกจากราชการไปแล้ว ท่านก็ยังคงทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญของกรมศิลปากรต่อไปอีก
ในบั้นปลายชีวิตของท่านได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการและผู้เชี่ยวชาญดนตรีประจำกองดุริยางค์กรมตำรวจ ท่านได้แต่งเพลงและแยกเสียงประสาน เพื่อใช้เล่นกับวงดุริยางค์สากลไว้มาก ล้วนแต่เพลงไพเราะ เช่น เพลงประกอบภาพยนต์เรื่องบ้านไร่นาเรา พระเจ้าจักรา และบทเพลงในมหาอุปรากรเรื่อง มหาดารตี นอกจากนั้นท่านได้ทำเพลงไทยประสานเสียง สำหรับบรรเลงด้วย
วงดุริยางค์สากล เช่น เพลงเขมรไทรโค แขกเชิญเจ้า ต้นวรเชษฐ์ มหาฤกษ์ มหาชัย เป็นต้น
ในด้านตำรา ท่านได้แต่งตำรา หลักวิชาการดนตรีและขับร้องเล่ม 1-2-3 แบบเรียนดุริยางค์ศาสตร์สากล แบบเรียนวิชาการประสานเสียง เล่ม 1 และ 2 และอื่นๆ
ท่านเป็นปรมาจารย์ทางดนตรี จนได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งโน้ตสากล ท่านได้ถึงแก่กรรมเมื่อ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๑
ผลงานที่เป็นอมตะของท่าน คือ เพลงชาติไทย ซึ่งเราได้ฟังกันอยู่ทุกวันและตลอดไป
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ นามเดิม ศร ศิลปบรรเลง เกิดเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๒๔ ต.ดาวดึงส์ จ. สมุทรสงคราม เป็นบุตรคนสุดท้องของนางยิ้มและนายสิน ศิลปบรรเลง ซึ่งคุณพ่อเป็นครูปี่พาทย์ ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อเด็กชาย ศร อายุ ๕ ขวบ ก็สามารถตีฆ้องวงเป็นเพลงได้โดยไม่มีใครหัดให้แต่ยังไม่ได้สนใจจะหัดจริงจัง มารู้สึกประทับใจในเรื่องดนตรีไทยและเรียนเอาจริงเอาจังเมื่ออายุ ๑๑ ขวบ เนื่องมาจากคราวที่โกนจุกตัวเอง บิดาท่านได้จัดเป็นงานใหญ่มี
ปี่พาทย์มาประชันวงกันหลายวงได้เห็นฝีมือความสามารถของดนตรีเหล่านั้น จึงได้เริ่มฝึกหัดกับบิดาตั้งแต่นั้นมาและอีกไม่นานนักก็ออกประชันวงได้
จากการได้ออกแสดงฝีมือบ่อยๆ ทำให้ชื่อเสียงของนายศรเป็นที่เลื่องลือในหมู่นักดนตรี โดยเฉพาะในงานโกนจุกเจ้าจอมเอิบและเจ้าจอมธิดาเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นงานใหญ่ ฝีมือตีระนาดของนายศร ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด ครั้งนี้เองได้ทำให้นำชื่อเสียงให้แก่นายศรเป็นอันมาก และอีกครั้งหนึ่งในงานประชันวงในงานปิตุฉา เจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
นายศรได้เดี่ยวระนาดเอกเพลงกราวในเถา เพลงที่เล่นยากมากและยาวถึง ๑ ชั่วโมง นายศรบรรเลงได้อย่างดียิ่ง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติติวงศ์ ซึ่งเป็นนักดนตรีฝีมือเยี่ยมถึงกับประทานรางวัล
เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าภานุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จไปบัญชาการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสถ้ำเขางู จังหวัดราชบุรี สมเด็จเจ้าฟ้าวังบูรพาองค์นี้ได้ทรงทราบกิตติ -ศัพท์ของนายศร จึงรับสั่งให้หาตัว เมื่อได้ทรงสดับฟังฝีมือของนายศรแล้ว ทรงพอพระทัยมาก ถึงกับทรงขอตัวจากบิดาท่านให้เข้าเป็นมหาดเล็กในพระองค์ นายศรจึงได้เข้ามาเป็นมหาดเล็ก จนได้ตำแหน่งเป็นจางวางคือ เป็นใหญ่ในบรรดามหาดเล็กอยู่ในวังบูรพาภิรมย์ ตั้งแต่เมื่ออายุได้เพียง ๑๙ ปี
ในระยะที่อยู่ในวังบูรพาภิรมย์นี้เอง ชื่อของจางวางศรและวงดนตรีบูรพาภิรมย์เป็นที่ยกย่องกันทั่วไป ทั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ก็โปรดทรงชุบเลี้ยงด้วยพระกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ทรงอุปถัมภ์ให้อุปสมบท ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ พรรษา โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระ-ยาวชิรญาณวโรรสทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อจากนั้นทรงพระกรุณาแต่งงานให้กับ น.ส.โชติ หุราพันธ์ ธิดาพันโทพระประมวญ ประมาณพล จางวางศรได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่สนองพระกรุณาด้วยความจงรักภักดีอย่างสุดความสามารถตลอดมา ความสามารถของจางวางศรนั้นไม่จำเพาะเพียงฝีมือการบรรเลงดนตรีไทยได้ทุกเครื่องมือเท่านั้น ท่านยังมีความสามารถในการประดิษฐ์เพลงขึ้นใหม่ ตลอดถึงการปรับปรุงเพลงที่มีอยู่แล้วขยายอัตราจังหวะขึ้นเป็น สามชั้นและทอนลงเป็นชั้นเดียว ซึ่งเรียกว่า เพลงเถาอีกเป็นจำนวนมาก การปรับปรุงประเภทนี้ท่านได้ทำไว้ถึงร้อยกว่าเพลง ซึ่งนิยมเล่นกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
ในคราวสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จประพาสชวาใน ปี พ.ศ. ๒๔๕๑ จางวางศร ศิลปบรรเลง มหาดเล็กในพระองค์ได้โดยเสด็จไปด้วย ได้จำเพลงชวามาหลายเพลง ได้นำมาเรียบเรียงใหม่เป็นเพลงตามหลักดุริยางค์ไทย เช่น เพลงบูเซนซอคและเพลงยะวา เป็นต้น พร้อมกันนี้ท่านได้นำอังกะลุงซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของชวาเข้ามาเช่นในประเทศไทยเป็นคนแรก โดยนำมาฝึกหัดมหาดเล็กในวังบูรพภิรมย์ จนสามารถนำออกแสดงได้และการแสดงครั้งแรกเป็นการแสดงหน้าพระที่นั่งเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นที่นิยมเล่นกันแพร่หลายมาจนทุกวันนี้
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลนครศรีธรรมราช อุปราชภาคใต้ขณะนั้นได้ให้จางวางศรเป็นผู้ปรับปรุงวงดนตรีไว้รับเสด็จ จางวางศรได้นำเพลง เขมรเขาเขียวสองชั้น ของเก่ามาประดิษฐ์ยืดเป็น ๓ ชั้น ใช้ทำนองกรออย่างอ่อนหวานผิดกว่าเพลงอื่นๆ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพอพระราชหฤทัยในเพลงนี้มาก จางวางศรได้ตั้งชื่อเพลงใหม่นี้ว่า เขมรเลียบนคร เพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์รับเสด็จฯ ในครั้งนั้น เพลงนี้ก็มีชื่อเสียงเช่นเดียวกันเรื่อยมา เป็นที่นิยมจนทุกวันนี้ จางวางศรได้ปรับปรุงเพลงไทยต่างๆ ให้เป็นเพลงเถาขึ้นหลายสิบเพลง พร้อมทั้งปรับปรุงดนตรีไทยให้ดียิ่งขึ้นด้วยและได้นำเพลงที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่เหล่านั้นออกแสดงในงานคล้ายวันเกิดของเจ้าพระยารามราฆพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประทับฟังอยู่ด้วย การแสดงดนตรีแต่ละครั้งของจางวางศรเป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์พระราชทินนามให้เป็น หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ซึ่งเป็นราชทินนามที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ต่อมาท่านก็ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นปลัดกรมพิณพาทย์หลวง หลังจากนั้นไม่นานพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ก็เสด็จสวรรคต
ในสมัยพระบาทสมเด็จพะปกเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ หลวงประดิษฐ์ไพเราะร่วมกับหลวงไพเราะเสียงซอ(อุ่น ดุริยชีวิน) ก็ได้รับราชการเป็นผู้ถวายวิชาดนตรีไทยแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯและสมเด็จพระบรมราชินี และได้แนะนำวิธีการแต่งเพลงไทยตามหลักดุริยางค์ไทย จนทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ เพลงที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นคือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เขมรละออองค์และคลื่นกระทบฝั่ง เป็นต้น
ในคราวพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จประพาสเขมรใน พ.ศ. ๒๔๗๓ หลวงประดิษฐ์ไพเราะก็ได้เสด็จไปด้วย และได้มีโอกาสแสดงดนตรีไทยร่วมกับวงปี่พาทย์เขมร พระเจ้ามณีวงศ์ กษัตริย์เขมรทรงพอพระทัยมาก ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะช่วยสอนเพลงไทยให้แก่ครูดนตรีในราชสำนักเขมร ท่านได้ถือโอกาสนี้ศึกษาเพลงเขมรไปด้วยหลายเพลง เช่น เพลงนกเขาขะแมร์ ศรีโสภณ เครอวอังโกเลี้ยด เป็นต้น
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระดำริให้บันทึกเพลงไทยด้วยตัวโน้ตสากล ในปี
พ.ศ. ๒๔๗๒ หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้เป็นหัวหน้าฝ่ายบอกทำนองและเป็นกรรมการตรวจตราเพลงที่บันทึกนั้นด้วย ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาและฝีมือในทางดนตรี มีความยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนจนมีฝีมือเลื่องลือไปทั่วประเทศ
ท่านใช้เวลากว่า ๖๐ ปี ในการสร้างดุริยางค์ศิลป์เพื่อกล่อมคนไทยทั้งชาติด้วยเพลงอันไพเราะ ท่านเป็นนักดนตรีที่มีแนวความคิดใหม่ๆ แปลกๆ ในการปรับปรุงการดนตรีไทยให้ดียิ่งขึ้น
เป็นต้นตำรับของเพลงร้องที่มีลีลาอ่อนหวาน เช่น เพลงเขมรเลียบนคร เขมรพวง ไส้พระจันทร์ ฯลฯ เป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลงเพลงเป็นทางต่างๆ ได้แก่ เพลงพราหมณ์ดีดน้ำเต้า ลาวเสี่ยงเทียน
ช้างประสานงาและเพลงโอ้ต่างๆ เป็นผู้ประดิษฐ์เพลงที่มีลูกนำขึ้นต้น และเพลงที่แสดงความหมายของธรรมชาติอย่างแท้จริง เช่น เพลงแสนคำนึง เพลงตับภุมริน เพลงนกเขาขะแมร์ เป็นต้น เป็นผู้นำเพลงไทยไปเผยแพร่ในกัมพูชา เป็นผู้นำอังกะลุงของชวามาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงใช้บรรเลงเพลงไทยเป็นคนแรก และเป็นผู้ริเริ่มแต่งเพลงไทยประเภทจังหวะ ๓ ชั้นให้เป็น ๔ ชั้น มีหลายเพลง เช่น พม่า๕ ท่อน ๔ ชั้น พราหมณ์ดีดน้ำเต้า ๔ ชั้น ดาวจรเข้ ๔ ชั้น และเพลงเขมรไทรโยค ๔ ชั้น เป็นต้น นอกจากนี้ท่านยังเคยทำทางเดี่ยวขิมเพลงแป๊ะให้นักเรียนนาฏศิลป์ บรรเลงด้วยขิมหลายสิบตัวพร้อมๆ กัน
เพลงทุกเพลงที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะแต่งขึ้น ล้วนมีทำนองไพเราะน่าฟังและมีลีลาพิศดารแปลกกว่าผู้อื่น ได้รับความนิยมแพร่หลาย เช่น เพลงพราหมณ์ดีดน้ำเต้า เพลงปฐมดุสิต เพลง
อะแซหวุ่นกี้และเพลงเขมรปากท่อ เป็นต้น เพลงเหล่านี้มีผู้แต่งขึ้นหลายๆ มีทางต่างๆ กัน ตามแนวความคิดและสติปัญญาของนักดนตรีแต่ละคน แต่ทางของหลวงประดิษฐ์ไพเราะเป็นที่นิยมแพร่หลายมากกว่าทางอื่น ท่านเป็นผู้ที่มีความจำ มีเชาวน์และสติปัญญาปฏิภาณในทางดนตรีเป็นเลิศ สามารถจำทำนองเพลงได้กว่า 1,000เพลง โดยไม่ต้องอาศัยโน้ต เพลงบางเพลงท่านแต่งโดยวิธีด้นคือนึกทำนองขึ้นทันทีทันใดก็มี เช่น เพลงอะแซหวุ่นกี้ซึ่งมีถึง ๑๐ จังหวะ
ท่านเคยเป็นครูสอนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชินี โรงเรียนนาฏศิลป์และที่ครุสภา ท่านสามารถสอนได้เกือบทุกเครื่องมือ ตลอดจนการขับร้องก็สอนได้ สำหรับศิษย์ที่มีฝีมือดี ท่านก็เลือกสอนทางที่พลิกแพลง สำหรับศิษย์ที่มีฝีมือไม่สู้ดีนักท่านก็เลือกทางธรรมดามีทำนองอ่อนหวาน
เพลงที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะแต่งขึ้น มีมากมายนับเป็นหลายร้อยเพลง เช่น กระแตไต่ไม้ ๓ชั้น เขมรถา เขมรปากท่อเถา เขมรเลียบนครเถา เขมรโพธิสัตว์เถา แขกขาวเถา แขกสาหร่ายเถา จีนนำเสด็จ ๓ ชั้น จีนลันถันเถา นกเขาขะแมร์เถา นาวเยื้อง ๓ ชั้น ปฐมดุสิต ๓ ชั้น ประชุมเทวราช ๓ ชั้น พม่าเห่เถา พราหมณ์ดีดน้ำเต้าเถา ม้าสะบัดกีบเถา มุล่งเถา ยวนเคล้าเถา ลาวเสี่ยงเทียนเถา สมิงทองเถา สาริกาเขมร สาวสอดแหวน ๓ ชั้น แสนคำนึงเถา ไส้พระจันทร์เถา อะแซหวุ่นกี้เถา โอ้ลาว เถา เป็นต้น
หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้ประดิษฐ์เพลงใหม่ๆ ขึ้นเสมอๆ ท่านมีความเห็นว่าเพลงไทยวิวัฒนา
การได้ จะต้องมีการประดิษฐ์เพลงให้มีเพิ่มขึ้น โดยรักษาหลักเดิมและใช้ศิลปะในการประดิษฐ์การบรรเลงให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เพลงไทยนั้นมีความไพเราะปราณีตพิศดารเป็นพิเศษอยู่ในตัวเองแล้ว
หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้ล้มป่วยลงและถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗
หลวงไพเราะเสียงซอ
หลวงไพเราะเสียงซอเดิมชื่ออุ่น ดูรยชีวิน เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 ณ ตำบลหน้าไม้อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายพยอมและนางเทียบ เมื่ออายุ 11 ปีท่านได้บวชเป็นสามเณรที่วัดหน้าต่างนอก ภายหลังบิดามารดาย้ายเข้ากรุงเทพมหานครท่านจึงย้ายไปเรียนที่วัดปริณายก โดยเริ่มแรกท่านเรียนซอด้วงจากบิดาของท่าน
เวลาต่อมาท่านถวายตัวเข้าเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ท่านจึงมีโอกาสศึกษาดนตรีไทยกับพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ต่อมามีการก่อตั้งกองเครื่องสายฝรั่งหลวงในกรมมหรสพ ท่านได้รับเลือกให้ฝึกหัดไวโอลิน และท่านได้เข้ารับราชการในกองดนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2448[1]
เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯเสด็จขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ท่านจึงได้เลื่อนขั้นเป็นมหาดเล็กประจำ ต่อมารัชกาลที่หกมีพระราชประสงค์ให้มีวงดนตรีตามเสด็จพระราชดำเนินเมื่อแปรพระราชฐานตามหัวเมือง เรียกกันว่า”วงตามเสด็จ”ประกอบด้วยข้าราชการที่มีฝีมือทางด้านดนตรี ท่านเป็นผู้หนึ่งในวงตามเสด็จได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนดนตรีบรรเลง รองหุ้มแพรมหาดเล็ก ในที่สุดท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ที่หลวงไพเราะเสียงซอ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2460
ครั้นสมัยรัชกาลที่เจ็ด หลวงไพเราะเสียงซอได้มีโอกาสเป็นพระอาจารย์สอนเครื่องสายถวายเจ้านาย ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อันมี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ์ หม่อมเจ้าถาวรมงคล จักรพันธุ์และหม่อมเจ้าแววจักร จักรพันธุ์ นอกจากนี้ท่านได้สอนถวายพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคลและข้าหลวงอีกด้วย ภายหลังกรมศิลปากรได้เชิญท่านสอนประจำที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ และท่านยังได้สอนและปรับปรุงวงดนตรีไทยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนทำให้วงดนตรีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นที่รู้จักในเวลาต่อมา[2]
หลวงไพเราะเสียงซอถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุ 84 ปี
หลวงไพเราะเสียงซอสมรสกับนางนวม มัธยมจันทร์ มีบุตรธิดา 8 เวลาต่อมาท่านได้สมรสครั้งที่สองกับหม่อมเจ้ากริณานฤมล สุริยง มีบุตรธิดาอีก 5 คน
ผลงานของหลวงไพเราะเสียงซอนั้นมีปรากฏในราชการมากมาย อาทิวงขับไม้ในพระราชพิธีสมโภชต่างๆในสมัยรัชกาลที่หก เช่นพระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีขึ้นระวางพระคชาธารเป็นต้น และในสมัยรัชกาลที่เจ็ด เพลงคลื่นโหมโรงกระทบฝั่งซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่เจ็ด ก็มีที่มาจากคำกราบบังคลทูลของหลวงไพเราะฯ เมื่อครั้งตามเสด็จประพาสสัตหีบเมื่อปี พ.ศ. 2474
ครูช้อย สุนทรวาทิน
ครูช้อยท่านอยู่ในสมัย ช่วง พ.ศ. 2370 – 2380 ชีวิตในวัยเด็กนั้นท่านป่วยเป็นไข้ทรพิษ แต่รอดตายมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะหนึ่งในร้อยในพันจริงๆจึงรอดตายจากโรคนี้ได้ แต่ด้วยพิษแห่งโรคร้ายแม้รอดตายมาได้แต่ก็ต้องเสียดวงตาทั้งสองข้าง แต่แม้ดวงตาทั้งสองข้างของท่านจะบอดสนิทตั้งแต่วัยเยาว์ แต่ท่านกลับไม่เคยคิดพ่ายแพ้แก่ชะตาชีวิตตนเอง และด้วยสายเลือดแห่งศิลปินที่มีอยู่ภายในชีวิตจิตวิญญาณของท่านทำให้ท่าน ฝึกหัดเครื่องเล่นดนตรีไทยด้วยตนเองตั้งแต่เด็ก ในความจริงครูช้อย ท่านก็เกิดในตระกูลศิลปินอยู่แล้ว แต่ด้วยที่ท่านตาบอดผู้เป็นบิดาจึงมิได้หัดท่านในทางดนตรี ก็ด้วยความใส่ใจ ความรักในศิลปะดนตรีนี่เองที่ทำให้ท่านฝึกฝน โดยเริ่มจากการนำเอากะลาใต้ถุนบ้านมาเรียงกัน ๑๖ ใบแล้วตีตาม หูก็แง่ฟังการสอนของบิดาบนเรือน ส่วนตัวเองอยู่ใต้ถุนบ้านหัดตามไป และยามใดที่บิดาท่านไม่อยู่ท่านก็จะขึ้นไปฝึกหัดกับเครื่องดนตรีจริงบนบ้าน จนเกิดความชำนาญในเครื่องดนตรีทุกชนิดที่มีอยู่
เล่ากันว่าอยู่มาวันหนึ่ง มีงานดนตรี แต่คนระนาดป่วย หาคนแทนไม่ได้ พวกลูกศิษย์รู้ฝีมือลูกชายอาจารย์ว่าใช้ได้ ก็เสนอให้ครูช้อยไปเป็นคนระนาดแทน กระนั้นบิดาก็ยังไม่แน่ใจ ขอทดสอบฝีมือลูกชาย…เห็นฝีมือแล้ว จึงยอมปล่อยตัวไปออกงาน หลังจากนั้นบิดา ก็เริ่มอบรมบ่มเพาะฝีมือดนตรีให้ลูกชายอย่างจริงจัง
ปลายรัชกาลที่ 4 เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะเรื่องปี่กระทั่งบิดาเห็นแวว จึงส่งไปเรียนวิชาปี่กับครูมีแขก (พระประดิษฐ์ไพเราะ) จึงยิ่งมีความชำนาญเพิ่มขึ้น
ต่อมาเมื่อครูช้อยเป็นครูดนตรี สอนดนตรีทั้งที่บ้าน ในวัด ถึงในวัง มีลูกศิษย์สำคัญสองคน คนแรก ลูกชายครูช้อยเอง ชื่อ แช่ม ต่อมาเป็นพระยาเสนาะดุริยางค์ (คู่แข่งระนาดหลวงประดิษฐ์ไพเราะ) และศิษย์เอกชื่อแปลก ต่อมาเป็นพระยาประสานดุริยศัพท์
ความน่าอัศจรรย์อันเป็นความอัจฉริยะภาพอย่างหนึ่งของครูช้อยคือ หากศิษย์คนใดก็ตามเล่นเครื่องดนตรีเสียงเพี้ยน ไม่ถูกต้อง ครูช้อยจะใช้วิธี “ดีดเม็ดมะขาม” ใส่ผู้นั้นอย่างถูกต้องแม่นยำ โดยรู้ว่าใครเป็นใครนั่งตรงไหนอย่างถูกต้องราวกับตาเห็น
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของครูช้อยอีกอย่างหนึ่งคือ ท่านเลี้ยงนกฮูก เอาไว้สื่อสารกับลูกศิษย์
ท่านฝึกสอนนกฮูกของท่านจนพูดภาษาคนได้ โดยท่านสอนให้มันพูดว่า “พ่อเรียก” เหตุที่ท่านสอนคำนี้เพราะว่า ท่านจะได้ใช้ให้นกฮูกไปตามศิษย์มาพบท่านได้ โดยเมื่อศิษย์ที่มาเรียนดนตรีกลับบ้าน ครูช้อยก็ให้อุ้มนกฮูกไปด้วย ถึงบ้านแล้วก็ปล่อยให้นกฮูกบินกลับ ทำซ้ำซากอย่างนี้ จนนกฮูกจำบ้านศิษย์ทุกคนได้แม่น
ยามใดที่มีคนมาเรียกวงปี่พาทย์ของท่านไปเล่น ท่านก็จะส่งนกฮูกของท่านไปตามในเวลาเย็น นกฮูกจะบินไปเกาะหน้าบ้านของลูกศิษย์คนแล้วคนเล่า พร้อมทั้งส่งเสียงว่า “พ่อเรียก” อันเป็นที่รู้กันว่า ครูช้อยท่านตามให้ไปพบ
เครื่องดนตรีที่ครูช้อยชำนาญและมีชื่อเสียงได้แก่ ระนาดเอก ปี่ ซอสามสาย และเครื่องดนตรีไทยอีกหลายชนิด ผลงานของครูช้อยมีมากมาย ส่วนที่แพร่หลายถึงวันนี้ได้แก่ เพลง ใบ้คลั่ง เขมรโพธิสัตว์ อกทะเล ฯลฯ
ส่วนลูกศิษย์คนสำคัญของท่านได้แก่พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) ผู้เป็นลูก และหลานของท่านเองคือ ครูเลื่อน สุนทรวาทิน
ที่มา:บางส่วนจาก http://www.monnut.com/board/index.php?topic=90.0
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ทรงประสูติเมื่อ ๒๘ เมษายน ๒๔๐๖ สิ้นพระชนม์เมื่อ ๑๐ มีนาคม ๒๔๙๐ ทรงเริ่มเรียนวิชาหนังสือกับ หม่อมเจ้าหญิงสารพัดเพชร และทรงศึกษาในชั้นสูงกับพระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย อาจารยางกูร) เรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ในกรมทหารมหาดเล็กพระบรมมหาราชวัง สำหรับการดนตรีไทยนั้น ทรงสนพระทัยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ขณะที่ยังทรงทำหน้าที่ประเคนของถวายพระฉันเพลที่วัดแก้ว มักจะทรงไปประทับกับพวกเล่นปี่พาทย์ที่ประโคมเวลาพระฉัน ทรงฟังจนเข้าพระทัยแล้วจึงทรงของลองตีฉิ่งบ้าง กลองแขกบ้าง เมื่อทรงเจริญวัยแล้วก็ทรงเรียนเครื่องดนตรีอื่นๆ ด้วยพระองค์เองบ้าง ขอเรียนจากผู้ที่เล่นเป็นแล้วบ้าง ครั้งหนึ่งได้ทรงหัดบรรเลงเครื่องดนตรีกับครูถึง ดุริยางกูร(บุตรพระประดิษฐ์ไพเราะมี ดุริยางกูร)และพระประดิษฐ์ไพเราะ(ตาด)
เมื่อแรกทรงรับราชการเป็นนายทหารมหาดเล็กและทรงเป็นกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณ ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมโยธาธิการและเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการซึ่งรับผิดชอบในการก่อสร้างทั้งหมด การแผนที่ การไปรษณีย์ การโทรเลขและการรถไฟ จึงได้พระนามว่า “นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม” ต่อมาได้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลัง เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ตามลำดับนอกจากนี้ยังทรงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ อีก เช่น ทรงเป็นกรรมการวรรณคดีสโมสร กรรมการตรวจแก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทรงเป็นอภิรัฐมนตรี อุปนายกราชบัณฑิตสภาแผนก
ศิลปากร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖
ในด้านดนตรี ทรงเชี่ยวชาญทั้งดนตรีไทยและสากล ในขณะเดียวกันทรงเป็นกวีด้วย ระหว่างที่ทรงบัญชาการกรมยุทธนาธิการ ได้ทรงสร้างความเจริญให้แก่กองแตรวงและกองดุริยางค์ทหารบกไว้มาก โดยทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงและบทร้องไว้มากเช่น เพลงลาวเล็กและอกทะเล ทรงชำนาญในการเล่นเครื่องดนตรีไทยลายชนิด เช่น กลองแขก ฆ้อง ขลุ่ย ซอและระนาด ซึ่งโปรดมากที่สุด ทรงชำนาญในการแต่งเพลงไทย ที่เป็นที่นิยมมาก คือ เพลงเขมรไทรโยค เพลงมหาชัยซึ่งเป็นเพลงคำนับผู้เป็นประธานในพิธีสำคัญๆ แทนเพลงสรรเสริญพระบารมี ซึ่งใช้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ทรงแต่งเพลงที่ใช้ในวงมโหรีและในบทละครดึกดำบรรพ์ ซึ่งทรงคิดขึ้น เช่น เพลงช้าประสม เพลงเวสสุกรรม เพลงพม่าเห่เถา เพลงพญาโศก เพลงแม่ศรีทรงนิพนธ์และคิดแบบเพลงตับ คือนำเอาเพลงในบทละครต่างๆ มารวมกันเป็นตอน ๆ ร้องให้จบในครั้งหนึ่งๆ ให้ได้เรื่องราวติดต่อกัน ครั้งนั้นเรียกกันว่าละครมืด มีเพลงตับจูล่ง(เรื่องสามก๊ก) ตับนางซินเดอลินลา ตับนางลอย ตับนาคบาศ ตับพรหมาสตร์ ตับราชาธิราช ตับอุณรุท ตับพระลอ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังได้ทรงปรับปรุงปี่พาทย์ ซึ่งเรียกว่า ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ โดยปรับปรุงการบรรเลงเครื่องดนตรีบางชนิดไม่ให้มีเสียงดังเกินไป
โดยเหตุที่ทรงพระปรีชาสามารถทั้งในทางดนตรีและนาฏศิลป ในสมัยรัชกาลที่๖ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระฐานันดร เป็นกรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ฯ โดยมีสร้อยพระนามตอนหนึ่งว่า “สังคีตวาทิตวิธีวิจารณ์” ซึ่งแปลว่า “ทรงจัดวิธีแห่งดนตรีการฟ้อนรำ ขับร้องและทำนองเพลง”