ขั้นตอนที่ 1 เตรียมชิ้นงาน
อันดับแรก เราต้องเตรียมชิ้นงานที่เราจะทำสีให้เรียบร้อย โดยถ้าเป็นโครงตู้ก็ควรที่จะขึ้นโครงตู้เสร็จแล้ว หรือถ้าเป็นหน้าบาน ก็ให้ถอดอุปกรณ์ฟิตติ้งออกให้เลือกแต่ชิ้นไม้เพื่อที่จะได้ทำการพ่นสีชิ้นงาน
ขั้นตอนที่ 2 ขัดลบเสี้ยน
เมื่อเราเตรียมชิ้นงานเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเราก็นำชิ้นงานมาขัดเรียบด้วยกระดาษทรายเบอร์ละเอียด เพื่อทำการขจัดเสี้ยนไม้และทำให้เนื้อไม้มีความเรียบ ไม่เกิดเป็นรอยคลื่นเมื่อทำการพ่นสี
ขั้นตอนที่ 3 ลงแชล็คเคลือบไม้
เมื่อขัดชิ้นงานเรียบร้อย จากนั้นให้ลงแชล็คเพื่อทำการรองพื้น เพื่อไม่ให้เนื้อไม้ดูดสีเวลาเราทำการพ่นสีจริง ปกติจะทาแชล็คประมาน 1-2 รอบ แล้วรอให้แชล็คแห้งจากนั้นค่อยเริ่มขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนที่ 4 โป๊วหน้าไม้ เก็บตามดและรอยแม็ค
เมื่อแชล็คแห้งเรียบร้อย ให้นำดินโป๊วสำเร็จรูปหรือจะผสมเองด้วยการนำดินสอผองผสมกับน้ำแล้วใส่วานิชลงไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เกิดความแข็งจนเกินไป จากนั้นให้นำไปโป๊วลงตรงจุดรอยตามด หรือรอยลูกแม็คและตำหนิต่างๆ ให้เรียบร้อย
ขั้นตอนที่ 5 ขัดโป็วให้เรียบ
เมื่อเรารอดินโป๊วแห้งเสร็จแล้ว ให้เราทำการขัดดินโป๊วตามจุดต่างๆ ให้เรียบร้อยด้วยกระดาษทรายตามเบอร์ หลังจากนั้นให้ลงแชล็คทับอีกหนึ่งรอบ จะทำเนื้องานมีความเรียบและง่ายต่อการพ่นสีงานจริง
ขั้นตอนที่ 6 โป๊วแดง กันเสี้ยนยกตัว
จากนั้นให้เรานำ โป๊วแดง มาทำการทาลงบนเนื้อไม้โดยใช้เหล็กโป๊ว โป๊วให้ทั้วเนื้อไม้เพื่อไม่ให้เสี้ยนไม้ผองตัวขึ้นมา เพื่อเป็นเป็นการเก็บชิ้นงานให้เรียบร้อยอีกหนึ่งครั้ง จากนั้นให้ทำการขัดเนื้อไม้ด้วยกระดาษทรายเบอร์ 220 อีกหนึ่งครั้ง จะเป็นการขัดน้ำ หรือขัดแบบแห้งก็ได้ (ให้เอามือลองลูบดู เนื้อไม้จะต้องมีผิวสัมผัสที่เรียบเนียน ไม่สะดุด)
ขั้นตอนที่ 7 พ่นสีรองพื้น
หลังจากขัดโป๊วแดงจนเนื้อไม้มีความเรียบเนียนแล้ว จากนั้นเราจึงเริ่มทำการพ่นสีรองพื้นให้ทั่วชิ้นงาน ประมาน 1-2 รอบ
ขั้นตอนที่ 8 พ่นสีจริง
เมื่อเราพ่นสีรองพื้นเรียบร้อย รอจนแห้งสนิท ให้ทำการเริ่มพ่นสีจริงทับได้เลยครับ โดยของทาง Kitchenform จะยึดตามรหัสสีของทาง TOA เท่านั้น เพื่อความเที่ยงตรงของสีและลดความคลานเคลื่อนของสี เมื่อพ่นเสร็จรอจนแห้งหุ้มด้วยซิลพลาสติกใส เพื่อรอประกอบหน้างาน เป็นอันเสร็จสิ้นครับ
ขั้นตอนการทำสี ( Painting Process ) เพื่อให้ได้ประสิทธิผล มากที่สุด จำเป็นต้องมีการกำหนดขั้นตอนต่าง ๆ ของ การทำสี ให้ถูกต้อง เหมาะสม และ เป็นไปตามมาตรฐาน ของการทำสี เพื่อให้ได้ผลงาน หลังการทำสี ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ มากที่สุด ทั้งนี้ ขั้นตอนการทำสี อาจแบ่ง ขั้นตอนการทำสี ออกไปตาม ความต้องการของงานแต่ละประเภท หรือ ให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ ของเรา ซึ่งทั้งนี้ มีขั้นตอนการทำสี ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนการทำสี ( Painting Process )
1. การทำความสะอาดชิ้นงานก่อนการทำสี ( Cleaning )
การทำความสะอาดชิ้นงาน ก่อนการทำสี ก็เพื่อเป็นการขจัดสิ่งแปลกปลอม สิ่งสกปรก ได้แก่ เศษฝุ่น คราบน้ำมัน คราบ จารบี ไขมัน คราบกาว รอยนิ้วมือ ฯลฯ อันเป็นตัวสร้างปัญหา ทำให้งานทำสีของเรา มีประสิทธิภาพที่ด้อยลง ดังนั้นจึงเป็น ขั้นตอนที่ขาดไม่ได้เลยเชียว
2. การเตรียมพื้นผิวก่อนการทำสี ( Surface Preparation )
หลังจากการทำความสะอาดเบื้องต้นมาแล้ว ผิวชิ้นงานเรา บางส่วนอาจถูกขจัด สิ่งสกปรก ออกไม่หมด เช่นคราบสนิม ตะกรัน เกล็ดผิวของการรีด งานหล่อ หากเราทำสีทับไป ผลกระทบ คือ เกิดการยึดเกาะ ของสี กับ ตัวผิวงาน ก็จะไม่ดีพอ ผลที่ได้ออกมา ก็จะเกิดปัญหา ต่าง ๆ ได้แก่ สีหลุดร่อน ได้ง่าย นอกจากนั้นการเตรียมผิวงาน ยังมีระดับของการ สร้างผิว หรือ ทำผิวขรุขระ เหมาะสม ที่จะทำให้สี มีการยึดเกาะที่ดีกว่าการทำความแบบธรรมดา ทั่วไป
3. การทำสีรองพื้น ( Primer )
การทำสีรองพื้น เพื่อทำสร้างฟิมล์การยึดเกาะระหว่างผิวงานกับผิวสี ที่เราจะทำการเคลือบลงไป ประโยชน์ที่จะได้รับจาก การทำสีรองพื้น คือ ป้องกันการเกิดสนิม สร้างเนื้อสี ให้มีความหนาเพียงพอต่อความแข็งแรง ของสีด้วย ส่วนความหนาที่เหมาะสม เท่าไรนั้น เราต้องดูจากคู่มือ หรือ ข้อกำหนดของ ผู้ผลิตสี นั้น ๆ
4. การทำสีชั้นกลาง ( Intermediate / Under Coat )
การทำสีขั้นกลาง เป็นตัวประสานระหว่างสีรองพื้นและสีทับหน้า เป็นตัวเพิ่ม ความหนาของฟิล์มสี ลดปริมาณการใช้สีทับหน้าและช่วยให้สีทับหน้า เรียบเนียนสวยงาม ในบางกรณี ที่เราต้องการให้การทำสี มีประสิทธิภาพมากขึ้น เราก็จำเป็นต้องทำสี ในชั้นที่ 2 และ 3 โดยทั้งนี้ ก็ดังที่ได้กล่าวไว้ ตามวัตถุประสงค์ ของงานที่เราจะนำไปใช้ โดยศึกษาได้จากคู่มือ หรือ ขั้นตอนการทำสี ของบริษัทสี นั้น ๆ
5. การทำสีทับหน้า ( Top Coat / Color Coat )
การทำสีชั้นสุดท้าย ก็เพื่อสร้างฟิมล์ เพื่อทำการปกป้อง ชิ้นงาน กับสภาพสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ และสีที่เราทำไว้ก่อนนี้ ให้มีความคงทนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งสี ทับหน้า ชั้นสุดท้ายนี้ ยังเป็นการทำสี ตามเฉดสี ที่เราต้องการ อีกด้วย
6. สีทับหน้าประเภทใส ( Clear Coat )
สีชั้นนี้ จะเป็นสีใสๆ ใช้เคลือบบนผิว สีชั้นสุดท้าย เพื่อปกป้องผิวสี ให้ทนทานและแข็งแรงขึ้น ด้วยความใส ทำให้ยังคงเห็นเฉดสี เดิมได้