ประวัติความเป็นมา
วัดมหาธาตุวรวิหาร ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี เดิมเรียกว่า “วัดหน้าพระธาตุ” บ้าง “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ” บ้าง ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมืองราชบุรีเก่า หรือเมืองชยราชปุรี ตามที่ปรากฏในศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1725-1760) มหาราชองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรเขมรโบราณ ร่วมกับอีก 5 เมือง คือ ลโวทยปุระ (เมืองลพบุรี) สุวรรณปุระ (เมืองสุพรรณบุรี) ศัมพูกปัฏฏนะ (เมืองโกสินารายณ์ อ.บ้านโป่ง) ศรีวิชัยสิงหปุรี (เมืองสิงห์ กาญจนบุรี) และ ศรีชัยวัชระปุรี (เมืองเพชรบุรี) ส่วนวัดมหาธาตุนี้ สันนิษฐานว่าสร้างแต่สมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 ไล่เลี่ยกับการสร้างเมืองราชบุรีเก่า ต่อมามีการสร้างศาสนสถานที่เรียกว่า ปราสาทในศิลปะเขมรหรือลพบุรีซ้อนทับ ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมืองตามความเชื่อเรื่องคติจักรวาลของเขมร ต่อมาปราสาทที่สร้างขึ้นคงหักพังลง จึงมีการสร้างปรางค์ใหม่ต้นสมัยอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 ดังปรากฏรูปแบบสถาปัตยกรรมปัจจุบันซ้อนทับ
ปรางค์ ประกอบด้วย ปรางค์ประธาน และปรางค์บริวารทิศใต้ - ตะวันตก - เหนือ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ปรางค์ประธานมีมุขยื่นออกมาทางตะวันออก มีบันไดขึ้น ฐานเรือนธาตุและส่วนยอดประดับด้วยลายปูนปั้น ภายในองค์ปรางค์ประธานมีคูหาเชื่อมถึงกัน ผนังส่วนบนเขียนภาพอดีตพระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้วเป็นแถวเรียงต่อกันเป็นแถวเรียงต่อกัน ตอนล่างเป็นพุทธประวัติ สันนิษฐานว่าเขียนพร้อมกับสร้างองค์ปรางค์และซ่อมแซมพร้อมกับองค์ปรางค์ ในกาลต่อมาราวพุทธสตวรรษที่ 22 ล้อมด้วยระเบียงคตชั้นใน 1 ชั้น ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยาบ้าง ก่อนอยุธยาบ้าง สมัยปัจจุบันบ้าง นอกระเบียงคตทิศตะวันออกเป็นวิหารหลวง ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยาตอนต้น ซึ่งได้รับการบูรณะใหม่ เรียกว่า “พระมงคลบุรี” ชั้นนอกมีกำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง ทับหลังสลักเป็นพระพุทธรูป ปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้วด้วยหินทรายสีชมพู ศิลปะเขมรแบบบายน ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ขนาดความสูงของปรางค์ประธาน วัดจากพื้นดินถึงยอดนพศูล สูง 17 วา 1 ศอก 8 นิ้ว
ระเบียงคต เป็นอาคารเก็บพระพุทธรูป โดยที่วัดมหาธาตุ เป็นอารามสำคัญประจำเมืองเมื่อเมืองราชบุรีย้ายข้ามฝั่งไป วัดต่าง ๆ จึงร้างโดยมากและร้างตลอดไปเว้นวัดมหาธาตุวรวิหาร จะมีผู้บูรณะขึ้นใหม่ ในขณะเดียวกันก็รวบรวมพระพุทธรูปจากวัดร้างต่าง ๆ มาเก็บไว้ ณ วัดมหาธาตุ พระพุทธรูปในระเบียงคตจึงหลากหลายศิลปะ มีทั้งศิลปะทวารวดี เขมร อยุธยา และรัตนโกสินทร์ พระวิหารหลวง อยู่ด้านหน้าพระปรางค์ ภายนอกระเบียงคต เป็นซากอาคารในแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาว 9 ห้อง ฐานล่างสุดก่อด้วยศิลาแลง ด้านหน้ามุขยื่น บนพระวิหารเคยมีเจดีย์ขนาดเล็กตั้งอยู่แต่หักพังหมดแล้ว บนฐานพระวิหารมีอาคารไม้โล่งสร้างเมื่อ พ.ศ. 2455 ภายในอาคารพระวิหารมีพระพุทธรูปปูนปั้นแกนหินทรายขนาดใหญ่ ปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่สององค์ เรียก พระมงคลบุรี พระศรีนัคร์ประทับนั่งหันพระปฤษฎางค์ชนกัน เป็นพุทธศิลปะแบบอยุธยาตอนต้นก็เรียก อู่ทองยุคหลังก็เรียก อู่ทองหน้าหนุ่มก็เรียก หันหลังให้กัน นอกจากเป็นที่สักการะประจำเมืองแล้วยังขออาราธนา ให้ช่วยระวังหน้า ระวังหลัง ตามความเชื่อของคนในสมัยนั้น ด้านข้างทั้งสอง และด้านหน้าพระวิหาร ที่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีวิหารขนาดเล็กภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายแดงปางมารวิชัย ประทับนั่งหันพระปฤษฎางค์ชนกัน คล้ายกับที่ในพระวิหารหลวง