วัดโขลงสุวรรณคีรี วิถีไทยวน
วัดโขลงสุวรรณคีรี วิถีไทยวน
“วัดโขลงสุวรรณคีรี” เคยเป็นดินแดนสมัยทวาราวดี เมืองที่มากด้วยทรัพย์สินอยู่ในซากเมือง คูบัว กลายเป็นเมืองร้างในขอบเขตดินแดนอาถรรพ์ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 เมื่อ พ.ศ. 2498 หลวงพ่อธรรม สิริจนฺโท ได้ไปสร้างที่พักสงฆ์ มูลดินลักษณะคล้ายภูเขา
สภาพภูมิศาสตร์ : ตัวเมืองโบราณคูบัวมีลักษณะเป็นเนินดินธรรมชาติ ตั้งอยู่สูงจากพื้นที่โดยรอบ ประมาณ 1-2 เมตร และอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 5 เมตร มีคูน้ำและกันดินล้อมรอบ 1 และ 2 ชั้น ตามลำดับ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลาดสูงขึ้นไปจนต่อเนื่องกับเนินเขาทางด้านทิศตะวันตก ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นที่ราบลาดลงสู่ทะเล
แหล่งนำ : ห้วยคูบัว มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาทางด้านทิศตะวันตกอันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรีไหลเข้าสู่เขตเมืองดูบัวทางด้านทิศเหนือแล้วออกไปทางด้านทิศตะวันออกเฉืองเหนือ ผ่านบ้านต้นพลับไปออกแม่น้ำอ้อมตรงบ้านท่าสนุ่นในปัจจุบัน
ห้วยชินสีห์ มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันตกเช่นเดียวกับลำห้วยคูบัว ไหลเข้าสู่ตัวเมืองทางด้านทิศตะวันตกทางตอนใต้ เมื่อเข้ามาในตัวเมืองแล้วได้ไหลแยกออกเป็นสองทาง คือ สายหนึ่งไหลตรงไปทางด้านทิศตะวันออกผ่านบ้านตอนแล้วไหลไปลงแม่น้ำอ้อม สายที่สองไหลอ้อมขึ้นไปทางเหนือแล้ววกไปทางด้านตะวันออกรวมกับสายแรก แล้วจึงไหลไปลงแม่น้ำอ้อมบริเวณวัดใหม่เจริญธรรม ลำห้วยตอนที่ไหลออกจากคูเมืองนี้ชาวบ้านเรือกว่า "ลองเวียงทุน" แม่น้ำอ้อม ไหลผ่านเขตตำบลเกาะศาลพระแม่น้ำอ้อมนี้สันนิษฐานว่าเป็นทางน้ำสายเก่าของแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งภายหลังเปลี่ยนแปลงทิศทางเดินทำให้เกิดการตื้นเขิน แม่น้ำอ้อมอยู่ห่างจากเมืองดูบัวไปทางด้านทิศตะวันอกเฉียงเหนือประมาณ 2.7 กม. และห่างจากแม่น้ำแม่กลองประมาณ 9.1 กม.
(ปัจจุบันคือโบราณสถานสมัยทวาราวดี หมายเลข 18) สภาพเดิมมีต้นไม้ขึ้นปกคลุม รกทึบ มีพระพุทธรูปหินแดง 3 องค์ ประดิษฐานอยู่บน แท่นปูน มีเสาไม้แก่นเก่า ๆ ไม่มีหลังคา ชาวบ้านเรียกสถานนี้ว่า “วัดโขลง” มาแต่เดิมต่อมาในปี พ.ศ. 2497 มีพระสงฆ์รูปหนึ่งคือหลวงพ่อธรรมหรือพระครูสิรีธรรมาภิรักษ์ ได้เข้ามาสร้างที่พักเพื่อปฏิบัติกรรมฐานแล้วเห็นบริเวณนี้คล้ายเนินดินสูง ๆ ปกคลุมด้วยพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด จนกระทั่งเข้ามาในปี พ.ศ. 2504 ทางกรมศิลปากรได้ทำการบูรณะเมืองเก่าคูบัวให้เป็นสถานที่ศึกษาข้อมูลร่องรอยความเป็นมาของเรื่องราวเมืองโบราณแล้วก็ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
ประวัติ : โบราณสถานหมายเลข 18 (วัดโขลงสุวรรณคีรี) เป็นโบราณสถานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมืองคูบัว กรมศิลปากร ดำเนินการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2500 พบว่า เป็นเนินดินขนาดใหญ่มีความยาว 65:80 เมตร กว้างประมาณ 20-23 เมตร และสูง 7-8 เมตร พื้นที่กลางเนินโบราณสถานมีพระสงฆ์ขึ้นไป สร้างกุฏิครึ่งปูนครึ่งไม้ชั้นเดียวอยู่ โดยมีการก่อสร้างบันไดก่ออิฐถือปูนเป็นทางขึ้นทางด้านทิศเหนือและโดยรอบเนินโบราณสถานก็มีกุฏิสงฆ์ปลูกสร้างอยู่อีกหลายหลัง พื้นที่บนเนินและโดยรอบนั้นมีเศษอิฐและเศษปูนปั้นหักตกกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป กรมศิลปากร ได้มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรี สมศักดิ์ รัตนกุล ภัณฑารักษ์ตรี แผนกพิพิธภัณฑ์และโบราณสถานหัวเมือง กองโบราณคดี เป็นหัวหน้าโครงการฯ ดำเนินการชุดแต่งโบราณสถานเมืองดูบัว และได้ทำการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข 18 (วัดโขลงสุวรรณคีรี) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 ถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 ผลของการขุดแต่งพบโบราณวัตถุหลายชนิด ได้แก่
1. เศียรเทวดาปูนปั้น
2. เชิงเทียนสัมฤทธิ์
3. ประติมากรรมปูนปั้นประดับอาคารรูปคนเเคระ
4. เศษชิ้นส่วนของลวดลายปูนปั้นประดับอาคาร
5. แม่พิมพ์พระพุทธรูปปางสมาธิ ทำจากหินชนวนสีดำ ขนาดความยาว 13 เซนติเมตรมีอักษรจารึกอยู่ด้านหลัง
6. คณโฑแก้วหรือขวดน้ำหอม จำนวน 1 ใบ สูง 5 เซนติเมตร
7. เต้าปูนสัมฤทธิ์ จำนวน 2 ชิ้น ความสูง 11.50 เซนดิมคร และ 12.00 เซนติเมตร
โบราณวัตถุที่พบส่วนใหญ่สามารถกำหนดอายุได้ว่าอยู่ในสมัยทวารวดี (พุทธศดวรรรที่ 11-16) หลังจากนั้นมิได้มีการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับโบราณสถานหมายเลข 18 อีกจนกระทั่งปี พ.ศ.2537-2538 กรมศิลปากร ได้ทำการขุดแต่งศึกษารูปแบบบสถาปัตยกรรมอีกครั้งหนึ่งและดำเนินการบูรณะตามแบบที่ได้ทำการศึกษาไว้
หลักฐานทางด้านโบราณคดี :
โบราณสถานหมายเลข 18 ลักษณะของโบราณสถานหมายเลข 18 (วัดโขลงสุวรรรรณคีรี) เหลือเฉพาะส่วนฐานมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลียมผืนผ้า ขนาดความกว้างตามแนวเหนือ-ใต้ 22.20 เมตร ความยาว
ตามแนวตะวันออก-ตะวันตก 43.50 เมตร และละความสูง 5.5 เมตร โบราณสถานหันหน้าไปทางทิศศตะวันออกมีบันไดทางขึ้นไปสู่ลานประทักษิณด้านบนยื่นยาวออกมาจากฐาน 23.4 เมตร ฐานโบราณสถานชั้นล่างสุดเป็นฐานสี่เหลี่ยมก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน สูงประมาณ 1.45 เมตร ผนังตามยาวของฐานโบราณสถานทางด้านเหนือและใต้จะมีมุขขนาดเล็กยื่นออกมาจำนวน 3 มุข โดยมุขที่อยู่ตรงกึ่งกลางด้านมีขนาดความกว้าง 10.55 เมตร ส่วนด้านข้างอีก 2 มีขนาดความกว้าง 6.60 เมตร ฐานโบราณสถานด้านหลังทางด้านทิศตะวันตกมีมุขอื่นออกตรงกลางกึ่งกลางด้าน ขนาดกวามกว้าง 8.80 เมตรเหนือฐานศิลาแลงขึ้นไปเป็นฐานชั้นที่สองก่อด้วยอิฐเป็นฐานบัวโค้ง ถัดขึ้นไปเป็นอิฐก่อเป็นช่องรูปสี่เหลี่ยมขนาดเล็กประดับปูนปั้นรูปบัวฟันยักษ์ขึ้นไปจำนวน 3 ชั้น (สมศักดิ์ รัตนกุล, 2535 : 51) เหนือขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานรองรับชั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ถัดขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานรองรับผนังซึ่งมีเสาประดับผนังรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่แบ่งผนังออกเป็นช่อง ๆ ระหว่างช่องเสาประดับผนังปัจจุบันมีร่องรอยของกรอบซุ้มจระนำขนาดเล็ก หลักฐานจากการขุดแต่งครั้งแรกว่าที่ร้อยตรีสมศักดิ์ รัตนกุล ได้รายงานไว้ว่าลักษณะของซุ้มจระนำที่พบนั้นเป็นจระนำซุ้มยอดแหลม ซึ่งพบหลักฐานที่มีสภาพสมบูรณ์เพียงซุ้มเดียว และเป็นข้อมูลที่สำคัญที่ทำให้ทราบได้ว่า ผนังของฐานโบราณสถานโดยรอบนั้นคงจะมีซุ้มจระนำยอดแหลมตั้งสลับกับเสาประดับผนังโดยตลอด ส่วนบนของฐานโบราณสถานเป็นลานประทักษิณขนาดใหญ่ ทางด้านตะวันตกมีฐานก่ออิฐยกพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดความกว้าง 7.5 เมตร ความยาว 12.5 เมตร และความสูง 1.5 เมตร ฐานโบราณสถานรูปทรงสี่เหลี่ยม ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโบราณหมายเลข 18 (วัดโขลงสุวรรณคีรี) พบโบราณสถานขนาดเล็กมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อด้วยอิฐขนาดความยาวข้าวด้านละ 12.80 เมตร และความสูง 1.20 เมตร ฐานโบราณสถานนี้ตั้งอยู่ห่างจากโบราณสถานหมายเลข 18 ระยะทางประมาณ 9 เมตร ลักษณะของฐานโบราณสถานเป็นฐานสี่เหลี่ยมก่ออิฐเรียงซ้อนต่อกัน 3 ชั้น ต่อจากนั้นจึงก่อเป็นรูปซุ้มสี่เหลี่ยมจัตรัสขนาดเล็กเป็นช่องๆ โดยรอบด้านละ 16 ซุ้ม มีร่องรอยของการฉาบปูน ข้อสังเกต คือ ระดับพื้นของฐานโบราณสถานขนาดเล็กนี้จะอยู่สูงกว่าระดับพื้นของโบราณสถานหมายเลข 18 และส่วนของฐานชั้นล่างสุดไม่มีการก่อด้วยศิลาแลงก่อน จึงทำให้สันนิษฐานได้ว่าโบราณสถาถานนี้อาจจะสร้างขึ้นในระยะหลัง