การตั้งชื่อตัวแปรด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็กและตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ ภาษาไพธอนจะถือว่าเป็นคนละชื่อตัวแปร
ชื่อตัวแปรต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ (A-Z, a-z) เท่านั้น แล้วตามด้วยตัวเลข เช่น Student_id, student_id, Var1, Var_01
ชื่อตัวแปรห้ามมีช่องว่าง จุดทศนิยม และสัญลักษณ์พิเศษ ยกเว้น underscore "_" เท่านั้น เช่น Std_id, std_id, std_01
ควรจะตั้งชื่อให้สื่อกับความหมายใกล้เคียงกับค่าที่จะเก็บ สามารถอ่าน และทำความเข้าใจได้ง่าย เช่น Count สำหรับเก็บจำนวนนับ Salary สำหรับเก็บเงินเดือน และ Total เก็บค่าผลรวม เป็นต้น
ห้ามใช้เครื่องหมายต่อไปนี้ในการตั้งชื่อตัวแปร !,@, #, $, %, ^, &, *, (, ), -, =, \, |, +, ~, .
ตัวแปรไม่ควรยาวเกิน 255 ตัวอักษร ตัวแปรที่มีความยาวมากๆ หรือเป็นการผสมระหว่างคำให้ใช้ "_" เชื่อมคำเหล่านั้นแทน เช่น std_01_score
ห้ามใช้คำสวงนเป็นชื่อตัวแปร (Reserved word, Keyword)
ในการตั้งชื่อตัวแปรขึ้นมาใช้งานควรตั้งชื่อให้สื่อความหมายกับชนิดข้อมูลที่ใช้จัดเก็บ เมื่อพัฒนา โปรแกรมไปสักระยะหนึ่งโปรแกรมมีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวแปรมีจํานวนมากขึ้นอาจจะทําให้สับสนหากตั้งชื่อตัวแปร ไม่สอดคล้อง ทําให้ต้องเสียเวลามากในการแก้ไขโปรแกรม
การใช้งานตัวแปรมี 3 ขั้นตอน คือ
1) การประกาศตัวแปร (Variable declaration) ก่อนใช้งานตัวแปรใดๆ จ าเป็นต้องประกาศให้คอมไพเลอร์รู้เสียก่อน ตามหลักการแล้วจะต้องประกาศค่าตัวแปรให้สอดคล้องกับข้อมูลที่จะนำไปใช้ เช่น int x = 5 แต่ไพธอนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการประกาศชนิดของตัวแปรทำให้ผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องกังวลว่าควรเลือกใช้ตัวแปรชนิดใดให้เหมาะสมกับงาน การแยกแยะชนิดของตัวแปรจะเป็นหน้าที่ของไพธอน ซึ่งจะทำให้เองแบบอัตโนมัติ โดยพิจารณาจากค่าข้อมูลที่กำหนดให้กับตัวแปรนั้นๆ เช่น
Price = 120 #ประกาศตัวแปร Price เป็นจำนวนเต็ม (integer)
VAT = 0.07 #ประกาศตัวแปร VAT เป็นจำนวนทศนิยม (float)
display = "Calculating the price goods" #ประกาศตัวแปร display เป็นอักขระหรือสตริง
total = Price + VAT #ประกาศตัวแปร total เป็นจำนวนจริง
ชื่อตัวแปรจะอยู่ทางด้านซ้ายมือของเครื่องหมายเท่ากับ (=) ส่วนทางด้านขวามือของเครื่องหมายเท่ากับ คือ ชนิดข้อมูลที่กําหนดให้กับตัวแปร ถ้าเป็นชนิดข้อมูลสายอักขระหรือสตริง หรือเรียกสั้นๆ ว่า “สตริง” จะอยู่ ในเครื่องหมาย ? หรือ “ ” ถ้ายังไม่กําหนดค่าให้กับตัวแปรหรือต้องการให้ตัวแปรเก็บค่าว่างให้ตั้งเป็น var - 47 หรือถ้ายังไม่ได้กําหนดชนิดข้อมูลให้กับตัวแปรให้ใช้ None เช่น var = None ถ้าเพียงแต่ตั้งชื่อตัวแปร -เล้วสั่งให้โปรแกรมทํางานจะทําให้เกิดการแจ้งเตือนข้อผิดพลาดขึ้น
2) การกำหนดค่าให้ตัวแปร (Assigning values to variables) มีรูปแบบดังนี้ คือ
ชื่อตัวแปร = ค่าของข้อมูล เช่น
Name = "Suchart" #กำหนดสตริงให้กับตัวแปร Name
String = "" #กำหนดค่าว่างให้กับตัวแปร String
TAX = 0.075 #กำหนดค่าจำนวนจริงให้กับตัวแปร TAX
ด้านซ้ายมือของเครื่องหมาย = เป็นชื่อตัวแปร ส่วนด้านขวามือ คือข้อมูลที่ต้องการกำหนดลงไป โดยปกติแล้วเมื่อทำการประกาศตัวแปรในไพธอนจะต้องมีการกำหนดค่าเริ่มต้นให้ตัวแปรเสมอ (มิเช่นนั้นจะเกิดข้อผิดพลาด) แต่ถ้าผู้เขียนโปรแกรมยังไม่แน่ใจว่าควรจะกำหนดค่าอะไร หรือเตรียมตัวแปรไว้ร่วงหน้า เพื่อรอค่าที่จะเก็บในภายหลัง ให้กำหนดด้วย "" หรือ '' สำหรับสตริง หรือ None (ค่าว่างหรือ NULL) ถ้าเป็นจำนวนเต็มควรเป็น 0 จำนวนจริงเป็น 0.0 เป็นต้น
การกำหนดค่าตัวแปรหลายๆ ค่าพร้อมกัน
ไพธอนอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าตัวแปรได้หลายค่าพร้อมๆ กัน เช่น
a = b = c = 1 #ค่าในตัวแปร a, b และ c มีค่าเท่ากับ 1
a, b, c = 1, 2, "Tony" """ค่าในตัวแปร a มีค่าเท่ากับ 1, ตัวแปร b เท่ากับ 2 และ c มีค่าเท่ากับ
“Tony” หรือ ผู้ใช้สามารถแทนค่าตัวแปรได้โดยลักษณะนิพจน์ (Expression) เช่น """
x1, y1 = 2, 3 # x1 = 2, y1 = 3
x2, y2 = 6, 8 # x2 = 6, y2 = 8
ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าตัวแปรหลายๆ ค่า คล้ายภาษาซีได้ โดยใช้เครื่องหมาย ; คั่นแต่ละตัวแปร ซึ่งมีรูปแบบ คือ
x = 8.5; y = 15; z = "Tony" #ตัวแปร x จะมีค่าเท่ากับ 8.5, y = 15 และ z มีค่าเท่ากับ jack ตามลำดับ
3) การใช้ตัวแปร (Use the variable) ตัวแปรต้องมีการประกาศ และกำหนดค่าไว้แล้วเท่านั้นจึงจะสามารถนำมาใช้งานได้ ในการทำงานจริงๆ นั้น ตัวแปรเป็นค่าที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการใช้งาน ซึ่งข้อมูลในตัวแปรส่วนใหญ่จะมีค่าคงที่ที่ไม่เคยเปลี่ยน เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบันเท่ากับ 7% ดังนั้น ตัวแปร VAT จะเท่ากับ 0.07 เสมอ จนกว่าจะเปลี่ยนแปลงภาษีใหม่ โปรแกรมเมอร์จึงจะแก้ไขค่าดังกล่าวในภายหลัง
ค่าคงที่ คือ ตัวแปรที่สร้างขึ้นมาเก็บค่าข้อมูลที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าในระหว่างการประมวลผล เช่น ค่า pi มีค่าเท่ากับ 3.14 เราสามารถตั้งชื่อตัวแปรเป็นค่าคงที่ได้เท่ากับ pi = 3.14 หรือค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม มีค่าเท่ากับ 7% เราสามารถตั้งชื่อตัวแปรเป็นค่าคงที่ได้เท่ากับ Vat = 0.07 เป็นต้น ดังแสดงตัวอย่างต่อไปนี้
pi = 3.14 # สร้างตัวแปร pi เป็นค่าคงที่
area = pi * 5 * 5 # คุณค่าตัวแปร pi เพื่อหาพื้นที่วงกลม
circumference = 2 * pi * 5 # คุณค่าตัวแปร pi เพื่อหาเส้นรอบวงกลม
print ("พื้นที่วงกลม =", area) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร area
print ("เส้นรอบวงกลม =", circumference) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร circumference
ชนิดข้อมูลจํานวนเต็มประกอบไปด้วยตัวเลขจํานวนเต็มบวกและตัวเลขจํานวนเต็มลบ เช่น 10, 15, 255, -14, -2 เป็นต้น และยังรวมไปถึงเลขฐานต่างๆ ได้แก่ เลขฐานสอง (Binary) เลขฐานแปด (Octal) และเลขฐาน สิบ (Hexadecimal) จํานวนเต็มเลขฐานสิบประกอบด้วยตัวเลข 0-9 เลขฐานสองประกอบตัวเลข 2 ตัว ได้แก่ 0 และ 1 เลขฐานแปดประกอบด้วยตัวเลข 8 ตัว ได้แก่ 0-7 และเลขฐานสิบหกประกอบด้วยตัวเลข 10 ตัว ได้แก่ 0-9 และตัวอักษรอีก 6 ตัว ได้แก่ A-F
ในภาษาไพธอนไม่ได้กําหนดความยาวของชนิดข้อมูลจํานวนเต็ม นั่นหมายความว่าผู้เขียนโปรแกรม สามารถประกาศตัวแปรเก็บชนิดข้อมูล
จํานวนเต็มให้มีความยาวเท่าไหร่ก็ได้ แต่ก็มีผลกระทบต่อการประมวลผล หากเครื่องคอมพิวเตอร์มีหน่วยความจําไม่เพียงพอ
#ตัวอย่างที่ การดําเนินการกับชนิดข้อมูลจํานวนเต็มที่ความยาวไม่จํากัด
num1 = 546135478945123456214 # สร้างตัวแปร num1 เป็นชนิดข้อมูลจํานวนเต็ม
num2 = 14567489412457845679 # สร้างตัวแปร num2 เป็นชนิดข้อมูลจํานวนเต็ม
print("ผลบวกของ num1 กับ num2 =",num1 + num2) # แสดงผลลัพธ์ num1 + num2
print("ผลลบของ num1 กับ num2 =",num1 - num2) # แสดงผลลัพธ์ num1 - num2
การดําเนินการกับชนิดข้อมูลจํานวนเต็มเลขฐานสอง ฐานแปด และฐานสิบหก มีวิธีการดําเนินการ ดังต่อไปนี้
- ถ้าต้องการกําหนดเลขจํานวนเต็มเป็นเลขฐานสองให้ใช้สัญลักษณ์ 0b นําหน้า เช่น 0b1001011+ Ob1101101
- ถ้าต้องการกําหนดเลขจํานวนเต็มเป็นเลขฐานแปดให้ใช้สัญลักษณ์ 0๐ นําหน้า เช่น 0012451 + 0054125
- ถ้าต้องการกําหนดเลขจํานวนเต็มเป็นเลขฐานสิบหกให้ใช้สัญลักษณ์ 0x นําหน้า เช่น Ox76ade+ 0x97c7a
นอกจากนี้สามารถเรียกใช้ฟังก์ชันแปลงเลขฐานให้เป็นเลขฐานอื่นๆ ได้ โดยรูปแบบการใช้งาน คือ ชื่อฟังก์ชัน (ตัวแปร)
ฟังก์ชัน int() เป็นฟังก์ชันแปลงเลขฐานที่ต้องการให้เป็นเลขฐานสิบ
ฟังก์ชัน bin() เป็นฟังก์ชันแปลงเลขฐานที่ต้องการให้เป็นเลขฐานสอง
ฟังก์ชัน oct() เป็นฟังก์ชันแปลงเลขฐานที่ต้องการให้เป็นเลขฐานแปด
ฟังก์ชัน hex () เป็นฟังก์ชันแปลงเลขฐานที่ต้องการให้เป็นเลขฐานสิบหก
#ตัวอย่างที่ การแปลงเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสอง ฐานแปด และฐานสิบหก
x = 6749 # สร้างตัวแปร x เก็บชนิดข้อมูลจํานวนเต็มเลขฐานสิบ
print("แปลงเลขฐานสิบเป็นฐานสอง =", bin(x)) #ฟังก์ชันแปลงเลขฐานสิบเป็นฐานสอง
print("แปลงเลขฐานสิบเป็นฐานแปด =", oct(x)) #ฟังก์ชั่นแปลงเลขฐานสิบเป็นฐานแปด
print("แปลงเลขฐานสิบเป็นฐานสิบหก =", hex(x)) #ฟังก์ชั่นแปลงเลขฐานสิบเป็นฐานสิบหก
แปลงเลขฐานสิบเป็นฐานสอง = 6b1101001011161
แปลงเลขฐานสิบเป็นฐานแปด = 9015135
แปลงเลขฐานสิบเป็นฐานสิบหก = 0x1a5d
#ตัวอย่างที่ การแปลงเลขฐานสอง ฐานแปด และฐานสิบหก เป็นเลขฐานสิบ
a = 0b160111611601 # สร้างตัวแปร a เก็บชนิดข้อมูลจานวนเต็มเลขฐานสอง
b = Bo6453 # สร้างตัวแปร b เก็บชนิดข้อมูลจํานวนเต็มเลขฐานแปด
c = exAC41 # สร้างตัวแปร c เก็บชนิดข้อมูลจําานวนเต็มเลขฐานสิบหก
print("แปลงเลขฐานสองเป็นฐานสิบ =", int(a)) # แสดงผลลัพธ์การแปลงเลขฐาน
print("แปลงเลขฐานแปดเป็นฐานสิบ =", int(b))
print("แปลงเลขฐานสิบหกเป็นฐานสิบ =", int(c))
#ตัวอย่างที่ การบวกเลขฐานสองและการแปลงผลลัพธ์จากเลขฐานสิบ เป็นเลขฐานสองฐานแปด และฐานสิบหก
a = Ob1681611; b = Ob1161101 # สร้างตัวแปร a และ b
c = a + b # บวกค่าตัวแปร a และ b
print("ผลบวกของ a กับ b =", c) #แสดงผลลัพธ์ตัวแปร C
print("แปลงผลลัพธ์จากผลบวก a กับ b เป็นเลขฐานสอง =", bin(c)) # แสดงผลลัพธ์
print("แปลงผลลัพธ์จากผลบวก a กับ b เป็นเลขฐานแปด =", oct(c))
print("แปลงผลลัพธ์จากผลบวก a กับ b เป็นเลขฐานสิบหก =", hex(c))
ชนิดข้อมูลประเภทนี้ประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน โดยมีเครื่องหมายจุด (.) คั่นระหว่างตัวเลขที่อยู่ ด้านหน้าและด้านหลัง ตัวเลขด้านหน้าเป็นตัวเลขจํานวนเต็ม และตัวเลขที่อยู่ด้านหลังจุดเรียกว่า ทศนิยม การเขียนเลขทศนิยมสามารถเขียนได้สองแบบ คือ
แบบแรก เช่น 15.5, 20.451, 4.5134000000 เป็นต้น และ
แบบที่สอง เช่น 4517.458E-2 = 4517.458 x 10 หรือ 1465.47e4 = 1465.47 x 10 เป็นต้น
ในแบบที่สอง จะสังเกตเห็นว่ามีตัวอักษร E และ e ซึ่งเป็นการเขียนในรูปแบบของเลขยกกําลังสิบ (Exponential Form)
#ตัวอย่างที่ การแสดงผลการดําเนินการบวก ลบ กับชนิดข้อมูลจํานวนทศนิยม
a = 341.451E-3; b = 251.147e-2; X = 10.5; y = 17.5 # สร้างตัวแปร float
d = a - b # ลบแล้วเก็บผลลัพธ์ไว้ที่ตัวแปร d
z = x + y # ลบแล้วเก็บผลลัพธ์ไว้ที่ตัวแปร z
print ("ค่าตัวเลขจํานวนทศนิยมของ b = ", b) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร b
print ("ผลลัพธ์จาการลบ a กับ b =", d) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร d
print ("ผลลัพธ์จากการบวก X กับ y =", z) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร z
#ตัวอย่างที่ การแปลงชนิดข้อมูลอักขระหรือสตริง เป็นชนิดข้อมูลจํานวนทศนิยม
a = 56; b = 55 # สร้างตัวแปร a และ b เก็บชนิดข้อมูลจําานวนเต็ม
print ("ผลลัพธ์จากการแปลงค่าจากตัวแปร a =", float(a)) # แปลงค่า a เป็น float
print ("ผลลัพธ์จากการแปลงค่าจากตัวแปร b = ", float(b)) # แปลงค่า b เป็น float
print ("ผลลัพธ์จากการบวกค่าของ a + b =", float(a) + float(b)) # นำ a + b
print ("ผลลัพธ์จากการคุณค่าของ a * b = ", float(a) * float(b)) # นำ a *b
จํานวนเชิงซ้อน (Complex) ได้ถูกนํามาใช้งานในสาขาต่างๆ เช่น Electrical Engineering, Fluid Dynamics, Quantum Mechanics, Computer Graphics, Dynamic Systems และสาขาอื่นๆ อีกโดย เฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม จํานวนเชิงซ้อนจะเขียนอยู่ในรูปของคู่ X+ yi เช่น 5 + 21, 30 - 6i เป็นต้น โดยเรียก X เป็นจํานวนจริง (real part) และ y เป็นส่วนจินตภาพ (imaginary part) ภาษา ไพธอนจะใช้ตัวอักษร j แทนตัวอักษร i เพราะตัวอักษร iใช้แทนสัญลักษณ์ทางกระแสไฟฟ้า ดังนั้นภาษาไพธอน จึงนําตัวอักษร j ที่ใช้ในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าแทน
การใช้ตัวดําเนินการกับชนิดข้อมูลจํานวนเชิงซ้อนทําได้ปกติเหมือนกับชนิดข้อมูลจํานวนเต็มและชนิด ข้อมูลทศนิยม แสดงดังตัวอย่างต่อไปนี้
#ตัวอย่าง การใช้ตัวดําเนินการบวก ลบ กับชนิดข้อมูลเชิงซ้อน
a = 20 + 5j; b = 15 + 6j; c = 6 - 7j # สร้างตัวแปรเป็นชนิดข้อมูลเชิงซ้อน
x = a + b # บวกค่าตัวแปร a กับ b
y = b + c # คุณค่าตัวแปร b กับ c
print ("ผลลัพธ์จากการบวกระหว่าง a + b =", x) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร x
print ("ผลลัพธ์จากการคุณระหว่าง b + c =", y) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร y
ชนิดข้อมูลตรรกะหรือชนิดข้อมูลค่าความจริง (Boolean) ให้ผลลัพธ์เพียงสองค่า คือ ค่าจริง (True) และ ค่าเท็จ (False) เราสามารถ กําหนดค่า True หรือ False ให้กับตัวแปรเพื่อนําไปเปรียบเทียบได้เลย
#ตัวอย่าง การเขียนคําสั่งโปรแกรมใช้งานชนิดข้อมูลตรรกะ
x = True; y = False; z = True # สร้างตัวแปรเป็นชนิดข้อมูลตรรกะ
print ("ผลการเปรียบเทียบ x == V หรือไม่ =", x == y) # แสดงผลการเปรียบเทียบ x,y
print ("ผลการเปรียบเทียบ y == 7 หรือไม่ =", y == z) # แสดงผลการเปรียบเทียบ x,z
print ("ผลการเปรียบเทียบ z == True หรือไม่ =" , z == True) # แสดงผลการเปรียบเทียบ z
สามารถเรียกใช้งานฟังก์ชัน bool() ตรวจสอบค่าข้อมูลในตัวแปรที่สร้างขึ้นมาใช้งานว่าได้เก็บค่าข้อมูลไว้หรือไม่ ถ้าตัวแปรใดมีการ กําหนดค่าข้อมูลไว้จะได้ผลลัพธ์เป็น True แต่ถ้าตัวแปรใดไม่มีการกําหนดค่าหรือ กําหนดค่าเป็น 0, None หรือ “” จะให้ผลลัพธ์เป็น False ถ้าตัวแปรประกาศเป็นช่องว่าง “ ” ผลลัพธ์ที่ได้ เป็น True ให้ผู้อ่านพิจารณาการใช้งานฟังก์ชัน bool()
b = ""; C = " "; n = None; num = 245
print ("มีข้อมูลอยู่ในตัวแปร b หรือไม่ =", bool(b)) # แสดงผลตรวจสอบค่าตัวแปร b
print ("มีข้อมูลอยู่ในตัวแปร C หรือไม่ =", bool(c)) # แสดงผลตรวจสอบค่าตัวแปร C
print ("มีข้อมูลอยู่ในตัวแปร n หรือไม่ =", bool(n)) # แสดงผลตรวจสอบค่าตัวแปร n
print ("มีข้อมูลอยู่ในตัวแปร num หรือไม่ =", bool(num)) # แสดงผลตรวจสอบค่าตัวแปร num
ชนิดข้อมูลสายอักขระหรือสตริง (String) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ชนิดข้อมูลสตริง เป็นการนําตัวอักขระหลาย ๆ ตัวมาเรียงต่อกันเป็นข้อความหรือประโยค การประกาศชนิดข้อมูลนี้ขึ้นมาใช้งานจะอยู่ในเครื่องหมาย double quote (“...”) หรือ single quote ('...') ให้เลือกใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แสดงดังตัวอย่างต่อไปนี้
#ตัวอย่าง การประกาศสร้างตัวแปรชนิดข้อมูลสตริง
text = "Python Programming" # สร้างตัวแปร text เก็บชนิดข้อมูลสตริงใช้เครื่องหมาย " "
text1 = 'Language' # สร้างตัวแปร text1 เก็บชนิดข้อมูลสตริงใช้เครื่องหมาย ' '
print (text) #แสดงผลลัพธ์ตัวแปร text
print (text1) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร text1
print (text, text1) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร text และ text1
ในการพัฒนาโปรแกรมบางครั้งเรามีความจําเป็นต้องแปลงชนิดข้อมูลก่อนนําไปดําเนินการ หากไม่มี การแปลงชนิดข้อมูลก่อนจะทําให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาได้ ยกตัวอย่างการป้อนข้อมูลผ่านทางแป้นพิมพ์ด้วย ฟังก์ชัน input() ถึงแม้จะป้อนข้อมูลเป็นตัวเลขจํานวนเต็มหรือจํานวนทศนิยม เมื่อนําไปดําเนินการกับชนิด ข้อมูลจํานวนเต็มหรือชนิดข้อมูลทศนิยมจะทําให้เกิดการแจ้งเตือนข้อผิดพลาดขึ้น เนื่องจากตัวเลขที่ป้อน เข้ามานั้นเป็นชนิดข้อมูลสตริง
#ตัวอย่าง การแปลงชนิดข้อมูลสตริง เป็น ชนิดข้อมูลจํานวนเต็ม
num = int (input ( กรุณาป้อนตัวเลขของคณ : ") ) # รับข้อมูลผ่านคีย์บอร์ดพร้อมแปลงข้อมูล
x = "3000" #สร้างตัวแปร x เป็นชนิดข้อมูลสตริง
y = int(x) + num # แปลงค่าตัวแปร x เป็นชนิดข้อมูลจํานวนเต็มแล้วบวกกับคาตัวแปร กนก
print ("ผลลัพธ์จากการบวก x + num =", y) # แสดงผลลัพธ์จากค่าตัวแปร
#ตัวอย่าง การแปลงชนิดข้อมูลสตริง เป็น ชนิดข้อมูลจํานวนทศนิยม
flo = float(input("กรุณาป้อนตัวเลขของคุณ : ")) # รับข้อมูลผ่านคีย์บอร์ดพร้อมแปลงข้อมูล
x = "152.124" # สร้างตัวแปร x เป็นชนิดข้อมูลสตริง
y = float(x) + flo # แปลงค่าตัวแปร x เป็นชนิดข้อมูลจํานวนทศนิยมบวกกับค่าตัวแปร flo
print ("ผลลัพธ์จากการบวก x + flo =", y) # แสดงผลลัพธ์จากค่าตัวแปร y
#ตัวอย่าง การแปลงชนิดข้อมูลสตริง เป็น ชนิดข้อมูลเชิงซ้อน
a = "20+5j; b = "15+6j"; # สร้างตัวแปร a และ b เป็นชนิดข้อมูลสตริง
x = complex (a) # แปลงค่าตัวแปร a เป็นชนิดข้อมูลเชิงซ้อน
y = complex (b) # แปลงค่าตัวแปร b เป็นชนิดข้อมูลเชิงซ้อน
z = complex (7,5) # แปลงค่าจํานวนจริงเป็นชนิดข้อมูลเชิงซ้อน
print ("ผลลัพธ์การแปลงชนิดข้อมูลจํานวนเชิงซ้อนจากตัวแปร a =", x) # แสดงผลลัพธ์ x
print ("ผลลัพธ์การแปลงชนิดข้อมูลจํานวนเชิงซ้อนจากตัวแปร b =", y) # แสดงผลลัพธ์ y
print ("ค่าจํานวนจริงของ c =", x.real, "และค่าจินตภาพของ c = ", x.imag)
# แสดงผลลัพธ์การใช้ฟังก์ชัน real() และ mag()
print ("ผลลัพธ์การแปลงเครื่องหมายตัวดําเนินการของตัวแปร y =", y.conjugate())
# แสดงผลลัพธ์การใช้ฟังก์ชัน conjugate ()
print ("ผลลัพธ์การสร้างคู่อันดับจากตัวแปร z =", z) #แสดงผลลัพธ์ z
ตัวแปรที่ประกาศสร้างขึ้นมาใช้งานจะมีการกําหนดค่าให้ ในภาษาไพธอนมีรูปแบบการกําหนดค่าให้กับ ตัวแปรหลากหลายวิธี สามารถศึกษาได้จากตัวอย่างดังต่อไปนี้
#ตัวอย่าง การสร้างตัวแปรครั้งละหลายๆ ตัว และกําหนดเป็นชนิดข้อมูลเดียวกัน
num1 = num2 = num3 = 58 # สร้างตัวแปร numl, num2 และ num3 เป็นชนิดข้อมูลจํานวนเต็ม
print ("ค่าข้อมูลในตัวแปร num1 =", num1) #แสดงผลลัพธ์ตัวแปร num1
print ("ค่าข้อมูลในตัวแปร num2 =", num2) #แสดงผลลัพธ์ตัวแปร num2
print ("ค่าข้อมูลในตัวแปร num3 =", num3) # แสดงผลลัพธ์ตัวแปร num3
จากตัวอย่าง ได้ประกาศตัวแปร num1, num2 และ num3 พร้อมทั้งกําหนดค่าให้ กับตัวแปรทั้ง 3 ตัว มีค่าเท่ากับ 50 และแสดงผลค่าข้อมูลที่เก็บอยู่ในตัวแปรทั้ง 3 ด้วยฟังก์ชัน print()
#ตัวอย่าง การสร้างตัวแปรครั้งละหลายๆ ตัว และกําหนดชนิดข้อมูลจํานวนเต็มและชนิดข้อมูลสตริง
num1, num2, txt = 50, 100, "Love you 3000"
print ("ค่าข้อมูลในตัวแปร num1 =", num1)
print ("ค่าข้อมูลในตัวแปร num2 =", num2)
print ("ค่าข้อมูลในตัวแปร txt = ", txt)
จากตัวอย่างได้ประกาศสร้างตัวแปร num1, num2 และ msg แต่ละตัวแปรจะถูกคันด้วยเครื่องหมาย Comma (,) และกําหนดเป็นชนิดข้อมูลจํานวนเต็มและชนิดข้อมลสตริงมีค่าเท่ากับ 50, 100 และ “The World is beautiful.” ตามลําดับ การประกาศตัวแปรเช่นนี้ จะมีการเรียงลําดับตัวแปรในการเก็บค่าข้อมูลที่ได้กำหนดไว้ สังเกตได้จากเมื่อใช้ฟังก์ชัน print() แสดงผลค่าข้อมูลที่เก็บอยู่ในแต่ละตัวแปร
#ตัวอย่าง การสร้างตัวแปรครั้งละหลายๆ ตัว แต่แยกเก็บชนิดข้อมูลอยู่ใน
x = 200; y = 300; txt = "Python programming language"
print ("ค่าข้อมูลในตัวแปร x =", x)
print ("ค่าข้อมูลในตัวแปร y =", y)
print ("ค่าข้อมูลในตัวแปร txt = ", txt)
จากตัวอย่างการเขียนคําสั่งโปรแกรมได้ประกาศสร้างตัวแปร x และ y พร้อมทั้งกําหนดค่าข้อมูลเท่ากับ 200 และ 300 ตามลําดับ เป็นชนิดข้อมูลจํานวนเต็ม อีกทั้งยังได้ประกาศสร้างตัวแปร msg กําหนดค่าข้อมูลเป็น ชนิดข้อมูลสตริง ผู้อ่านจะสังเกตเห็นว่าเมื่อสร้างตัวแปรให้อยู่ในบรรทัดเดียวกันจะมีเครื่องหมาย semicolon (:) คั่นระหว่างตัวแปร
การพัฒนาโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่และมีการประกาศสร้างตัวแปรไว้เป็นจํานวนมาก อาจจะทําให้ ผู้พัฒนาโปรแกรมหลงลืมว่าตัวแปรเก็บชนิดข้อมูลประเภทใดไว้ เพื่อป้องกันการนําตัวแปรมาประมวลผลหรือ ดําเนินการผิดพลาด เราอาจจะต้องตรวจสอบชนิดข้อมูลของตัวแปรนั้นก่อน โดยการเรียกใช้งานฟังก์ชัน type() ซึ่งเป็นฟังก์ชัน Built-in แสดงตัวอย่างการเรียกใช้งานดังต่อไปนี้
#ตัวอย่าง การตรวจสอบชนิดข้อมูลด้วยฟังก์ชัน type()
txt = "Python Programming language"
num = 300
float_ = 30.0123
print (type(txt))
print (type(num))
print (type(float_))
นิพจน์ (Expressions) เป็นการดําเนินการทางคณิตศาสตร์เพื่อคํานวณหรือทําการเปรียบเทียบหา ค่าต่างๆ ตามที่ต้องการ ในการดําเนินการจะประกอบด้วยค่าคงที่ หรือ ตัวแปร สิ่งเหล่านี้เรียกว่า ตัวถูก ดําเนินการ (Operand) และตัวดําเนินการ (Operator) คือ สัญลักษณ์ต่างๆ เช่น +, -, *, /, <, >, = เป็นต้น
จากตัวอย่างนิพจน์ประกอบด้วยตัวถูกดําเนินการ 5 ตัว คือ a, b, c, d และ z สําหรับตัวดําเนินการ ได้แก่ เครื่องหมาย +,/, * และ =
ตัวดําเนินการในภาษาไพธอนมีหลายแบบให้เลือกใช้งาน และแต่ละแบบทําหน้าที่แตกต่างกันออกไป ผู้อ่านสามารถที่จะนําตัวดําเนินการมาผสมเป็นนิพจน์ให้ทํางานร่วมกันได้ โดยแบ่งตัวดําเนินการออกเป็น กลุ่มได้ดังนี้
ตารางแสดงสัญลักษณ์ตัวดําเนินการทางคณิตศาสตร์ ความหมายของสัญลักษณ์ ตัวอย่างการ ใช้งาน และผลลัพธ์ที่ได้จากการ คํานวณ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการคํานวณจะแสดงผลลัพธ์ของชนิดข้อมูลที่ ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการกําหนดชนิดข้อมูลให้กับตัวแปร จาก ตารางกําหนดค่าตัวแปร a และ b เป็นชนิด ข้อมูลจํานวนเต็ม (Integer) ผลลัพธ์ที่ได้จากหารจะแสดงผลออกมาได้เป็นชนิด ข้อมูลจํานวน ทศนิยม (float) ส่วนผลลัพธ์ที่เหลือจะแสดงผลเป็นชนิด ข้อมูลจํานวนเต็ม (Integer)
#ตัวอย่าง การนำตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ มาใช้คำนวณหาผลลัพธ์
a = 15; b = 3; # สร้างตัวแปร a และ b เป็นชนิดข้อมูลจํานวนเต็ม
c = a + b # บวกค่าตัวแปร a กับ b
d = a / b # หารค่าตัวแปร ฟ กับ b
x = a ** b # ยกกําลังค่าตัวแปร a กับ b
z = a // b # หารเอาเศษค่าตัวแปร a กับ b
print("ผลลัพธ์ของ a + b คือ ", c) #แสดงผลลัพธ์ที่ค่าตัวแปร c
print("ผลลัพธ์ของ a / b คือ ", d) # แสดงผลลัพธ์ค่าตัวแปร d
print("ผลลัพธ์ของ a * * b คือ ", x) # แสดงผลลัพธ์ค่าตัวแปร x
print("ผลลัพธ์ของ a / b คือ ", z) # แสดงผลลัพธ์ค่าตัวแปร z
#ตัวอย่าง การใช้งานตัวดําเนินการเปรียบเทียบและผลลัพธ์
a = 15; b = 13; c = 15; d = 3 # สร้างตัวแปร a, b, C และ d เป็นชนิดข้อมูลจํานวนเต็ม
w = (a == c) # เปรียบเทียบค่าตัวแปร a เท่ากับ c หรือไม่
x = (d <= a) # เปรียบเทียบค่าตัวแปร d น้อยกว่าหรือเท่ากับ a หรือไม่
y = (b >= c) # เปรียบเทียบค่าตัวแปร b มากกว่าหรือเท่ากับ c หรือไม่
z = (b == d < a) # เปรียบเทียบค่าตัวแปร b เท่ากับ d และน้อยกว่า a หรือไม่
print("a เท่ากับ c หรือไม่ =", w) # แสดงผลลัพธ์ที่เก็บอยู่ในค่าตัวแปร w
print("d น้อยกว่าหรือเท่ากับ a หรือไม่ =", x) # แสดงผลลัพธ์ค่าตัวแปร x
print("b มากกว่าหรือเท่ากับ c หรือไม่ =", y) # แสดงผลลัพธ์ค่าตัวแปร y
print("b เท่ากับ d และน้อยกว่า a หรือไม่ =", z) # แสดงผลลัพธ์ค่าตัวแปร z
จากตัวอย่าง แสดงการเขียนคําสั่งโปรแกรมโดยใช้ตัวดําเนินการเปรียบเทียบแบบต่างๆ จะสังเกตเห็นว่าในบรรทัดที่ 9 สามารถประยุกต์ใช้ตัวดําเนินการเปรียบเทียบกับตัวถูกดําเนินการได้ 2 ตัว โดยการทํางานจะเปรียบเทียบตัวถูกดําเนินการคู่ทางด้านซ้ายมือก่อน จากนั้นจึงเปรียบเทียบกัน ดําเนินการทางด้านขวามือ เช่น b == d หรือไม่ ผลลัพธ์คือ จริง และ < a หรือไม่ คําตอบคือ จริง ผลลัพธ์การเปรียบเทียบเป็นจริง
เป็นตัวดําเนินการที่ทําหน้าที่กําหนดค่าข้อมูล หรือข้อมูลที่เก็บไว้ในตัวแปรที่อยู่ทางด้านขวามือ ให้กับตัวแปรที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ มีสัญลักษณ์ของตัวดําเนินการประเภทนี้แสดงในตาราง
#ตัวอย่าง การใช้งานตัวดําเนินการกําหนดค่าและผลลัพธ์
a = 3; b = 1; c =5; d = 6 # สร้างตัวแปร a, b, c และ d เป็นชนิดข้อมูลจํานวนเต็ม
a = b # กาหนดค่าตัวแปร g เท่ากับ 6
c += b # บวกแล้วเก็บผลลัพธ์ไว้ที่ตัวแปร c
d -= b # ลบแล้วเก็บผลลัพธ์ไว้ที่ตัวแปร b
print("ผลลัพธ์ a = b : ", a) # แสดงผลลัพธ์ค่าตัวแปร a
print("ผลลัพธ์ c+= b :", c) #แสดงผลลัพธ์ค่าตัวแปร c
print("ผลลัพธ์ d -= b : ", d) # แสดงผลลัพธ์ค่าตัวแปร d
ตัวดําเนินการที่ใช้เปรียบเทียบระหว่างตัวถูกดําเนินการ 2 ตัว เพื่อตัดสินใจว่าเป็นจริง (True) หรือ เป็นเท็จ (False) มีตัวดําเนินการประเภทนี้ในภาษาไพธอนให้ใช้งานอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ and, or และ not สามารถ นําตารางความจริง (Truth table) มาประยุกต์เปรียบเทียบระหว่างตัวถูกดําเนินการได้
a = 15; b = 13; c = 10; #สร้างตัวแปร a,b,c เป็นชนิดจำนวนเต็ม
#ตัวอย่างการใช้ตัวดำเนินเปรียบเที่ยบและตรรก or and not
x = a==b or c<b
y = b>a and a>c
z = not (a>b and b>c)
print("ผลลัพธ์ของ a==b or c<b = ",x) #แสดงผลตัวแปร x
print("ผลลัพธ์ของ b>a and a>c = ",y) #แสดงผลตัวแปร y
print("ผลลัพธ์ของ not (a>b and b>c) = ",z) #แสดงผลตัวแปร z