เรื่องที่ 1 พัฒนาการทางการปฏิรูปทางการเมืองเพื่อการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พัฒนาการทางความคิดและเหตุการณ์สำคัญ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ความคิดและความเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากการติดต่อกับกลุ่มประเทศทางตะวันตก โดยในกลุ่มประเทศทางยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้มีการปฏิรูปการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2319 (ค.ศ. 1776) และเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789)ประเทศไทยเริ่มติดต่อทางการค้ากับประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2367 ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นก็มีกลุ่มมิชชันนารีจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนา คนไทยจึงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษ ศึกษาวิทยาการต่างๆ โดยเฉพาะพระภิกษุ เจ้าฟ้ามงกุฎ กลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ และกลุ่มข้าราชการก็ศึกษาวิชาการต่างๆ ด้วย ดังนั้น สังคมไทยบางกลุ่มจึงได้มีค่านิยมโลกทัศน์ตามวิทยาการตะวันตกในหลายๆด้าน รวมทั้งแนวความคิดในเรื่อง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
กราบบังคมทูลมีสาระสำคัญของคำกราบบังคมทูล 3 ข้อ คือ
1. ภัยอันตรายจะมาถึงบ้านเมือง เนื่องจากการปกครองในขณะนั้น คือ ภัยอันตรายที่จะมีมาจากประเทศที่มีอำนาจมากกว่าประเทศไทย ถ้ามหาอำนาจในยุโรปประสงค์จะได้เมืองใดเป็นอาณานิคม ก็จะต้องอ้างเหตุผลว่าเป็นภารกิจของชาวผิวขาวที่มีมนุษยชาติ ต้องการให้มนุษย์มีความสุขความเจริญ ได้รับความยุติธรรมเสมอกัน ประเทศที่มีการปกครองแบบเก่านอกจากจะกีดขวางความเจริญของประเทศในเอเชียแล้ว ยังกีดขวางความเจริญของประเทศที่เจริญรุ่งเรืองแล้วด้วย แล้วสรุปว่า รัฐบาลที่มีการปกครองแบบเก่าจัดการบ้านเมืองไม่เรียบร้อยเกิดอันตรายทำให้อันตรายนั้นมาถึงชาวยุโรป นับว่าเป็นช่องทางที่ชาวยุโรปจะเข้าจัดการให้หมดอันตราย และอีกประการหนึ่ง ถ้าปิดประเทศไม่ให้ค้าขายก็จะเข้ามาเปิดประเทศค้าขายให้เกิดประโยชน์ ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ประเทศในยุโรป จะยึดเอาเป็นอาณานิคม
2. การที่จะรักษาบ้านเมืองให้พ้นอันตราย ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลง การบำรุงรักษาบ้านเมืองแนวเดียวกับที่ญี่ปุ่นได้ทำตามแนวการปกครองของประเทศยุโรป และการป้องกันอันตรายที่จะบังเกิดขึ้นอยู่หลายทาง แต่คิดว่าใช้ไม่ได้คือ
1) การใช้ความอ่อนหวานเพื่อให้มหาอำนาจสงสาร ประเทศญี่ปุ่นได้ใช้ ความอ่อนหวานมานานแล้ว จนเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์ จึงได้จัดการเปลี่ยนการบริหารประเทศให้ยุโรปนับถือ จึงเห็นว่าการใช้ความอ่อนหวานนั้นใช้ไม่ได้
2) การต่อสู้ด้วยกำลังทหารซึ่งก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง กำลังทหารของไทยมีไม่เพียงพอ ทั้งยังต้องอาศัยซื้ออาวุธจากต่างประเทศ หากได้รบกันจริงๆ กับประเทศในยุโรป ประเทศในยุโรปที่เป็นมิตร ประเทศของคู่สงคราม กับประเทศไทยก็จะไม่ขายอาวุธใหประเทศไทยเป็นแน่
3) การอาศัยประโยชน์ที่ประเทศไทยมีเขตแดนติดต่อกับประเทศที่เป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศส ประเทศอังกฤษ และประเทศฝรั่งเศสอาจทำให้ประเทศไทยเป็นรัฐกันชน (Buffer State) และก็คงให้มีอาณาเขตแดนเพียงเป็นกำแพงกั้นระหว่างอาณานิคม ประเทศไทยก็จะเดือดร้อนเพราะเหตุนี้
4) การจัดการบ้านเมืองเพียงเฉพาะเรื่อง ไม่ได้จัดให้เรียบร้อยตั้งแต่ฐานรากไม่ใช่การแก้ปัญหา
5) สัญญาทางพระราชไมตรีที่ทำไว้กับต่างประเทศ ไม่มีหลักประกันว่าจะคุ้มครองประเทศไทยได้ ตัวอย่างที่สหรัฐอเมริกสัญญาจะช่วยประเทศจีนครั้นมีปัญหาเข้าจริงสหรัฐอเมริกาก็มิได้ช่วย และถ้าประเทศไทยไม่ทำสัญญาให้ผลประโยชน์แก่ต่างประเทศ ประเทศนั้นๆ ก็จะเข้ามากดขี่ให้ประเทศไทยทำสัญญาอยู่นั่นเอง
6) การค้าขายและผลประโยชน์ของชาวยุโรปที่มีอยู่ในประเทศไทย ไม่อาจช่วยคุ้มครองประเทศไทยได้ ถ้าจะมีชาติที่หวังผลประโยชน์มากขี้นมาเบียดเบียน
7) คำกล่าวที่ว่า ประเทศไทยรักษาเอกราชมาได้ก็คงจะรักษาได้อย่างเดิมคำกล่าวอย่างนั้นใช้ไม่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งเป็นเวลาที่ประเทศในยุโรปกำลังแสวงหาเมืองขึ้น และประเทศที่ไม่มีความเจริญก็ตกเป็นอาณานิคมไปหมดแล้ว ถ้าประเทศไทยไม่แก้ไขก็อาจจะเป็นไปเหมือนกับประเทศที่กล่าวมา
8) กฎหมายระหว่างประเทศจะคุ้มครองประเทศที่เจริญและมีขนบธรรมเนียมคล้ายคลึงกับประเทศญี่ปุ่นได้แก้ไขกฎหมายให้คล้ายกับยุโรปก็จะได้รับความคุ้มครอง ประเทศไทยก็ต้องปรับปรุงการจัดบ้านเมืองให้เป็นที่ยอมรับเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น มิฉะนั้นกฎหมายระหว่างประเทศก็ไม่ช่วยประเทศไทยให้พ้นอันตราย