1.6 อนุภาคประหลาด
ในปี ค.ศ. 1947 หลังจากที่ได้มีการค้นพบไพออนแล้ว เดือนธันวาคมของปีเดียวกัน ผลการทดลองของโรเชสเตอร์ (George Rochester) และ บัตเลอร์ (Clifford Butler) ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้สร้างความประหลาดใจให้กับวงการฟิสิกส์อีกครั้ง ทั้งสองได้พบว่าอนุภาคที่เกิดจากรังสีคอสมิกที่เคลื่อนที่ผ่านเข้ามาในเครื่องตรวจวัดอนุภาคแบบห้องหมอกของพวกเขามีมวลไม่เท่ากับมวลของอนุภาคอื่น ๆ ที่เคยพบมา อีกทั้ง อนุภาคดังกล่าวนั้นมีการสลายตัวและชั่วชีวิตที่ยาวนานแตกต่างจากอนุภาคอื่น ๆ
ต่อมา อนุภาคชนิดใหม่นี้ได้มีชื่อเรียกว่า เคออน (kaon) แทนด้วยสัญลักษณ์ K
รูป 1.18 (ซ้าย) รอยทางของอนุภาคที่บันทึกไว้จากเครื่องตรวจวัดอนุภาค และ (ขวา) การวิเคราะห์ผลที่แสดงชนิดของอนุภาคต่าง ๆ ตามรอยทางที่ได้จากภาพด้านซ้ายมือ
หลังจากนั้น จากการทดลองด้วยเครื่องตรวจวัดอนุภาคและเครื่องเร่งอนุภาคในสถาบันอื่น ๆ ทั่วโลก ทำให้มีการค้นพบอนุภาคชนิดใหม่ที่มีมวลและประจุแตกต่าง ๆ กันไป อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนอีกเป็นจำนวนมาก เช่น Λ (แลมป์ดา) Ξ (ไซ) Σ (ซิกมา) Φ (ฟาย) และ Δ (เดลตา) เป็นต้น
อนุภาคที่ได้รับการค้นพบ เหล่านี้ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม อนุภาคประหลาด (strange particles) เนื่องจากมีชั่วชีวิตที่ยาวนานกว่าอนุภาคที่เคยค้นพบจากการศึกษารังสีคอสมิก อีกทั้ง การเกิดและการสลายตัวของอนุภาคเหล่านี้ แตกต่างไปจากอนุภาคอื่น ๆ
สวนสัตว์อนุภาค
จากการค้นพบอนุภาคเพียงไม่กี่อนุภาคในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่ 20 ไม่กี่สิบปีต่อมา นักฟิสิกส์ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีอนุภาคจำนวนมาก ที่ล้วนมีสมบัติที่แตกต่างกัน นักฟิสิกส์ได้บรรยายถึงสถานการณ์นี้ว่า เหมือนกับมี สวนสัตว์ของอนุภาค (particle zoo)
การค้นพบอนุภาคที่มีสมบัติแตกต่างกันจำนวนมาก ทำให้นักฟิสิกส์สงสัยว่า เหตุใดธรรมชาติจึงได้สร้างอนุภาคเหล่านี้ขึ้นมามากมาย และมีกฎเกณฑ์อะไร ที่จะสามารถจัดจำแนก และอธิบายพฤติกรรมและอันตรกิริยาที่อนุภาคเหล่านี้มีต่อกันได้