วันที่โพสต์: Apr 15, 2014 9:55:32 AM
1.ยึดนิมิต หมายถึงการยึดปรมัตถธรรมเป็นบัญญัติธรรมด้วยอกุศลจิตเท่านั้น แต่
การเข้าใจปรมัตถธรรมตามความเป็นจริงและบัญญัติธรรมตามความเป็นจริงไม่เป็น
การยึดนิมิตใช่หรือไม่และพอจะมีตัวอย่างการรู้รูปร่างสัณฐานความหมายด้วย
กุศลจิตหรือไม่
นิมิต ก็คือการที่เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นโต๊ะทั้งตัว เก้าอี้ทั้งตัว
เป็นชาย เป็นหญิง เป็นต้น นี้เรียกว่าส่วนหยาบ คือ โดยรวม ส่วนอนุพยัญชนะเป็น
ส่วนละเอียดจากส่วนหยาบอีกทีจริง ๆ แล้ว นิมิต กับ อนุพยัญชนะ ก็คือบัญญัติ
เรื่องราวนั่นเองซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มีจริง ๆ แต่เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริง ๆ เกิดขึ้นเป็น
ไปจึงมี(นิมิต)อนุพยัญชนะ มีบัญญัติเรื่องราวต่าง ๆ
ขณะใดที่เห็นเป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ รวมทั้งเห็นส่วนละเอียด เช่น มือและเท้า
เป็นต้น แล้วเกิดอกุศล ขณะนั้นชื่อว่า ยึดถือในนิมต อนุพยัญชนะแต่ขณะใดที่
เห็นเป็นสิ่งต่าง เป็นสัตว์ บุคคล หรือเห็นส่วนละเอียด แต่ไม่ติดข้องไม่เป็นอกุศลแต่
จิตเป็นกุศล ขณะนั้นชื่อว่า ไม่ยึดถือในนิมิต อนุพยัญชนะ แต่ถึงแม้ว่า ไม่ยึดถือใน
นิมิต อนุพยัญชนะในขณะนั้น แต่ ก็ไม่ได้รู้ความจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น
การไม่ยึดถือในนิมิต อนุพยัญชนะที่ประเสริฐจริง ๆ คือ ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้
ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราขณะนั้นไม่ยึดถือด้วยปัญญา
ไม่ยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีรูปร่างสัณฐานส่วนละเอียด ส่วนหยาบ
เพราะรู้ลักษณะของสภาพธรรม
ซึ่งตัวอย่าง ของการเห็นเป็นรูปร่าง ด้วยกุศลจิต เช่น เห็นพระพุทธรูปเกิดความ
เลื่อมใส เป็นต้น
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขณะใดที่"เห็น"แล้วสนใจ เพลิน ใน"นิมิต"คือ รูปร่าง สัณฐาน และ"อนุพยัญชนะ"
คือ ส่วนละเอียด ของสิ่งที่ปรากฏให้ทราบว่าขณะนั้น เพราะ"สี"ปรากฏจึงเป็น "เหตุ
ปัจจัย"ทำให้กิด "คิดนึก"เป็น รูปร่าง สัณฐาน และ ส่วนละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ขึ้น
เมื่อใดที่ "สติ"เกิด ระลึกรู้และ"ปัญญา" เริ่มศึกษา พิจารณาก็จะเริ่มรู้ว่านิมิต และ
อนุพยัญชนะ ทั้งหลายซึ่งเป็น "สี" ต่าง ๆ ก็เป็นเพียง"สิ่งที่ปรากฏทางตา"เท่านั้น
นี้คือ "ปัญญา"ที่เริ่มเข้าถึง "ลักษณะของสภาพธรรม"ที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล
เมื่อ "สติ" เกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เนือง ๆ บ่อย ๆ ก็จะเข้าใจ "อรรถ"
ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ไม่ติด ในนิมิต อนุพยัญชนะ"( ด้วยการอบรมเจริญปัญญา
รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความจริง)และเริ่ม ละคลาย "อัตตสัญญา"ในสิ่งที่ปรากฏ
ทางตา ทางหู ทางจมูกทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามระดับขั้นของ"ปัญญา"ที่ค่อย ๆ
เจริญขึ้นจากการอบรม
2. จากอรรถกถาโคตรภูญาณุทเทสว่าด้วยโคตรภูญาณ ข้อความตอนหนึ่งว่า
บทว่า พหิทฺธา ได้แก่สังขารนิมิตเพราะว่า สังขารนิมิตนั้นท่านกล่าวว่า พหิทฺธา -
- ภายนอกเพราะอาศัยอกุศลขันธ์ในจิตสันดานในภายใน ภายนอกและภายใน
หมายความว่าอย่างไร
คำว่า สังขารนิมิต มีความหมายหลายนัย คือ โดยนัยที่เป็นสภาพที่เป็นสังขาร
ธรรมกับวิสังขารธรรม พระนิพพานเป็นวิสังขารธรรม ออกจากสังขารธรรม หรือออก
จากสังขารนิมิต ผู้ที่เจริญวิปัสสนาจนปัญญาแก่กล้า มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
(โคตรภูญาณ)ขณะนั้นออกจากสังขารนิมิต
ในพระไตรปิฎก ปฏิสัมภิทามรรค แสดงถึง สังขารนิมิต นิมิตของสภาพธรรมไว้
น่าพิจารณาครับว่า พระโยคาวจร คือ ผู้ที่อบรมปัญญา พิจารณาเห็นสังขารนิมิต
ว่ามีภัย คือ สภาพธรรมในขณะนี้ ที่เกิดขึ้น และ ดับไป มีภัย เป็นต้น ส่วน พระ
นิพพาน ชื่อว่า สภาพธรรมที่ไม่มีนิมิต คือไม่มีลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้และ
ดับไป ดังนั้น นิมิตอีกนัยหนึ่ง ย่อมหมายถึง สภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นนิมิตให้รู้ มี
ลักษณะให้รู้ หากไม่มีนิมิต ไม่มีลักษณะให้รู้ ปัญญาที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน
วิปัสสนาญาณ ก็ไม่สามารถรู้ได้ เพราะ ไม่มีนิมิต ลักษณะให้รู้ แต่ เมื่อรู้โดยความ
เป็นนิมิตของสภาพธรรม ย่อมเห็นว่าเกิดขึ้น และ ดับไป นิมิตนั้น หาสาระไม่ได้เลย
จึงเจริญอบรมปัญญา ออกจากนิมิต คือ ประจักษ์พระนิพพาน ออกจากนิมิตที่เป็น
สังขารนิมิต ที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป
เพราะฉะนั้น....สังขารนิมิต ที่เป็นภายนก เพราะเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป
เพราะอาศัย อกุศลที่มีอยู่ที่เป็นภายในทำใ้เกิดสภาพธรรมที่เกิดดับ ที่เป็นภายนอก
โคตรภูญาณ เป็นสภาพธรรมที่มีพระนิพพานเป้นอารมณ์ จึงออกจากสภาพธรรมที่
เกิดขึ้นและดับไปที่เป็นสังขารนิมิตต้องเข้าใจว่า ถ้าไม่มีสภาพธ
ธรรมที่เกิดดับสืบต่อ ก็จะไม่มีนิมิตจะมีนิมิต
โดยไม่มีสภาพธรรมไม่ได้ นี่คือความเป็นเหตุเป็นผลอย่างยิ่งของธรรม
เป็นความจริงที่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าอะไรก็ตามปรากฏ
ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดความจริงคืออะไรความจริงต้องมีธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิด
ดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานจึงทำให้มีการมีการจำในความ
เป็นกลุ่มก้อนรูปร่างสัณฐานดังกล่าว
เห็นเป็นรูปร่างสัณฐานเป็นคนนั้นคนนี้แล้ว กุศลจิตเกิด ก็ได้ เช่น มีเมตตา
ความเป็นมิตรเป็นเพื่อนในบุคคลผู้พบเห็นแทนที่จะโกรธกันไม่พอใจกัน
หนทางที่จะทำให้มีการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
โดยการอบรมเจริญปัญญาระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมที่กำลังปรากฏ
ทีละลักษณะสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยอาศัย
พระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
โคตรภู เป็นวิปัสสนาญาณที่จะทำให้ข้ามพ้นจากความเป็นปุถุชน
เป็นมหากุศลที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ขณะแรก เมื่อดับไปแล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะ
ต่อไปเป็นโสตาปัตติมรรคจิต ซึ่งมีนิพพานเป็นอารมณ์ ต่อจากโคตรภูเป็นการข้าม
พ้นจากความเป็นปุถุชน เป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลส มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
เป็นการก้าวออกจากสภาพธรรมที่เกิดดับเพราะขณะนั้น ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน
ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับตรงกันข้ามกับสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุ
ปัจจัยปรุงแต่งที่เป็นจิต เจตสิก และรูปอย่างสิ้นเชิง และจะเห็นได้ว่า
พระธรรมเทศนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นประโยชน์จริง ๆ คือ ความ
เข้าใจถูกเห็นถูกอะไรคือสิ่งที่เป็นภายในที่สุด ก็คือ จิต - จิตเป็นสภาพธรรมที่อยู่
ภายในสะสมสิ่งที่ไม่ดี คือ อกุศล มากมายจึงทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบ
สิ้นมีสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม เกิดขึ้นเป็นไปจนกว่าจะมีการอบรม
เจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับเมื่อปัญญาเจริญขึ้น
คมกล้าขึ้นก็ย่อมจะเป็นเหตุให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมประจักษ์แจ้งพระนิพพาน
ดับกิเลสตามลำดับขั้น กิเลสที่ดับแล้ว ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกในสังสารวัฏฏฏ์
และกิเลสทั้งหลายทั้งปวงจะถูกดับได้อย่างหมดสิ้นเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์
และเมื่อดับขันธปรินิพพานแล้วไม่มีการเกิดอีกใน(สังสารวัฏฏ์)ไม่มีสภาพธรรม
ที่นามธรรมและรูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอีกเลย
บทความจาก...........................มูลนิธิบ้านธรรมะ