ตัวอย่าง ข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) สำหรับ ครูเชี่ยวชาญ
ตัวอย่าง ข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) สำหรับ ครูเชี่ยวชาญ
ตัวอย่าง ข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA)
สำหรับ ครูเชี่ยวชาญ
ผู้จัดทำข้อตกลง
ชื่อ นางธนิสร นามสกุล ตู้สมบัติ ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ
สถานศึกษา โรงเรียนบางละมุง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง
รับเงินเดือนในอันดับ คศ. 4 อัตราเงินเดือน .................... บาท
ประเภทห้องเรียนที่จัดการเรียนรู้: ห้องเรียนรายวิชา ชีววิทยา
ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่ง
(ส่วนนี้จะเหมือนกับแบบฟอร์ม PA ทั่วไป ที่ระบุภาระงานด้านการจัดการเรียนรู้, ส่งเสริมสนับสนุน, พัฒนาตนเองและวิชาชีพ และอาจมีส่วนของการสร้าง/ร่วมสร้างเครือข่ายทางวิชาการ)
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
ประเด็นที่ท้าทาย: การคิดค้นและปรับเปลี่ยน รูปแบบการจัดการเรียนรู้ชีววิทยา เรื่อง โครงสร้างและการทำงานของพืช สู่การเรียนรู้เชิงลึกแบบบูรณาการข้ามศาสตร์ (Transdisciplinary Integrated Learning) โดย การสร้างสรรค์ "ระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล-กายภาพ (Phygital Learning Ecosystem)" ที่เน้นการสร้างแบบจำลองทางความคิด (Mental Model Construction) และการแก้ปัญหาเชิงซับซ้อน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
จากการวิเคราะห์เชิงลึกถึงผลสัมฤทธิ์และสมรรถนะของผู้เรียนในรายวิชาชีววิทยา โดยเฉพาะในเนื้อหาที่ต้องการความเข้าใจเชิงพื้นที่ (Spatial Understanding) และการเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงระบบ (Systemic Relationship) เช่น โครงสร้างและการทำงานของพืช พบว่า แม้การใช้นวัตกรรมชุดกิจกรรมหรือสื่อที่พัฒนาขึ้นจะช่วยแก้ปัญหาความเข้าใจในระดับหนึ่ง แต่ยัง ไม่สามารถผลักดันให้ผู้เรียนส่วนใหญ่พัฒนาไปสู่การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) การสร้างแบบจำลองทางความคิดที่ซับซ้อนและถูกต้องแม่นยำ หรือความสามารถในการประยุกต์ความรู้เพื่อแก้ปัญหาในบริบทใหม่ที่ซับซ้อนได้อย่างเต็มศักยภาพ รูปแบบการเรียนรู้เดิม อาจยังจำกัดการบูรณาการความรู้ข้ามศาสตร์ (เช่น ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ เทคโนโลยี) ที่จำเป็นต่อการเข้าใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างแท้จริง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคิดค้นและปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมและปลดล็อกศักยภาพของผู้เรียน
ดังนั้น ครูผู้สอนในฐานะครูเชี่ยวชาญ จึง มุ่งคิดค้นและปรับเปลี่ยน แนวทางการจัดการเรียนรู้ โดยการสร้างสรรค์ "ระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล-กายภาพ (Phygital Learning Ecosystem)" ซึ่งเป็น รูปแบบใหม่ที่บูรณาการ เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง (เช่น AR/VR, Simulation, Data Analytics) เข้ากับกิจกรรมปฏิบัติการในโลกจริง และ เชื่อมโยงความรู้ชีววิทยากับศาสตร์อื่นๆ เพื่อ ปรับเปลี่ยน วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนจากการรับความรู้ไปสู่การเป็นผู้สร้างความรู้ ผู้แก้ปัญหา และผู้สร้างสรรค์แบบจำลองทางความคิด
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
เพื่อ คิดค้นและปรับเปลี่ยน รูปแบบการเรียนรู้สู่การเรียนรู้เชิงลึกแบบบูรณาการข้ามศาสตร์ ครูผู้สอนมีกระบวนการดำเนินงาน ดังนี้
2.1 วิจัยและพัฒนา (Research and Development - R&D):
* ศึกษา สังเคราะห์ และวิพากษ์ ทฤษฎีการเรียนรู้ขั้นสูง (เช่น Cognitive Load Theory, Constructivism, Connectivism), แนวคิด Systems Thinking, Transdisciplinary Learning, และเทคโนโลยีการศึกษาล้ำสมัย (Emerging Educational Technologies)
* วิเคราะห์และระบุ จุดเชื่อมโยงเชิงลึกระหว่างเนื้อหาชีววิทยา (โครงสร้างพืช) กับศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (เช่น กลไกการลำเลียงกับหลักฟิสิกส์, การสังเคราะห์แสงกับเคมี, การปรับตัวกับนิเวศวิทยาและเทคโนโลยีการเกษตร)
2.2 คิดค้น ออกแบบ และสร้างสรรค์ "ระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล-กายภาพ (Phygital Learning Ecosystem)" ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบที่ คิดค้นขึ้นใหม่และทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เช่น:
* แพลตฟอร์มการเรียนรู้อัจฉริยะ (Intelligent Learning Platform): ที่รวมแหล่งข้อมูลดิจิทัล, แบบจำลองเสมือนจริง (VR/AR Simulation) ของโครงสร้างและการทำงานของพืช, และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Data Visualization Tools)
* ชุดปฏิบัติการทดลองเชิงสืบสวนสอบสวน (Investigative Lab Kits): ที่ออกแบบให้นักเรียนตั้งคำถาม ทดสอบสมมติฐาน และเก็บข้อมูลจริงเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อในแพลตฟอร์มดิจิทัล
* กรอบกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการข้ามศาสตร์ (Transdisciplinary Activity Framework): ที่เน้นโจทย์ปัญหาปลายเปิด (Open-ended Problems) ซึ่งต้องการความรู้จากหลายสาขาวิชาในการแก้ปัญหา
* กลไกการประเมินสมรรถนะขั้นสูงแบบฝังตัว (Embedded High-Order Competency Assessment): ที่ประเมินการคิดเชิงระบบ การแก้ปัญหาซับซ้อน และการสร้างแบบจำลองทางความคิด ผ่านการสังเกตการณ์ในระบบ การวิเคราะห์ผลงาน และการสะท้อนคิด
2.3 ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) และความน่าเชื่อถือ (Reliability) ของระบบนิเวศการเรียนรู้และเครื่องมือประเมิน โดยผู้ทรงคุณวุฒิสหสาขาวิชา (เช่น นักชีววิทยา นักการศึกษา นักเทคโนโลยีการศึกษา นักวัดผล) และ ทดลองใช้ (Pilot Testing) ในกลุ่มย่อยเพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึกสำหรับการ ปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้สมบูรณ์
2.4 นำ "ระบบนิเวศการเรียนรู้ฯ" ที่ผ่านการตรวจสอบและปรับปรุงแล้ว ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย (ชั้น ม.5 จำนวน 200 คน) โดยครูทำหน้าที่เป็น ผู้อำนวยความสะดวกและกระตุ้นการเรียนรู้เชิงลึก (Facilitator & Deep Learning Coach)
2.5 ประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้เชิงลึก โดยใช้ข้อมูลที่หลากหลาย (Triangulation) ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อ วิเคราะห์ประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนรู้ที่คิดค้นขึ้น และผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของผู้เรียน
2.6 สังเคราะห์องค์ความรู้ หรือสร้างทฤษฎีฐานปฏิบัติ (Practice-Based Theory) ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนา และ เผยแพร่ในวงวิชาการ/วิชาชีพ (เช่น การนำเสนอในที่ประชุมวิชาการระดับชาติ/นานาชาติ, การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ)
3. ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
ผู้เรียนที่เรียนรู้ผ่าน "ระบบนิเวศการเรียนรู้ฯ" มีคะแนนเฉลี่ยด้านความเข้าใจเชิงลึก การคิดเชิงระบบ และการแก้ปัญหาซับซ้อน สูงกว่า กลุ่มควบคุมหรือค่ามาตรฐานเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับสูง (p < .01)
ผู้เรียน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 สามารถสร้างแบบจำลองทางความคิดเกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของพืชที่ถูกต้องและซับซ้อนขึ้น ตามเกณฑ์การประเมิน Rubrics ที่พัฒนาขึ้น
เกิดองค์ความรู้/รูปแบบการสอนใหม่ ที่ได้รับการยอมรับและมีการนำไปอ้างอิง/ทดลองใช้โดยเพื่อนครูหรือนักการศึกษาอื่นๆ (วัดจากการอ้างอิง, การเข้าร่วมอบรม/แลกเปลี่ยนเรียนรู้) 3.2 เชิงคุณภาพ
ผู้เรียน เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการเรียนรู้ชีววิทยา จากการท่องจำหรือเข้าใจผิวเผิน ไปสู่การ มองเห็นความเชื่อมโยงเชิงระบบ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมิน สถานการณ์หรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างและการทำงานของพืชในบริบทที่หลากหลายและซับซ้อนได้
ผู้เรียน สามารถบูรณาการความรู้ข้ามศาสตร์ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ หรือเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพืชได้อย่างสร้างสรรค์และมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับ
"ระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล-กายภาพ" ที่คิดค้นขึ้น ได้รับการยอมรับว่าเป็น นวัตกรรมที่มีศักยภาพในการปรับเปลี่ยน (Transformative Potential) การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษา และ สามารถเป็นต้นแบบที่ปรับเปลี่ยนได้ (Adaptable Model) สำหรับการพัฒนาในเนื้อหาหรือสาขาวิชาอื่นๆ
เกิดการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกี่ยวกับองค์ความรู้หรือรูปแบบการสอนที่ คิดค้นขึ้น ในวงวิชาชีพ/วิชาการ ก่อให้เกิด การพัฒนาและปรับเปลี่ยน ในวงกว้าง