2.3 เครื่องตรวจวัดอนุภาค
เครื่องตรวจวัดอนุภาคที่นักฟิสิกส์ใช้ในการค้นพบอนุภาคในช่วงแรก ๆ คือ เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอก หรือ ห้องหมอก (cloud chamber) ซึ่งได้รับการคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1911 โดย ชาลส์ ทอมสัน รีส์ วิลสัน (Charles Thomson Rees Wilson) นักฟิสิกส์ชาวสกอตแลนด์ มีหลักการทำงานคือ การทำให้ไอน้ำในภาชนะปิดอยู่ในสภาวะที่ใกล้จุดอิ่มตัวและใช้การขยายขนาดของภาชนะให้มีปริมาตรมากขึ้น และเมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านไอน้ำในสภาวะดังกล่าว จะทำให้ไอน้ำควบแน่นเป็นหยดน้ำ เกาะตามเส้นทางที่อนุภาคเคลื่อนที่ผ่าน เกิดเป็นรอยทางการเคลื่อนที่ที่สามารถสังเกตและบันทึกภาพเพื่อนำไปวิเคราะห์ได้
ในเวลาต่อมา ห้องหมอกที่คิดค้นโดยวิลสันได้รับการพัฒนาเป็น ห้องหมอกแบบแพร่กระจาย (diffusion cloud chamber) โดยเปลี่ยนจากการใช้ไอน้ำที่ใกล้จุดอิ่มตัว เป็นไอแอลกอฮอล์ที่ใกล้จุดอิ่มตัว และใช้น้ำแข็งแห้งในการลดอุณหภูมิ ดังตัวอย่างที่ได้นำเสนอใน กิจกรรมเสนอแนะ หัวข้อฟิสิกส์อนุภาค
เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอกได้นำไปสู่การค้นพบอนุภาคใหม่ ๆ เช่น โพซิตรอน มิวออน เคออน เป็นต้น
รูป 2.9 เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอกที่ได้รับการคิดค้นโดย วิลสัน เก็บไว้ที่ Cavendish Lab มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (ภาพโดย Rolf Kickuth )
ต่อมา ในปี ค.ศ. 1952 โดนัลด์ กลาเซอร์ (Donald Glaser) ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาเครื่องตรวจวัดอนุภาคโดยใช้ของเหลวโปร่งแสงความร้อนสูงเป็นสารให้อนุภาคเคลื่อนที่ผ่าน เรียกชื่อเครื่องตรวจวัดอนุภาคชนิดนี้ว่า ห้องฟอง (Bubble Chamber) โดยเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องฟองสามารถให้รอยทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีความชัดเจนมากกว่า และคงสภาพของรอยทางได้นานกว่าห้องหมอก อีกทั้ง สามารถสร้างให้มีขนาดใหญ่กว่าห้องหมอกได้มาก ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ผลการทดลองได้ดียิ่งขึ้น
เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องฟองเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่การค้นพบอนุภาคสื่อแรงของแรงอ่อน หรือ ซีโบซอน และ ดับเบิลยูโบซอน
รูป 2.10 (ซ้าย) เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องฟองที่ตั้งอยู่ลานกลางแจ้งที่ เซิร์น และ (ขวา) เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องฟอง ที่แฟร์มีแล็บ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา (ภาพซ้ายโดย SCZenz CERN และภาพขวาโดย Jonathan Haeber Some rights reserved )
รูป 2.11 ภาพรอยทางของอนุภาคที่ตรวจวัดได้จากเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องฟองที่ใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็นตัวกลางให้อนุภาคเคลื่อนที่ผ่าน (ภาพซ้ายโดย Ponor ภายใต้ Creative Commons Attribution-Share Alike 4.0 International)
ในช่วงปี ค.ศ. 1960 - 1970 เมื่อเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์มีการพัฒนามากขึ้น ได้มีการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้บันทึกรอยทางของอนุภาค โดยเริ่มจากการพัฒนาเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบ Spark Chamber ที่ใช้ความต่างศักย์ไฟฟ้าในการทำให้เกิดประกายไฟตามรอยทางการเคลื่อนที่ของอนุภาค แล้วบันทึกผลที่เกิดขึ้นด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้น ในปี ค.ศ. 1968 จอร์ช ชาร์ปัก (Georges Charpak) นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสที่ทำงานค้นคว้าวิจัยที่เซิร์นได้คิดค้นเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบ Multi Wire Proportional Chamber หรือ MWPC ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญคือ แผ่นตัวนำขนานกันสองแผ่นที่มีเส้นลวดจำนวนมากและแก๊สเฉื่อย เช่น แก๊สอาร์กอน บรรจุอยู่ระหว่างแผ่นตัวนำทั้งสอง เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านแก๊สเฉื่อย จะทำให้โมเลกุลของแก๊สแตกตัวเป็นไอออน และอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาจะลอยเลื่อน (drift) ไปตามทิศทางของสนามไฟฟ้าที่สร้างขึ้นจากแผ่นตัวนำและเส้นลวด จนไปถึงเส้นลวดรับสัญญาณที่ใกล้ที่สุด ทำให้เกิดการบันทึกเป็นตำแหน่งการเคลื่อนที่ของอนุภาคด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ข้อดีของ MWPC คือ สามารถใช้ตรวจวัดอนุภาคที่มีความเร็วสูงได้ดี ซึ่งต่อมา เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบ MWPC ได้รับการพัฒนาต่อยอดเป็นแบบ Drift Chamber ที่สามารถตรวจวัดตำแหน่งของอนุภาคได้แม่นยำมากขึ้น และสามารถแสดงผลในรูปแบบสามมิติได้ ดังตัวอย่างในรูป 2.12
เครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบ Drift Chamber เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ค้นพบซีโบซอนและ ดับเบิลยูโบซอน
รูป 2.12 (ซ้าย) เครื่องตรวจวัดอนุภาค UA1 ที่เซิร์น เป็นแบบ Drift Chamberและ (ขวา) ภาพสามมิติแสดงรอยทางของอนุภาคที่ตรวจวัดได้และส่วนประกอบของเครื่องตรวจวัดอนุภาค (ภาพโดย CERN)
เครื่องตรวจวัดอนุภาคที่ใช้ในงานค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเครื่องตรวจวัดอนุภาคหลายชนิดรวมกัน ติดตั้งเป็นชั้น ๆ คล้ายชั้นของหัวหอมใหญ่ โดยแต่ละชั้น ใช้ตรวจวัดอนุภาคต่างชนิดกัน เช่น เครื่องตรวจวัดอนุภาคซีเอ็มเอส (CMS ย่อมาจาก Compact Muon Solenoid) ที่เซิร์น ดังรูป 2.13 ประกอบด้วยเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบ tracker ติดตั้งอยู่ชั้นในสุด ถัดมาเป็นชั้นของ electromagnetic calorimeter หรือ ECal และ hadron calorimeter หรือ HCal ตามลำดับ จากนั้นชั้นสุดท้ายเป็น muon drift chamber
เครื่องตรวจวัดอนุภาคที่สร้างขึ้นจากการรวมเครื่องตรวจวัดอนุภาคหลายชนิดเข้าด้วยกันแบบซีเอ็มเอสได้นำไปสู่การค้นพบอนุภาคสำคัญในแบบจำลองมาตรฐาน นั่นก็คือ ฮิกส์โบซอน
รูป 2.13 เครื่องตรวจวัดอนุภาคซีเอ็มเอส ที่เซิร์น
รูป 2.14 (ซ้าย) แผนภาพแสดงส่วนประกอบภายในเครื่องตรวจวัดอนุภาคซีเอ็มเอส และ (ขวา) ชั้นของเครื่องตรวจวัดอนุภาคชนิดต่าง ๆ และ แม่เหล็ก