ชนเผ่าปกาเกอะญอ ดินแดนแห่งตะนาวศรี
ชนเผ่าปกาเกอะญอ ดินแดนแห่งตะนาวศรี
ประวัติความเป็นมา
หมู่บ้านหัวยน้ำหนักหรือที่คนทั่วไปเรียกว่าบ้านห้วยน้ำหนัก ตั้งอยู่ที่ตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี มีประชากรประมาณ 2,700 คน มีผู้ถือสัญชาติกะเหรี่ยงประมาณ 1,000 คน ที่เหลืออีกประมาณ 1,700 คน ถือสัญชาติไทย แต่ผู้ที่ถือสัญชาติไทยเหล่านี้ส่วนใหญ่สืบทอดมาจากบรรพชนชาวกะเหรี่ยงนั่นเองแต่เกิดในแผ่นดินไทยจึงได้สัญชาติไทย สภาพสมาชิกในครัวเรือนส่วนใหญ่ยังขาดมาตรฐานในคุณภาพชีวิต หมู่บ้านนี้ไม่มีสถานศึกษานอกจากศูนย์พัฒนาเด็กบ้านห้วยน้ำหนัก ครัวเรือนส่วนใหญ่เพาะปลูกพืชไร่โดยสามีเป็นผู้ประกอบอาชีพดังกล่าว ส่วนภรรยาอยู่กับบ้านทำหน้าที่เลี้ยงดูบุตร อย่างไรก็ตามประเพณีในครอบครัวยังคงให้ความสำคัญแก่สตรี หรืออาจกล่าวได้ว่าชาวกะเหรี่ยงให้ค่านิยมด้านภรรยาเป็นใหญ่ในครอบครัว
หมู่บ้านนี้ไม่มีร้านค้าและร้านอาหาร มีเพียงร้านขายของชำเล็ก ๆ ของผู้ใหญ่บ้านและร้านเล็ก ๆ ที่ขายผ้าพื้นเมือง การเปลี่ยนแปลงที่พอจะพบเห็นอยู่บ้างในหมู่บ้านนี้คือ ในชีวิตประจำวันผู้คนชาวกะเหรี่ยงจะสวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกับชนบทไทยทั่วไป ไม่ได้สวมชุดกะเหรี่ยงเหมือนกับชุมชนกะเหรี่ยงบางแห่งของไทย แต่สิ่งที่ยังคงไว้ซึ่งค่านิยมของชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านแห่งนี้มีหลายประการ เช่น ชาวบ้านเกือบทุกครัวเรือนพูดภาษากะเหรี่ยง หลายครัวเรือนพูดภาษาไทยไม่ได้เพราะขาดการศึกษา
กล่าวได้ว่าประเทศไทยชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มใหญ่ๆมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงโปว์หรือกะเหรี่ยงโผล่ง กะเหรี่ยงสะกอร์หรือกะเหรี่ยงปกากะญอ ซึ่งทั้งห้องต่างเป็นกะเหรี่ยงเหมือนกัน มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีความเชื่อแบบเดียวกัน คือ นับถือศาสนาพุทธกับนับถือผี มีบางส่วนที่นับถือศาสนาคริสต์ควบคู่ไปกับการนับถือผี จากการสัมภาษณ์นายทวีวัฒน์ แย้มพรม ชาวบ้านห้วยน้ำหนักกล่าวว่าชาวไทยกะเหรี่ยงในหมู่บ้านห้วยน้ำหนักส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงสะกอร์ ความแตกต่างระหว่างกะเหรี่ยงโปว์กับกะเหรี่ยงสะกอร์ในหมู่บ้านห้วยน้ำหนัก คือ กะเหรี่ยงโปว์เป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิมในพื้นที่นี้แต่เดิมอยู่ในที่ราบในอำเภอสวนผึ้ง ส่วนกะเหรี่ยงสะกอร์เป็นกะเหรี่ยงที่อยู่ตามภูเขา อพยพมาจากพม่า อนึ่งที่หมู่บ้านห้วยน้ำหนักนี้มีกะเหรี่ยงสะกอร์มากกว่ากะเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงสะกอร์ได้รับอิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่พวกสอนศาสนาได้เผยแพร่ตั้งแต่อยู่ในพม่า ส่วนกะเหรี่ยงโปว์นั้นนับถือศาสนาพุทธมากกว่า เมื่อแรกได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณเทือกเขาตะนาวศรี นักวิชาการสันนิษฐานว่าชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ที่เข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ น่าจะอพยพมาจากเมืองทวายในประเทศพม่า ชาวกะเหรี่ยงได้เล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อประมาณ 200 ปีจึงเป็นช่วงเวลาต้นสมัยรัตนโกสินทร์ พวกกะเหรี่ยงถูกพม่ารุกรานจึงอพยพข้ามเทือกเขาตะนาวศรีเข้ามาประเทศไทยทางอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรีแล้วแยกย้ายไปตั้งอยู่เขตจังหวัดราชบุรีที่บ้านเก่ากะเหรี่ยง (ปัจจุบันคือบ้านหนองนกกะเรียน อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี) แล้วโยกย้ายมาทางตะวันตกจนถึงลำน้ำภาชีในเขตอำเภอสวนผึ้ง และอำเภอบ้านคา อีกกลุ่มหนึ่งไปทางใต้ถึงต้นแม่น้ำเพชรบุรี ในอดีตชาวกะเหรี่ยงสวนผึ้งมีหน้าที่คอยดูแลเขตแดนไทยด้านตะวันตกของเมืองราชบุรีมีผู้นำเป็นนายกองด่านที่สวนผึ้ง คือ หลวงพิทักษ์คีรีมาตย์และหลวงวิเศษคีรีรักษ์ และปรากฏว่าในตอนปลายรัชกาลที่ 8 สภาพพื้นที่ชายแดนจังหวัดราชบุรีอันเป็นที่อยู่
อาศัยของชาวกะเหรี่ยงนี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่ามีสัตว์ป่าชุกชุม เช่น ช้าง กระทิง หมูป่าเก้ง กวาง เนื่องจากโดยสภาพพื้นที่อันเป็นถิ่นฐานของชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้เป็นป่าเขาด้านตะวันตกของสยาม คนกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายขอบ ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้ที่นำสินค้าอันเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของสยามนับแต่สมัยอยุธยามาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น บทบาทของชาวกะเหรี่ยงนับแต่เมืองอุ้มผาง ศรีสวัสดิ์อุทัยธานี สังขละบุรี ราชบุรี(หรือกะเหรี่ยงจากสวนผึ้ง) พวกเขาเป็นผู้นำสินค้าผลิตภัณฑ์จากป่าออกมา และรัฐบาลไทยได้ส่งสินค้าเหล่านี้ลงเรือสำเภาไปยังกรุงปักกิ่ง สินค้าที่บรรทุกไปนั้นมี ข้างไม้กฤษณา ไม้มะเกลือ นอแรด งาช้าง เร่ว นอกจากนี้ชาวกะเหรี่ยงยังส่งสินค้างาช้างส่งเข้ามายังราชสำนักไทย จึงอาจกล่าวได้ว่า "กะเหรี่ยงคือผู้ผลิตหรือควบคุมสินค้าของป่าเกือบทั้งหมด" วุฒิ บุญเลิศ ปราชญ์ชาวบ้านแห่งอำเภอสวนผึ้งซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกะเหวี่ยงโปว์หรือกะเหรี่ยงโผล่ว์กล่าวว่า ชาวกะเหรี่ยงได้มีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์สยาม มีหน้าที่ลาดตระเวนสืบข่าวและเข้าร่วมเป็นกองกำลังในกองทัพอยุธยา ในต้นรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กะเหรี่ยงสวนผึ้งทำหน้าที่ให้เป็นกองกำลังรักษาชายแดนไทย ดูแลด่านชายแดนด้านตะวันตกของเมืองราชบุรี ต่อมาเมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่า กะเหรี่ยง สวนผึ้งได้ทำหน้าที่ในการชี้แนวเขตแดนไทย - พม่า ระหว่างสยามกับอังกฤษ การปฏิรูประบบราชการในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทำให้กะเหรี่ยงสวนผึ้งถูกดึงเข้ามาใกล้ชิดกับอำนาจรัฐ (วุฒิ บุญเลิศ, 2546) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเยี่ยมชาวกะเหรี่ยงโปว์ที่เมืองสวนผึ้งในปี พ.ศ. 2436 และในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2438 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาที่ถ้ำจอมพล ที่ตำบลจอมบึง จังหวัดราชบุรี ในครั้งนั้นได้มีพรานชาวกะเหรี่ยงจากสวนผึ้งเข้ารับเสด็จ
และพรานกะเหรี่ยงได้ถวายของป่าแด่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ด้วย (วุฒิ บุญเลิศ, 2546) ในสมัยนั้นชาวกะเหรี่ยงต้องนำบรรณาการมาถวายพระเจ้าแผ่นดิน ดังปรากฏจากคำอธิบายของวุฒิ บุญเลิศว่า ชาวกะเหรี่ยงที่เมืองกาญจนบุรีต้องถือน้ำพิพัฒน์สัตย์ 3 ปีต่อครั้งและต้องนำเครื่องราชบรรณาการ ประกอบด้วย ต้นไม้เงิน 2 ต้น มีผ้าขาว ผ้าแดง ที่กะเหรี่ยงทำเอง 20 ผืน เครื่องยาสมุนไพรและของบำรุงรวมทั้ง แร่ทองคำ ดีบุก ที่เรียกว่า ส่วยทอง ส่วยดีบุกไปถวายพระเจ้าเผ่นดินที่กรุงเทพฯ โดยมีพระยาพลเทพปลัดทูลฉลอง กระทรวงกลาโหมเป็นผู้นำเข้าเฝ้า นอกจากนี้บรรดาผู้นำชาวกะเหรี่ยงก็มักจะนำงาช้าง น้ำผึ้งป่า และสิ่งมีค่าที่ได้จากป่าเป็นของกำนัลแก่บรรดาเจ้าเมือง ข้าหลวง ผู้ว่า นายอำเภอ ฯลฯ เป็นสิ่งที่หาได้และมีราคาในท้องถิ่น มอบแก่ขุนนางเหล่านั้น ขุนนางที่สำคัญท่านหนึ่ง คือ พระยาสุรพันธ์เสนี (อิ้น บุนนาค) เทศาภิบาล มณฑลราชบุรีได้รับคนในครอบครัวของผู้นำกะเหรี่ยงในท้องถิ่นมาอยู่ด้วย เพื่อให้ชาวกะเหรี่ยงเหล่านั้นได้เรียนรู้และเข้าใจวิถีของคนเมือง เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะได้มีความเป็นไทยและสำนึกของความเป็นพลเมืองไทย