ขุมทรัพย์ทางความรู้ ด้านมอญศึกษา
ขุมทรัพย์ทางความรู้ ด้านมอญศึกษา
มอญบ้านม่วง เชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกตนติดตามพระมหาเถระคันฉ่อง เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ริมน้ำแม่กลอง ตั้งแต่ครั้งกรุงศรี รัชสมัยพระนเรศวร และเพื่อรำลึกถึงบ้านเก่าที่จากมา จึงเรียกบ้านใหม่ด้วยชื่อเก่า
“บ้านม่วง” เช่นเดียวกับชื่อวัดที่สร้างใหม่ว่า “วัดม่วง” ภาษามอญว่า “เพลียเกริก” มอญบ้านม่วงใช้เวลา 30 กว่าปีในการบุกเบิกที่ทางทำมาหากิน ก่อร่างสร้างชุมชนและวัดวาอาราม คัมภีร์ใบลานเก่าที่สุดของวัดม่วงจารึกเมื่อศักราช 1000 ตรงกับ พ.ศ. 2181 ชุมชนมอญบ้านม่วงจึงมีอายุเก่าแก่ถึง 379 ปี เลือดมอญยังล้นปรี่ ย้อนรอยชาติอารยชน ยังมีการอพยพเข้ามาสมทบอีกหลายระลอก และเวลาร่วม 400 ปี ช่างเนิ่นนานนักในการยืนหยัดเหนียวแน่นอยู่กับ “ความเป็นมอญ” และนั่นก็เป็นรากฐานอันดีในการก่อเกิด พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วงและศูนย์มอญศึกษา เพื่อที่จะพัฒนาชุมชนมอญแห่งนี้ให้เป็นคลังความรู้มอญ เพื่อย้อนรอยชาติอารยชน ผู้ซึ่งนานมาแล้วมีบทบาทสูงเด่นอยู่ในอาณาจักรเก่าแก่ นามว่า “ทวารวดี" ทวารวดี ที่มีศูนย์อำนาจอยู่ที่ภาคกลาง และแผ่อิทธิพลไปทั่วประเทศไทย ข้ามไปถึงกัมพูชาและลาว โดยมีวัฒนธรรมมอญโดดเด่นเป็นสง่า วัดม่วง องค์ บรรจุน ความเป็นมาของ “บ้านม่วง” ชุมชนมอญแห่งใหญ่ของอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี จากการบอกเล่าของชาวบ้าน เชื่อกันว่าบรรพชนรุ่นแรกอพยพจากพม่า ในสมัยสมเด็จพระนเรศวร (พ.ศ. 2133 - 2188) โดยติดตามพระมหาเถระคันฉ่อง ซึ่งเป็นพระสงฆ์มอญ เข้ามาตั้งถิ่นฐานยังริมแม่น้ำแม่กลอง
โดยใช้ชื่อ หมู่บ้านเหมือนบ้านเดิมในเมืองมอญว่า “บ้านม่วง” (กวานเกริก) และได้สร้างวัดประจำหมู่บ้านว่า “วัดม่วง” ต่อมาในทะเบียนวัดของกรมการศาสนา ได้ระบุว่า “วัดม่วง” ประกาศจัดตั้งเมื่อ พ.ศ. 2233 ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยา ในรัชสมัย ของสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. 2199 - 2231) แต่จากการค้นคว้าและอ่านคัมภีร์ใบลาน (อักษรมอญ) จำนวนมาก ที่มีในวัดม่วง พบว่าคัมภีร์ส่วนใหญ่ระบุจารึกที่วัดม่วง และระบุศักราชจารึกอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางจนถึงปัจจุบัน คัมภีร์ใบลานที่จารึกเก่าที่สุด คือ คัมภีร์ใบลาน หมายเลข 320 เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระปริต (12 ตำนาน) ในตอนท้ายจาร ไว้ว่า “ศักราช 1000 เดือน 6 แรม 5 ค่ำ วันศุกร์ จารึกเสร็จเมื่อตะวันบ่าย กระผมชื่อ อุตตมะจารึกไว้ในวัดม่วง” “ศักราช 1000” นั้นเป็นจุลศักราช เมื่อเทียบเป็นพุทธศักราช จะเท่ากับ (1000+1181) พ.ศ. 2181 ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2173 - 2189) และหลังรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรประมาณ 30 ปีเศษ จึงอาจจะเป็นได้ว่า ชาวมอญรุ่นแรกของบ้านม่วง อาจจะอพยพมาในราวสมัยสมเด็จพระนเรศวรจริง และใช้เวลาใน การตั้งชุมชน และสร้างวัด และจารึกคัมภีร์ใบลานที่เก่าที่สุดในเวลาอีก 30 ปีเศษต่อมา อย่างไรก็ตาม อายุของการจารึกคัมภีร์ใบลานผูกนี้ แสดงว่าในปี พ.ศ. 2131 สมัยอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้า ปราสาททอง ได้มีวัดม่วงแล้ว และวัดม่วงมีอายุไม่ต่ำกว่า 354 ปี มาแล้วอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า ชุมชนมอญบ้านม่วง เป็นชุมชนที่เก่าแก่ กว่า 354 ปีด้วย ชาวมอญในบ้านม่วงก็เช่นเดียวกับชุมชนมอญอื่น ๆ ในบริเวณฝั่งแม่น้ำแม่กลอง เช่น บ้านโป่ง โพธาราม ที่มีชาวมอญอพยพเข้ามาหลายครั้ง นับแต่สมัยอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทั้งอพยพมาจากเมืองมอญโดยตรง และอพยพมาจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ และจากหมู่บ้านอื่น ๆ ในบริเวณแม่น้ำ แม่กลอง การหนีภัยสงคราม ตามมาอยู่กับเครือญาติ และการแต่งงานระหว่างกัน“ชาวบ้านม่วง” ต่างเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ยังสามารถดำรงวัฒนธรรมเอกลักษณ์ของชาวมอญอยู่ได้อย่างเหนียวแน่น
วัดม่วง เป็นศูนย์รวมจิตใจ และการศึกษาของชาวบ้านม่วง ตลอดชีวิตของชาวมอญบ้านม่วงนั้นเกี่ยวข้องกับวัด ตั้งแต่เกิดกระทั่งตาย “พระ” โดยเฉพาะท่านเจ้าอาวาสจึงมีบทบาทเป็นผู้นำทางจิตใจ การศึกษาและการพัฒนาชุมชน ในสมัยก่อน พ่อแม่จะพาลูกไปทำบุญที่วัดเสมอ และเด็กชายทุกคนจะถูกส่งไปอยู่ประจำที่วัดเพื่อเล่าเรียนหนังสือมอญ โดยมีพระเป็นครูสอนการเขียน-อ่านภาษามอญ เด็กเหล่านั้นจะช่วยงานวัดด้วย เมื่อเรียนจบแล้วถึงวัย ก็จะบวชเรียนอีกอย่างน้อย 3 พรรษา ชาวบ้านม่วงจะเรียกคนที่เล่าเรียนหรือบวชเรียนมาแล้วว่า “คนได้หนังสือมอญ” เด็กหญิงมอญบ้านม่วง เริ่มมีโอกาสเรียนหนังสือ แต่เป็นการเรียนหนังสือไทย เมื่อทางจังหวัดราชบุรีร่วมกับชาวบ้านม่วงและหลวงปู่เข็ม (พระครูชัยคิรีศรีสวัสดิ์) เจ้าอาวาสวัดม่วง ในสมัยนั้นได้สร้างอาคารเรียนหลังแรกในวัด เมื่อ พ.ศ. 2456 ให้ลูกหลานชาวบ้านได้ศึกษาเล่าเรียน และต่อมาได้เปิดโรงเรียนเป็นทางการใน พ.ศ.2480 ชื่อโรงเรียนวัดม่วง (ศรี ประชา) วัดม่วงในสมัยหลวงปู่เข็ม เจริญมาก เพราะหลวงปู่เข็ม เป็นองค์อุปัชฌาย์ตอนเหนือลุ่มแม่น้ำแม่กลองนี้เพียงองค์เดียว ชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยง ตอนเหนือลุ่มแม่น้ำแม่กลองขึ้นไปถึงเมืองกาญจนบุรีล่องแพมาบวช คนลาวจากหนองปลาหมอและชาวมอญสองฝั่งตอนบนก็มาบวชที่วัดม่วงกัน หลังจากหลวงปู่เข็มมรณภาพแล้ว วัดม่วงมีท่านเจ้าอาวาสต่อมา คือ หลวงปู่โว่ะ หลวงปู่ดวง (พระครูสังวราภิวัฒน์) และอาจารย์ลม (พระครูวรธรรมพิทักษ์) ชาวบ้านม่วงต่างให้ความเคารพท่านเจ้าอาวาสวัดม่วงมาก เมื่อมีเรื่องราวคดีความกัน ถ้าได้รับการว่ากล่าวจากท่าน มักจะยุติ ชาวบ้านจึงอยู่กันอย่างสันติ ไม่ค่อยมีปัญหาในการอยู่ร่วมกันในชุมชน บ้านม่วง เป็นชุมชนมอญริมแม่น้ำแม่กลองที่เก่าแก่นับแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง และมีวัดม่วง เป็นศูนย์รวมจิตใจมาตลอดจนทุกวันนี้ เป็นหมู่บ้านมอญที่ยังคงมีวัฒนธรรมมอญอยู่มาก ดังจะเห็นได้จากประเพณีการนับถือผี และประเพณีเกี่ยวกับพุทธศาสนา เจดีย์มอญวัดม่วง ริมแม่น้ำแม่กลอง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
อย่างไรก็ตาม การที่ชาวมอญบ้านม่วงนับถือผีและเคร่งครัดในพุทธศาสนา ทำให้ชาวบ้านม่วงอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ ในการทำงานให้ชุมชนและวัด ทำให้วัฒนธรรมเดิมยังดำรงอยู่ได้ และยังมีพลังในการ รักษาชุมชนหมู่บ้าน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจภายนอก ที่กำลังท้าทายการเปลี่ยนแปลงภายในหมู่บ้านบ้านม่วง ปัจจุบันวัดม่วง มีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านมอญ ได้รับการจัดตั้งเป็นศูนย์มอญศึกษา เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่อง มอญ และเก็บรวมโบราณวัตถุ เช่น คัมภีร์งาช้างจารึกอักษรมอญ ธรรมาสน์ พระพุทธรูป เครื่องใช้ในวิถีชีวิตมอญ รวมทั้งโรงเรียนวัดม่วงยังได้เปิดหลักสูตรท้องถิ่น ภูมิปัญญาชุมชน จัดการเรียนการสอน นาฏศิลป์มอญ และหลักสูตรภาษามอญในโรงเรียนอีกด้วย แต่เดิมเรียกว่าตำบลบ้านม่วง ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ออกพระราชบัญญัติจัดตั้งตำบลบ้านโป่งขึ้นเป็นสุขาภิบาลบ้านโป่ง เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 และได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสุขาภิบาลบ้านโป่งขึ้นใหม่เป็นเทศบาลเมืองบ้านโป่ง
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง
ตำบล คุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง ราชบุรี 70110
โทรศัพท์: 081 823 9924