Utube Channel เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้วยวีดีโอการสอน
Vocab Unit 2
in the wild (phr): not in captivity
squirrels (n): small furry animals (usually red, grey or black)
lizard (n): small reptile with a long tail
tiny (adj): very small
woodlands (n): forest
farmlands (n): area where there are many farms, fields
ponds (n): small lakes
hedgerows (n): long rows of bushes, trees or shrubs
sand grains (n): small pieces of sand
at risk (phr): facing danger
endangered species (phr): animals and plants that are about to die out
moths (n): insects that are like butterflies
bats (n): mammals that look like mice with wings
no longer (phr): not any more
extinction (n): the death of a species
environmental groups (phr): organisations that help nature
rare (adj): not common
Grammar Unit 2
· Modals
กริยาช่วย can/could, may/might, must/have to, ought to, shall/should, will/would:
- ไม่มีการเติม -s, -ing หรือ -ed ที่ท้ายคำ
- จะตามด้วยกริยาช่องที่ 1
- อยู่หน้าประธานในประโยคคำถาม และตามด้วย not ในประโยคปฏิเสธ
- ไม่ใช้ tenses ตามปกติ โดยเมื่อกริยาช่วยตามด้วยกริยาช่องที่ 1 จะกล่าวถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่ยังไม่เสร็จสิ้น (คือ ปัจจุบัน หรืออนาคต) เมื่อกริยาช่วยตามด้วย have + กริยาช่องที่ 3 จะกล่าวถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นไปแล้ว
· Obligation/Duty/Necessity
- must ใช้เพื่อ
a) แสดงหน้าที่ การบังคับให้ทำบางสิ่งหรือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยปกติแล้วเราจะใช้ must เมื่อผู้พูดเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
ตัวอย่างเช่น I must correct these essays today.
b) ให้คำแนะนำที่จริงจัง (strong advice)
ตัวอย่างเช่น You must pay attention to your teacher.
- have to ใช้เพื่อแสดงความจำเป็นหรือการบังคับ โดยปกติแล้วเราจะใช้ have to เมื่อผู้พูดไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจเองว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
ตัวอย่างเช่น The teacher told us that we have to study all the chapters for the exam.
หมายเหตุ: must และ have to มีความหมายแตกต่างกัน ในประโยคคำถาม
ตัวอย่างเช่น Do I have to go to the wedding? (Is it necessary for me ...?)
Must you play your trumpet so loudly? (Do you insist that you ... ?)
- Should/Ought to ใช้แสดงข้อเสนอแนะ แสดงถึงการบังคับ/หน้าที่ที่ไม่จริงจังเท่ากับ must/have to
ตัวอย่างเช่น We should change the bathroom curtains soon.
- Need ใช้แสดงความจำเป็น
ตัวอย่างเช่น Need I wake up early tomorrow?
หมายเหตุ: Need สามารถใช้เป็นกริยาช่วย หรือกริยาแท้ก็ได้ โดยที่ความหมายไม่เปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างเช่น Need I dress well for this party? (กริยาช่วย)
Do I need to dress ...? (กริยาแท้)
· Absence of necessity
Needn’t/Don’t have to/Don’t need to + กริยาช่องที่ 1 ใช้เพื่อแสดงว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำบางสิ่ง (ในปัจจุบันหรืออนาคต)
ตัวอย่างเช่น You don’t need to wash the dishes. I have a washing machine.
· Prohibition
Mustn’t/Can’t ใช้ในการห้ามทำบางสิ่ง ห้ามทำเพราะผิดกฎหมาย ผิดกฎ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ทำบางสิ่ง
ตัวอย่างเช่น You mustn’t/can’t touch anything in the museum.
· Ability/Permission
Can ใช้แสดงความสามารถในปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น He can play the piano really well.
Could ใช้แสดงความสามารถในอดีต
ตัวอย่างเช่น He could swim very fast when he was a child.
Can/Could/May/Might ...? เราใช้โครงสร้างนี้เพื่อขออนุญาตในการทำบางสิ่งบางอย่าง การใช้ could และ may จะสุภาพมากกว่า can ส่วนการใช้ might จะเป็นทางการ
ตัวอย่างเช่น Can I stay for lunch? (informal)
Could/May/Might I close the window? (formal)
We can/could ... /Shall we ...? เราใช้โครงสร้างนี้เพื่อให้คำแนะนำ
ตัวอย่างเช่น We can/could go to a nice restaurant this evening.
· Future tenses
- Future simple เราใช้ future simple (will + กริยาช่องที่ 1) เพื่อกล่าวถึง:
§ การตัดสินใจที่กระทำในขณะที่พูด
ตัวอย่างเช่น I’m tired. I’ll go to bed.
§ การทำนายเกี่ยวกับอนาคตที่มีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เราคิด เชื่อ หรือจินตนาการ โดยใช้คำกริยา think, believe, expect, etc วลี be sure, be afraid, etc และคำกริยาวิเศษณ์ probably, certainly, perhaps, etc
ตัวอย่างเช่น I’m sure he will call soon.
§ คำสัญญา, การคุกคาม, การเตือน, การขอร้อง, ความหวัง และการเสนอ
ตัวอย่างเช่น Will you help me tidy the room?
§ การกระทำ, เหตุการณ์, สถานการณ์ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตและเราไม่สามารถควบคุมได้
ตัวอย่างเช่น Jenny will be 5 years old next week.
- Be going to เราใช้ be going to
§ สำหรับแผนการ ความตั้งใจ หรือความมุ่งมั่นทะเยอทะยานสำหรับอนาคต
ตัวอย่างเช่น She’s going to become a dancer when she grows up.
§ การกระทำที่เราตัดสินใจไว้แล้วว่าจะทำในอนาคตอันใกล้
ตัวอย่างเช่น Paul is going to visit his aunt this weekend.
§ การทำนายที่มีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เราเห็นหรือสิ่งที่เรารู้ โดยเฉพาะเมื่อมีหลักฐานว่าบางสิ่งจะเกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น Look out! That branch is going to fall onto the road.
คำ/วลีบ่งบอกเวลาที่เราใช้กับ future simple และ be going to ได้แก่ tomorrow, the day after tomorrow, tonight, soon, next week/month/year/summer etc, in a week/month etc
- Future continuous เราใช้ future continuous (will be +กริยาเติม-ing)
§ สำหรับการกระทำซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในอนาคต ตามเวลาที่ระบุไว้
ตัวอย่างเช่น This time next week, I’ll be exploring Egypt.
§ สำหรับการกระทำซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต เพราะเป็นผลมาจากเตรียมการไว้แล้วหรือเป็นกิจวัตร
ตัวอย่างเช่น I will be travelling with my company next week.
§ เมื่อเราถามอย่างสุภาพเกี่ยวกับแผนการในอนาคตอันใกล้ของบุคคลอื่น
ตัวอย่างเช่น Will you be finishing your phone call soon?
- Future perfect เราใช้ future perfect (will have + กริยาช่องที่ 3)
§ สำหรับการกระทำซึ่งจะเสร็จสิ้นก่อนเวลาที่ระบุไว้แน่นอนในอนาคต
ตัวอย่างเช่น I will have graduated by the end of this year.
- Future perfect continuous เราใช้ future perfect continuous (will have been + กริยาเติม-ing) เพื่อใช้กล่าวเน้นถึงความต่อเนื่องของการกระทำมาจนถึงเวลาที่ระบุไว้อย่างแน่นอนในอนาคต โดยใช้คำดังต่อไปนี้ by ... for
ตัวอย่าง By the end of the month, I will have been playing professional tennis for three years.
คำ/วลีบ่งบอกเวลาที่ใช้เพื่อกล่าวถึงอนาคต:
เมื่อเราใช้คำและวลี เช่น while, before, after, until/till, as, when, whenever, once, as soon as, as long as, by the time, etc นำหน้า time clauses, time clauses ดังกล่าวจะใช้ present simple หรือpresent perfect ไม่ใช้ future forms
ตัวอย่างเช่น By the time we reach the station we will have missed the train.
(NOT: By the time we will get there ...)
เราใช้ present simple และ present perfect ด้วยเหมือนกัน ไม่ใช้ future forms หลังคำและวลี เช่น unless, if, suppose/supposing, in case, etc
ตัวอย่างเช่น Take some water with you in case you get thirsty.
(NOT: ... in case you will get thirsty.)
เราใช้ future forms กับ
- when เมื่อใช้เป็นประโยคคำถาม
ตัวอย่างเช่น When will you be going skiing?
- if/whether ใช้หลังวลีที่แสดงความไม่แน่นอนหรือไม่รู้ เช่น I don’t know, I doubt, I wonder,
I’m not sure เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น I doubt whether she will come to work today.
หลักการใช้ Modal Verbs (กริยาช่วย)
(อธิบายอีกที)
Modal Verbs คืออะไร?
Modal Verbs คือ กริยาช่วย ที่มีความพิเศษตรงนี้มีความหมายในตัวมันเอง (ปกติกริยาช่วยมีหน้าที่ทำให้ประโยคสมบูรณ์แต่ไม่มีความหมาย)
Modal Verbs ที่ต้องรู้
1. Can/Could = สามารถ
2. Will/Would = จะ
3. Shall/Should = ควรจะ
4. May/Might = อาจจะ
5. Must = ต้อง
6. Ought to = ควรจะ
Modal Verbs ต่างจาก verb ปกติอย่างไร?
1. Modal Verbs ไม่ต้องเติม s ไม่ว่าประธานจะเป็นตัวไหน
Ex 1. I will visit Japan next year.
Ex 2. She can speak Italian.
2. สามารถทำเป็นประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถามได้เลยโดยไม่ต้องใช้กริยาช่วยตัวอื่น เช่น do, does
Ex 1. Students can’t enter this room.
Ex 2. Can you pass me the sugar?
3. หลัง Modal Verbs ต้องตามด้วย infinitive verbs (verb รูปธรรมดาที่ไม่เติม -ing, -ed, to, s หรือ es)
Ex 1. I should arrive by lunch time.
Ex 2. You must study hard.
คราวนี้มาดูหลักการใช้ Modal Verbs แต่ละตัวกันเลย
Can/Could
รูปปฏิเสธของ Can คือ Can not (Can’t)
รูปปฏิเสธของ Could คือ Could not (Couldn’t)
- ใช้บอกความสามารถ โดย Can บอกความสามารถในปัจจุบัน Could บอกความสามารถในอดีต
Ex 1. He can fix computers. (เขาสามารถซ่อมคอมพิวเตอร์ได้)
Ex 2. When I was younger, I could run marathons without a problem. (ตอนฉันเด็ก ๆ ฉันสามารถวิ่งมาราธอนได้โดยไม่มีปัญหา)
- ใช้ถามเพื่อขออนุญาต, ให้การอนุญาตหรือไม่อนุญาต, ร้องขอบางสิ่งบางอย่าง, เสนอการช่วยเหลือ โดย Could มีความสุภาพมากกว่า Can
Ex 1. Can I use this restroom please? (ฉันสามารถใช้ห้องน้ำนี้ได้ไหม?)
Ex 2. Could you fill in these blanks please? (รบกวนช่วยกรอกข้อมูลตรงช่องว่างนี้ได้ไหมคะ?)
Ex 3. Can you help me please? (คุณสามารถช่วยฉันได้ไหม?)
Ex 4. Can I carry your bags for you? (ฉันช่วยถือกระเป๋าให้ไหม?)
Ex 5. You can’t smoke in this room. (คุณสูบบุหรี่ในห้องนี้ไม่ได้)
- ใช้บอกสิ่งที่เป็นไปได้หรือเกิดขึ้น โดย Could บอกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต มีโครงสร้าง Could + have + past participle (V.3)
Ex 1. It can get very hot there at night. (ตอนกลางคืนมันจะร้อนมาก ๆ)
Ex 2. I could have done it by myself. (ฉันสามารถทำมันได้ด้วยตัวฉันเอง)
Will/Would
รูปปฏิเสธของ Will คือ Will not (Won’t)
รูปปฏิเสธของ Would คือ Would not (Wouldn’t)
- Will ใช้บอกสิ่งที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต, บอกความตั้งใจ
Ex 1. I will visit Japan next year. (ฉันจะไปญี่ปุ่นปีหน้า)
Ex 2. We will give you this book. (พวกเราจะให้หนังสือเล่มนี้แก่คุณ)
- Would ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอดีต, ใช้ขอร้องอย่างสุภาพ, บอกความต้องการ และใช้ในประโยคเงื่อนไข
Ex 1. I knew that Nid would be successful. (ฉันรู้ว่านิดจะประสบความสำเร็จ)
Ex 2. Would you mind if I asked you to work today? (คุณรังเกียจไหมถ้าฉันจะถามคุณเรื่องงานวันนี้)
Ex 3. Would you like some milk? (คุณต้องการนมไหม?)
Ex 4. If she came, I would go. (ถ้าเธอมาฉันจะไป)
Shall/Should
รูปปฏิเสธของ Shall คือ Shall not (Shan’t)
รูปปฏิเสธของ Should คือ Should not (Shouldn’t)
- Shall ใช้ในการเสนอแนะ ชี้แนะ เสนอความช่วยเหลือ
Ex. Shall I carry your bags for you? (ฉันถือกระเป๋าให้คุณไหม?)
หมายเหตุ: ในปัจจุบันไม่ค่อยใช้ Shall กันแล้ว แต่บางครั้งอาจเจอได้ในการพูดอย่างเป็นทางการ และบางเอกสารทางกฎหมาย สำหรับภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันจะเจอ Shall มากที่สุดในประโยคคำถามยื่นข้อเสนอ หรือเสนอแนะ ชักชวน ว่า Shall I…? / Shall we…?
- Should แปลว่า ควรจะ... ใช้ในการแนะนำ
Ex 1. Should we take a taxi? (พวกเราควรจะขึ้นแท็กซี่นะ?)
Ex 2. I think you should stop smoking. (ฉันคิดว่าคุณควรเลิกสูบบุหรี่นะ)
May/Might
May และ Might แปลว่า อาจจะ สามารถใช้แทนกันได้ แต่ Might จะสื่อว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยกว่า
รูปปฏิเสธของ May คือ May not
รูปปฏิเสธของ Might คือ Might not (Mightn’t)
- ใช้บอกความเป็นไปได้ หรือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
Ex. She may be in danger. (เธออาจจะตกอยู่ในอันตราย)
- ใช้ในการให้อนุญาต, ขออนุญาต
Ex 1. May I borrow your phone? (ฉันขอยืมโทรศัพท์คุณได้ไหม?)
Ex 2. You may call me anytime. (คุณโทรหาฉันได้ทุกเวลานะ)
Must
- แปลว่า ต้อง ใช้พูดถึงสิ่งที่ต้องทำ สิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้
Ex 1. I must finish my work. (ฉันต้องทำงานให้เสร็จ)
Ex 2. Plants must have light and water to grow. (พืชต้องมีแสงและน้ำเพื่อการเจริญเติบโต)
Ex 3. The show must go on. (ชีวิตต้องดำเนินต่อไป)
- เมื่อเป็นรูปปฏิเสธ Must not (Mustn’t) จะหมายถึง ข้อห้าม, ไม่อนุญาตให้ทำ
Ex. You mustn’t drink that. (คุณห้ามดื่มสิ่งนั้นนะ)
Ought to
Ought to แปลว่า ควรจะ เป็นคำที่คนสมัยก่อนใช้กัน ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยใช้กันแล้ว จะใช้ Should มากกว่า
Ex. We ought to help the poor. = We should help the poor. (เราควรจะช่วยเหลือคนจน)
Future Tenses (อธิบายอีกครั้ง)
[3.1] Future simple tense เช่น He will walk. เขาจะเดิน.
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า tomorrow, to night, next week, next month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย.
* Shall ใช้กับ I we.
Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป.
Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์เท่านั้น ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.
[3.2] Future continuous tense เช่น He will be walking. เขากำลังจะเดิน.
1. ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอนด้วยเสมอ).
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีกลักการใช้ดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.2 S + will be, shall be + Verb 1 ing.
- เกิดทีหลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .
[3.3] Future prefect tens เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลาด้วย เช่น by tomorrow , by next week เป็นต้น.
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.3 S + will, shall + have + Verb 3.
- เกิดที่หลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .
[3.4] Future prefect continuous tense เช่น He will have been walking. เขาจะได้กำลังเดินแล้ว.
ใช้เหมือน 3.3 ต่างกันเพียงแต่ว่า 3.4 นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
* Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อยนัก โดยเฉพาะกริยาที่ทำนานไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน Tense นี้เด็ดขาด.