วันที่โพสต์: Apr 05, 2014 1:54:31 PM
ถาม - คุณพ่อใกล้จะเสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็ง ถ้าอยากให้ท่านไปสบาย จะมีวิธีพูดให้ท่านฟังแล้วสบายใจได้อย่างไรคะ เอาสูตรสำเร็จของพระพุทธเจ้าเลยก็แล้วกัน ท่านให้เข้าไปไถ่ถาม ให้เข้าไปพูดคุย เพื่อที่จะให้คนไข้คนป่วยที่ใกล้จะต้องจากไปนี่นะได้เกิดความสบายใจ ได้เกิดการถอนจากอาการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง คำว่าทำให้ถอนจากอาการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงคือทิศทาง แต่วิธีการของแต่ละคน ก็อาจแตกต่างกันไปแล้วแต่รายละเอียด ซึ่งเรารู้จักคุณพ่อมาว่าคุณพ่อยังห่วงอะไรบ้าง คุณพ่อยังมีความยึดมั่นถือมั่นอะไรมากบ้าง คุณพ่อยังคิดไม่ดีในเรื่องอะไรติดค้างอยู่บ้าง ถ้าหากว่าเรารู้แล้วเราก็ค่อยๆ พูดทีละเปลาะ ๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านให้แนวทางไว้คร่าว ๆ อย่างนี้ อาจจะเริ่มต้นถามว่า ยังห่วงอะไรอยู่บ้าง ถ้าบอกว่า ยังห่วงลูก ยังห่วงหลาน เราก็บอกท่านว่า เออ เดี๋ยวลูกเดี๋ยวหลานก็ตายตามไปเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ตลอด ไม่มีใครที่จะน่าห่วงอยู่ในโลกนี้ไปอีกหลาย ๆ ร้อยปี ทุกคนจะต้องสิ้นภาวะความน่าห่วงในโลกนี้ ไปตามกรรมของแต่ละคน หรือถ้าหากว่าท่านยังห่วงสมบัติ ท่านยังห่วงเรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบ ผลประโยชน์อะไรต่างๆ เราก็พูดให้ฟังว่า เหล่านั้นก็ไม่มีใครสามารถที่จะครอบครองได้ตลอดไปเช่นกัน ในที่สุดต่อให้
ครอบครองได้อีกเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ปี สิ่งของเหล่านั้นมันก็หมดค่าไปแล้ว ถ้าหากว่าเราเห็นนะครับว่าท่านสามารถที่จะละหรือว่าถอน จากความยึดมั่นถือมั่นอะไรที่มันหยาบๆ ได้แล้ว เราก็ถือโอกาสพูดถึงที่คนตายอยากรู้มากที่สุดเลย ก็คือ ตายแล้วจะไปไหน ตายแล้วจะเป็นยังไง ขอให้เชื่อเถอะว่ามนุษย์ทุกคนนะต่อให้ปากแข็ง ต่อให้พูดกี่ครั้งกี่หนก็แล้วแต่ว่า ฉันไม่เชื่อว่าชีวิตหน้ามี ฉันไม่เชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ แต่พอใกล้ตายนะครับ มันไม่เหมือนตอนกำลังมีชีวิตนะ มันคนละเรื่องเลยนะ ความรู้สึกมันจะอยากรู้ขึ้นมาว่า ตายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ให้เราถือโอกาสตรงนั้นนะพูด พูดในแบบที่พระพุทธเจ้าให้พูด อันนี้ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไกด์ (guide) น่ะครับ ท่านบอกให้ระลึกถึงบุญ ระลึกถึงกุศลที่เคยทำมา แล้วก็บอกว่าบุญกับกุศลที่ทำให้ใจสบาย ที่ทำให้ใจสว่างนั่นแหละ เป็นเหตุให้เข้าถึงความสบายที่มันยิ่งกว่าในโลกมนุษย์นี้ ได้แก่ ความเป็นทิพย์ของสวรรค์ เราก็พูดให้ท่านฟังว่าสวรรค์มีชั้นไหนบ้าง
สวรรค์มีชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี ลองไปค้นหา ลองไปศึกษาดูว่าสวรรค์แต่ละชั้น ท่านบรรยายสรรพคุณไว้ยังไง เพื่อที่จะให้คนที่ใกล้จะต้องจากโลกนี้ไปได้ระลึก ได้เอาจิตไปผูกอยู่กับสิ่งที่มันน่าสบายใจกว่า สิ่งที่กำลังจะต้องจากไป โลกที่กำลังจะต้องจากไป นอกจากเราจะบรรยายสรรพคุณสวรรค์วิมานอะไรต่างๆ แล้ว สิ่งสำคัญก็คือเราต้องพูดถึงต้นเหตุให้สามารถเข้าถึงได้ ต้นเหตุนั้นก็คือ ก่อนอื่นเลยละความพอใจในโลกนี้เสีย แล้วก็มีความพอใจ ทำความพอใจในบุญในกุศลที่เคยทำมา ความพอใจในบุญในกุศลที่เคยทำมานั่นแหละ จะเป็นตัวปรุงแต่งจิตให้เกิดความสว่างไสว ปรุงแต่งจิตให้เกิดความเบิกบาน สำราญ แล้วก็มีความพร้อมที่จะจากไปด้วยความสงบ ไม่ทุรนทุรายนะครับ พูดกับท่าน อันนี้เป็นแค่หลักการคร่าว ๆ แต่ว่าเวลาคุณพูดจริงๆ คุณต้องสังเกตอาการของท่านเองด้วย แล้วก็ตัวคุณเองจะต้องมีธรรมะ ทั้งในแง่ของความรู้และในแง่ของความเย็น นอกจากคุณจะบรรยายเรื่องของสวรรค์ ให้ท่านฟังได้แล้ว ใจของคุณจะต้องมีความเย็นให้ท่าน
รู้สึก มันเหมือนกับเปิดแอร์แล้วก็เปิดเพลงให้ฟัง เปรียบเทียบนะ แอร์ก็คือใจของเรา กระแสทางใจของเราที่มันมีความอ่อนโยน ที่มันมันมีความเยือกเย็น ส่วนเสียงเพลงก็คือเสียงของธรรมะที่เราอ่าน หรือว่าเราพูดให้ท่านฟัง อาจจะเอาคำพูดของพระอาจารย์ที่ไหนที่เราเคารพมาพูดให้ท่านฟังก็ได้ หรือว่าเอาซีดีเสียงของท่าน มาเปิดให้ท่านฟังก็ได้ ขอให้ท่านได้ฟังอะไรดีๆ นึกภาพตามได้ถึงสิ่งดี ๆ ก็แล้วกันนะครับ แล้วสำคัญอย่างหนึ่งคือจะต้องไม่แสดงความเศร้าโศกเสียใจให้ท่านเห็นนะ เพราะอาการเศร้าโศกเสียใจจะเป็นพันธะ จะเป็นแรงยึด ให้ท่านเกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ถ้าหากว่าอาลัยอาวรณ์ปุ๊บนี่ บางทีพูดมาตั้งยืดยาวนะ เสียเปล่าเลยนะครับ คือไม่มีประโยชน์เลย เนื่องจากว่าอาการทางใจของคนใกล้ตาย สิ่งสำคัญที่สุดคืออาการปล่อย คืออาการทิ้ง คืออาการลอยตัวเหนือจากภาวะที่มันเป็นภาระเก่าๆ หรือว่าความรุ่มร้อนเก่าๆ แม้กระทั่งลูกเมีย แม้กระทั่งบุคคลอันเป็นที่รัก ก็อย่าให้ท่านยึด แต่ให้ท่านยึดเอาความดีความงาม ให้ท่านนึกออกว่า ท่านเคยทำอะไรดี ๆ มาไว้บ้าง ถ้าหากว่าท่านนึกออกมากเท่าไหร่ นั่นก็ยิ่งประกันว่าท่านจะไปสบายได้มากขึ้นเท่านั้นน่ะครับ