Utube Channel เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้วยวีดีโอการสอน
Vocabulary Unit 5
การใช้ Relative Clause (Relative Pronoun & Adverb)
Relative clause คือ อนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนกับ Adjective นั่นคือขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้า, relative clause จะช่วยให้เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่ คือ สิ่งใด หรือ ใครกันแน่ ทั้งนี้ Relative Clause เวลาใช้จะตามหลัง Relative Pronoun (who, whom, which, that, whose) และสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ
1. Defining Relative Clause
2. Non-defining Relative Clause
วิธีสร้างประโยคในรูปแบบ Relative Clause
ลองสมมุติว่า มีชายคนหนึ่งกำลังพูดกับเจนนี่ ถ้าอยากรู้ว่าใครที่กำลังพูดกับเจนนี่ หากจะลองถามเพื่อน อาจจะถามว่า
A man is talking to Jenny. Do you know the man?
ผู้ชายกำลังคุยกับเจนนี่ คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นไหม?
ฟังดูแปลกไหม? งานนี้ relative clause จะมาเป็นพระเอกช่วยให้ประโยคฟังดูราบรื่นขึ้นโดยปกติเวลาจะเปลี่ยนประโยค 2 ประโยคให้เป็น Relative Clause เราจะดึงเอาส่วนที่เป็นประโยคหลักมาก่อนในที่นี้ก็คือ เราอยากรู้ว่าผู้ชายคือใคร ดังนั้น ประโยคหลักคือ :
Do you know the man…
จากประโยคข้างต้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าผู้ชายที่พูดถึงเป็นใคร ดังนั้นเราจึงต้องใส่ข้อมูลเพิ่มเติม A man is talking to Jenny ใช้ A man เฉพาะในส่วนประโยคแรก และในส่วนที่สองเราแทนที่ด้วย relative pronoun (ใช้ who ในกรณีอ้างถึงบุคคล) ดังนั้นประโยคจะเปลี่ยนเป็น
Do you know the man who is talking to Jenny?
คุณรู้จักผู้ชายที่กำลังคุยกับเจนนี่ไหม?
พอเห็นภาพของการใช้งาน Relative Clause แล้วใช่ไหม? ทีนี้ลองมาดูว่า Relative Clause ทั้งสองประเภท ใช้ต่างกันอย่างไรกันดีกว่า
Defining และ Non-defining
เราใช้ defining relative clause เพื่อบอกถึงสิ่งที่เรากำลังพูดถึง (หากขาดไปก็จะไม่สามารถทราบได้ว่าพูดถึงอะไร) เช่น
· I like the woman who lives next door.
(ถ้าเราไม่บอกว่า ‘who lives next door’ ก็จะไม่ทราบเลยว่าหมายถึงผู้หญิงคนไหน).
เราใช้ non-defining relative clause บอกถึงข้อมูลเพิ่มเติมของสิ่งที่เรากำลังพูดถึง (เราไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลนี้เพื่อที่จะเข้าใจว่าพูดถึงอะไร) เช่น
· I live in London, which has some fantastic parks.
(ทุกคนทราบดีว่าลอนดอนอยู่ที่ไหน ดังนั้น ‘which has some fantastic parks’ ถือเป็นข้อมูลเพิ่มเติม จะมีหรือไม่มีก็ได้).
ลองมาดูรูปแบบการใช้ Defining relative clauses กัน
Defining Relative Clause โดยปกติแล้วจะมีลักษณะดังนี้
1. ทำหน้าที่คล้ายคำคุณศัพท์ (Adjective) เพื่อไปขยายนามที่อยู่ข้างหน้า ให้ได้ใจความสมบูรณ์และชัดเจนว่า หมายถึง ใคร สิ่งไหน หรือ ของใคร เป็นต้น
2. ไม่มีเครื่องหมาย comma (,) คั่นระหว่างนามกับ Defining Relative Clause
3. จะขึ้นต้นด้วยคำสรรพนาม (Relative Pronoun) ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับนามที่ขยาย เช่น ถ้าขยายนามที่เป็นคน Relative Pronoun ก็ต้องเป็นคำที่ใช้แทนคน ฯลฯ
หน้าที่ของ Relative Pronoun จะมีหน้าที่อยู่ 3 ประการหลัก คือ
1. ทำหน้าที่เป็นประธาน มี 2 แบบ คือ
1.1 ถ้าเป็นคนใช้ who เช่น
· I’m looking for a secretary who can use a computer well.
ฉันกำลังมองหาเสมียนที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ดี
· She has a son who is a doctor.
เธอมีลูกชายคนหนึ่งที่เป็นหมอ
1.2 ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของใช้ which หรือ that เช่น
· We bought a house which / that is 200 years old.
เราซื้อบ้านซึ่งอายุ 200 ปี
· The iPad which / that is on the table is from America.
ไอแพด ตัวที่อยู่บนโต๊ะ มาจากอเมริกา
2 ทำหน้าที่เป็นกรรม มี 2 แบบ คือ
2.1 ถ้าเป็นคนใช้ whom เช่น
· The woman whom I talked to yesterday is our new boss.
ผู้หญิงที่ฉันคุยด้วยเมื่อวานคือเจ้านายใหม่ของเรา
2.2 ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของ ใช้ which หรือ that เช่น
· I like the puppy which Gabriel bought last week.
ฉันชอบลูกสุนัขที่กาเบรียลซื้อมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
3 ทำหน้าที่เป็นเจ้าของ มี 2 แบบ คือ
3.1 เป็นคน ใช้ whose เช่น
· The man whose car is blue is Mark.
ผู้ชายที่รถของเขาสีน้ำเงินคือ มาร์ค
3.2 ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของให้ใช้ of which เช่น
· The cabinet of which drawer is broken has already been repaired.
ตู้ที่ลิ้นชักเสียมีคนมาซ่อมแล้ว
คราวนี้มาดู Relative อีกตัวที่เหลือ ก็คือ Non-defining relative Clause มีลักษณะที่สำคัญ อยู่ 3 ประการ
1. เป็น clause ที่เพิ่มเข้ามา ไม่มีความจำเป็น แก่ใจความในประโยค เพียงแต่เพิ่มเข้ามาเพื่อให้ได้ความละเอียดมากขึ้น
2. ต้องมีเครื่องหมาย comma ข้างหน้าและข้างหลัง clause เสมอ
3. ต้องใช้ relative pronouns ซึ่งไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น who, whom ,whose หรือ which เท่านั้น จะใช้ that ไม่ได้เลย
ตัวอย่างเช่น
· My boss, who is very nice, lives in Manchester.
· My sister, who I live with, knows a lot about cars.
· My bicycle, which I’ve had for more than ten years, is falling apart.
Comparison
การเปรียบเทียบขั้นกว่าและขั้นสูงสุด (comparatives and superlatives)
เราใช้ comparative เพื่อเปรียบเทียบ คน/สิ่งของ 1 คน/สิ่ง กับอีก 1 คน/สิ่ง โดยจะใช้ than หลังคำขั้นกว่า (comparative)
ตัวอย่างเช่น He is older than me.
เราใช้ superlative ใช้เพื่อเปรียบเทียบ คน/สิ่งของ 1 คน/สิ่ง กับ คน/สิ่งของมากกว่า 1 คน/สิ่ง ที่ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน และใช้ the ก่อนคำขั้นสูงสุด (superlative)
ตัวอย่างเช่น He’s the oldest person in the room.
เราสร้างขั้นกว่าและขั้นสูงสุดจากคำคุณศัพท์ (adjectives) และคำกริยาวิเศษณ์ (adverbs) ดังนี้
- คำคุณศัพท์ที่มีหนึ่งพยางค์ เราสามารถเติม -(e)r เพื่อทำเป็นขั้นกว่า และเติม -(e)st เพื่อทำเป็นขั้นสูงสุด
เช่น nice – nicer – nicest
หมายเหตุ: คำคุณศัพท์ที่มี 1 พยางค์ และลงท้ายด้วยสระ 1 ตัว + พยัญชนะ 1 ตัว จะต้องเพิ่มตัวสะกดที่เป็นพยัญชนะอีก 1 ตัว ก่อนจะเติม -er/est
เช่น fit – fitter – fittest
- คำคุณศัพท์ที่มี 2 พยางค์ และลงท้ายด้วย -ly, -y, -w เราสามารถเติม -er / -est ที่ท้ายคำได้เช่นเดียวกัน
เช่น shallow – shallower – shallowest
หมายเหตุ: คำคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ เราจะเปลี่ยน -y เป็น –i
เช่น pretty – prettier – prettiest
- คำคุณศัพท์ 2 พยางค์คำอื่นๆ หรือคำคุณศัพท์ที่มีมากกว่า 2 พยางค์ เมื่อทำเป็นขั้นกว่าหรือขั้นสูงสุด จะใช้ more/most
เช่น interesting – more interesting – most interesting
-คำกริยาวิเศษณ์ที่มีรูปเดียวกับคำคุณศัพท์ เราจะเติม -er/-est ที่ท้ายคำ
เช่น fast – faster – fastest
-คำกริยาวิเศษณ์ที่มี 2 พยางค์หรือคำประสม จะใช้ more/most
เช่น quietly – more quietly – most quietly
หมายเหตุ: clever, common, cruel, friendly, gentle, pleasant, polite, shallow, simple, stupid, quiet สามารถเปลี่ยนเป็นขั้นกว่าหรือขั้นสูงสุดได้ทั้ง 2 แบบ คือ เติม -er/-est หรือใช้ more/most ก็ได้
Irregular forms เช่น
good – better – best
bad – worse – worst
much – more – most
little – less – least
far – farther/further – farthest/furthest
many/lots/a lot of – more – most
ชนิดของการเปรียบเทียบ (Types of comparisons)
- as + adjective + as (เพื่อแสดงว่าคน/สิ่งของ 2 คน/สิ่ง มีความคล้ายกันบางอย่าง)
ในประโยคปฏิเสธ เราจะใช้ not as/so ... as
ตัวอย่างเช่น This dress is as pretty as that one.
-less + adjective + than (เพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างคน/สิ่งของ 2 คน/สิ่ง)
โครงสร้างประโยคที่ใช้แสดงความหมายที่ตรงกันข้าม คือ more ... than
ตัวอย่างเช่น The film is less interesting than the book.
-the least + adjective + of/in (ใช้เพื่อเปรียบเทียบคน/สิ่งของ 1 คน/สิ่ง กับคน/สิ่งของ 2 คน/สิ่งหรือมากกว่า 2 ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน)
โครงสร้างประโยคที่ใช้แสดงความหมายที่ตรงกันข้าม คือ the most ... of/in
ตัวอย่างเช่น It was the least expensive place I’ve ever visited.
-much/a lot/far/a little/a bit/slightly + comparative (ใช้แสดงระดับความแตกต่างระหว่างคน/สิ่งของ 2 คน/สิ่ง)
ตัวอย่างเช่น John is slightly taller than Anthony.
-comparative and comparative (ใช้เพื่อแสดงว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังเพิ่มขึ้นหรือลดลง)
ตัวอย่างเช่น Every day I’m feeling better and better with this medicine.
-the + comparative ... , the + comparative (ใช้เพื่อแสดงว่ามี 2 สิ่ง เปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน หรือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับอีกสิ่งหนึ่ง)
ตัวอย่างเช่น The more you eat, the fatter you get.
-by far + the + superlative (ใช้เพื่อเน้นให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคน/สิ่งของ 1 คน/สิ่ง กับคน/สิ่งของ 2 คน/สิ่งหรือมากกว่า 2 ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน)
ตัวอย่างเช่น Jackie is by far the best player in her team.
(เนื้อหานี้เป็นแค่ฉบับย่อ นักเรียนสามารถค้นหาเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ทั่วไปครับ)