วันที่โพสต์: Apr 05, 2014 1:17:50 PM
ปุถุชนสามัย ผู้มีปรกติท่องเที่ยวอยู่ภายในวัฏสงสารมหาภัยตราบใด ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้จมติดจมอยู่ในห้วงทุกข์ทรมานอยู่ตราบนั้น เป็นเวลานับชาติไม่ถ้วน! ส่วนท่านผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถเห็นแจ้งแทงตลอดพระจตุราริยสัจ กำจัดอวิชชาได้เป็นครั้งแรกนี้ ท่านมีคุณวิเศษสามารถที่จะตัดกองทุกข์ใหญ่ออกไปได้มากทีเดียว โดยที่ท่านจะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ ซึ่งนั้นก็หมายความว่ากองทุกข์มหาภัยกองใหญ่โตเหลือที่จักนับประมาณ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นเพราะการตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนั้น ได้ถูกบั่นทอนให้หมดสิ้นลงไป ให้เหลืออยู่น้อยที่สุด คือ เหลืออยู่อีกเพียงไม่เกิน ๗ ชาติเท่านั้น เพื่อความเข้าใจดีเรื่องนี้ ขอท่านผู้มีปัญญาพึงพิจารณาดูพระบาลีพุทธวจนะดังต่อไปนี้... น้ำมหาสมุทร ๒-๓ หยาด สมัยที่สมเด็จพระชินศรี
สัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ในเขตพระนครสาวัตถีนั้น คราวหนึ่งพระองค์ได้ตรัสเรียกพระภิกษุสงฆ์มาประชุมกันแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาตรัสถามขึ้นว่า "ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! สมมุติว่าน้ำในมหาสมุทรทะเลใหญ่ พึงเหือดแห้งหมดไป สิ้นไป ยังเหลือน้ำอยู่เพียง ๒ - ๓ หยาดฯ ในกรณีนี้พวกเธอจะเข้าใจว่าอย่างไรคือ น้ำในมหาสมุทรทะเลใหญ่ที่เหือดแห้งหมดสิ้นไป กับน้ำ ๒-๓ หยาดที่เหลืออยู่นี้ อย่างไหนจะมากกว่ากัน ?" "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำในมหาสมุทรทะเลใหญ่ที่เหือดแห้งหมดสิ้นไปนั้นแหละมากกว่า น้ำที่เหลืออยู่เพียง ๒-๓ หยาด มีประมาณน้อยกว่านักหนา น้ำเพียง ๒-๓ หยาดที่เหลืออยู่นี้เมื่อเทียบกันเข้ากับน้ำในมหาสมุทรที่เหือดแห้งหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ เสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ เสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ ได้เลยพระเจ้าข้า" ภิกษุเหล่านั้นพากันกราบทูล สมเด็จพระสรรเพชญสัม
พุทธเจ้า จึงตรัสว่า "ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ก็ย่อมจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน คือ ความทุกข์ที่เหือดแห้งหมดสิ้นไป ของบุคคลผู้เป็นอริยสาวก ซึ่งสมบูรณ์ด้วยทิฐิ รู้แจ้งแทงตลอดซึ่งธรรมวิเศษ ( ทรงหมายเอาท่านพระโสดาบันอริยบุคคล) มีประมาณมากว่า ส่วนความทุกข์ที่เหลือมีประมาณน้อย คือ ความทุกข์ที่ยังเหลืออยู่อีกเพียงไม่เกิน ๗ อัตภาพนั้นเมื่อเทียบเข้ากับกองทุกข์ที่เหือดแห้งหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ เสี้ยว ที่ ๑,๐๐๐ เสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ ฯ ดูก่อนเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! การได้รู้แจ้งซึ่งธรรมวิเศษ ให้สำเร็จประโยชน์อันยิ่งใหญ่อย่างนี้ การได้ธรรมจักษุให้สำเร็จประโยชน์ อันยิ่งใหญ่อย่างนี้" (พระบาลีสมุทรสูตร) ก้อนหินเท่าเมล็ดพันธู์ผักกาด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงมีพระมหากรุณาตรัสเรีกพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ซึ่งอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารมาประชุมกันแล้ว ตรัสถามขึ้นว่า "ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! สมมุติว่า ขุนเขาหิมวันต์ พึงถึงความแตกสลายหมดไป สิ้นไป ยังเหลือก้อนหินเท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาดอยู่เพียง ๗ ก้อนเท่านั้น ในกรณีนี้ พวกเธอจะเข้าใจว่าอย่างไร ? คือ ขุนเขาหิมวันต์ที่หมดไป สิ้นไป กับก้อนหินเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเพียง ๗ ก้อนที่ยังเหลืออยู่นั้น
ไหนจะมากกว่ากัน ?" ภิกษุเหล่านั้น จึงกราบบังคมทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ขุนเขาหิมวันต์ ทั้งเขาที่หมดสิ้นไปนั่นแหละมากกว่า ก้อนหินเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่เหลืออยู่เพียง ๗ ก้อน มีประมาณน้อยนักหนา ก้อนหินเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่เหลืออยู่เพียง ๗ ก้อน เมื่อเทียบกันเข้ากับขุนเขาหิมวันต์ทั้งเขาที่หมดสิ้นไป ย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ เสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ เสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ ได้เลยพระเจ้าข้า" สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "ดูก่อนเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ก็ย่อมจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน คือ ความทุกข์ที่เหือดแห้งหมดสิ้นไป แห่งบุคคลผู้เป็นอริยสาวก ซึ่งสมบูรณ์ด้วยทิฐิ รู้แจ้งแทงตลอดซึ่งธรรมวิเศษ ย่อมมีประมาณมากว่า ส่วนความทุกข์ที่เหลืออยู่มีประมาณน้อย คือ ความทุกข์ที่เหลืออีกเพียง
ไม่เกิน ๗ อัตภาพนั้น เมื่อเทียบเข้ากับกองทุกข์ที่เหือดแห้งหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ เสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ เสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ ฯ การได้รู้แจ้งซึ่งธรรมวิเศษ ให้สำเร็จประโยชน์อันยิ่งใหญ่อย่างนี้ การได้ธรรมจักษุให้สำเร็จประโยชน์อันยิ่งใหญ่อย่างนี้น่ะ เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย" (พระบาลีปัพพตูปมสูตร) ฝุ่นที่ปลายพระนขา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ บริเวณ พระเชตวันมหาวิหาร เขตพระนครสาวัตถี มีพระภิกษุสงฆ์แวดล้อมอยู่เป็นอันมาก พระองค์ทรงเห็นว่าเป็นกาลสมควรที่จะแสดงพระธรรมเทศนาในขณะนั้น จึงทรงเอาปลายพระนขาช้อนฝุ่นขึ้นเล็กน้อย แล้วตรัสถามพระภิกษุสงฆ์ซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นว่า "ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน? คือฝุ่นมีประมาณเล็กน้อย ที่เราเอาปลายเล็บช้อนขึ้นนี้ กับแผ่นปฐพีผืนใหญ่ อย่างไหนจะมากกว่ากัน" พระสงฆ์เหล่านั้น จึงกราบบังคมทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! แผ่นปฐพีผืนใหญ่นี้
แหละย่อมจะมากกว่านักหนา ฝุ่นมีประมาณเล็กน้อย ที่พระองค์ทรงเอาปลายพระนขาช้อนขึ้นนั้น มีประมาณน้อยเหลือเกิน เมื่อนำเอาไปเทียบกับผืนแผ่นดินใหญ่เข้า ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ เสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ เสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ ได้เลยพระเจ้าข้า" สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ก็ย่อมจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน คือความทุกข์ที่เหือดแห้งหมดสิ้นไปแห่งบุคคลผู้เป็นอริยสาวก ซึ่งสมบูรณ์ด้วยทิฐิ รู้แจ้งแทงตลอด ซึ่งธรรมวิเศษ ย่อมมีประมาณมากกว่า ส่วนความทุกข์ที่เหลืออยู่อีกเพียงไม่เกิน ๗ อัตภาพนั้น เมื่อเทียบเข้ากับกองทุกข์ที่เหือดแห้งหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ เสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ เสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ การได้รู้แจ้งซึ่งธรรมวิเศษ ให้สำเร็จประโยชน์อันยิ่งใหญ่อย่างนี้ การได้ธรรมจักษุ ให้สำเร็จประโยชน์อันยิ่งใหญ่อย่างนี้นะ เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย" (พระบาลีนขสิขสูตร)
ถ้าอยากมีชีวิตที่เลวลงอย่างคิดไม่ถึง
ก็แค่หมั่นทำเลวที่ไม่เคยแม้แต่จะอยู่ในความคิด
แต่หากปรารถนาชีวิตที่ดีขึ้นอย่างคิดไม่ถึง
คุณต้องทำดีมากกว่าที่คิดว่าตัวเองจะทำได้ !
เพราะมีทุกข์กองใหญ่เหลือประมาณ
คัดจากส่วนหนึ่งจากบร์อด พลังจิต