วัดกอม่วง ประวัติวัดกอม่วง
วัดกอม่วง ตั้งอยู่เลขที่ 157 หมู่ที่ 5 ต.อุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน เป็นวัดที่บรรดาพุทธศาสนิกชน สร้างขึ้นมาเป็นเวลานานประมาณ 100 กว่าปี โดยสร้างในปี พ.ศ. 2355 วัดแห่งนี้เป็นวัดร้างมาก่อน มีหลักฐานหลายอย่าง เช่น ซากอิฐเก่าแก่ด้านหลังวัด เป็นต้น วัดนี้มีเนื้อที่ทั้งหมดตามแบบสำรวจศาสนสมบัติ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการเมื่อ พ.ศ. 2523 รับรองโดยพระครูดวงแก้ว มณิวณฺโณ เจ้าอาวาสสมัยนั้น มีเนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน 60 ตารางวา ส่วนถาวรวัตถุสิ่งปลูกสร้างต่างๆ คือ พระธาตุเจดีย์เก่าแก่ (ศิลปะพม่า) , วิหาร , ศาลาการเปรียญ , หอฉัน , อุโบสถสร้างใหม่ ฯลฯ วัดกอม่วงตั้งแต่อดีตได้รับการดูแลเอาใจใส่พัฒนามาเป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน มีศรัทธาบำรุงวัดประมาณ 205 หลังคาเรือน และมีเจ้าอาวาสดูแลปกครองตามลำดับดังนี้ลำดับเจ้าอาวาสตั้งแต่ก่อตั้งวัดมาไม่ปรากฏหลักฐานชื่อเจ้าอาวาสจนกระทั่ง
พ.ศ. 2470 - 2525 พระครูดวงแก้ว มณิวณฺโณ (เจ้าอาวาส)
พ.ศ. 2525 - 2530 พระสุคำ สิริมงฺโล (เจ้าอาวาส)
พ.ศ. 2530 - 2535 พระจรูญ สนฺตจิตฺโต (เจ้าอาวาส)
พ.ศ. 2535 - 2536 พระสุริชัน ฉนฺทสฺทฺโธ (เจ้าอาวาส)
พ.ศ. 2537 - 2546 พระมหาสุนทร ติ กฺขปฺญโญ (เจ้าอาวาส)
พ.ศ. 2540 - ปัจจุบัน พระมหาทอง กิตฺติรตฺนสมฺปนฺโน (เจ้าอาวาส)หมายเหตุ
วัดเชตวันหนองหมู
วัดเชตวันหนองหมู ได้ทำการก่อสร้างมานานประมาณ 100 ปี ตามที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า บ้านหนองหมู เพราะสมัยก่อนบริเวณที่ยังไม่ได้สร้างวัดนั้นเป็นป่าทึบไปหมด และตรงที่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ผ่านปัจจุบันนี้ เป็นหนองใหญ่
ในปี พ.ศ.2440 ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ ตามปกติมักจะมีสุกร(หมูป่า) มาแสวงหาอาหารบริเวณดังกล่าวเป็นประจำ ชาวบ้านเขาจึงเรียกหมู่บ้านแห่งนี้ว่า หนองหมู ต่อมาก็มีชาวบ้าน เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อทำไร่ ทำสวน บ้างก็ย้ายครอบครัวไปตั้งบริเวณใกล้ๆ กับหนองหมู เขาเรียกหมู่บ้านแห่งนั้นว่า บ้านไร่ ซึ่งติดอยู่กับบริเวณวัดปัจจุบันด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งแรกหมู่บ้านแห่งนี้มีประมาณ 30-40 ครอบครัว จะไปทำบุญตักบาตรที่วัดที่เคยไปก็เป็นการลำบากมาก ดังนั้นชาวบ้านได้พร้อมใจกันแผ้วถางป่าบริเวณวัดร้าง(ที่วัดปัจจุบัน) เพื่อทำการสร้างวัด โดยมีท่านภิกษุคำแสน สิริธรรม อายุ 28 พรรษา อยู่ที่วัดป่าเส้า เป็นผู้ที่ให้คำแนะนำแก่ชาวบ้านเกี่ยวกับการก่อสร้างวัดแห่งนี้ ต่อมาชาวบ้านได้เก็บก้อนอิฐภายในบริเวณวัดร้างดังกล่าวมีอักษรไทยล้านนาว่า วัดเชตวัน ท่านพระภิกษุคำแสน ก็เลยตั้งชื่อวัดเชตวันมาตราบเท่าทุกวันนี้ จากนั้นพระภิกษุคำแสน ก็นำชาวบ้านพัฒนาก่อสร้าง กุฎิ วิหาร อุโบสถ และคำลา
อีกอย่างหนึ่ง พระภิกษุคำแสนก็เปิดสำนักรับสอนกัมมัฎฐานทั้งสมถภัมมัฏฐาน และวิปัสสนา กัมมัฏฐานได้มีนักปฏิบัติทั่วสารทิศไปน้อมถวายตัวเป็นศิษย์ นับเป็นจำนวนไม่น้อยเลย โดยอาศัยที่ว่าท่านเป็นนักปฏิบัติและพัฒนาจึงเป็นที่นับถือยำเกรงของคนระแวกนั้น เท่านั้นยังไม่พอ ท่านก็อุทิศใจ - กาย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยเปิดสอนอักษรพื้นเมือง(ไทยล้านนา) ขึ้นเพื่อสอนแก่ผู้ที่ใคร่ในการศึกษาทั่วไป จากนั้นท่านก็สร้างเขาวงกฎขึ้นอีกแห่งหนึ่ง มีเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ ปัจจุบันนี้เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนมัธยมต้นสายสามัญ (โรงเรียนอุโมงค์วิทยาคม) และท่านก็สร้างรอยพระพุทธบาทขึ้นอีกโดยทำเป็นลักษณะคล้ายๆมณฑป มีพระพุทธไสยาสน์ยาว 5 เมตร มีรูปจิตรกรรมต่างๆ อย่างวิจิตรพิสดาร วาระสุดท้ายของการก่อสร้างของท่านก็คือ พระพุทธไสยาสน์ในคูหายาว 6 เมตร ตั้งอยู่ในบริเวณวัด ต่อจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพลง ต่อจากนั้นตำแหน่งผู้นำคือเจ้าอาวาสก็คลอนแคลนไม่แน่นอน มีพระภิกษุรักษาการแทนเจ้าอาวาสหลายรูป เช่น พระภิกษุคำด้วง พระภิกษุบุญมา พระภิกษุคำอ้าย
มณฑปพระพุทธบาท และพระธาตุสองพี่น้อง
วัดเชตวันหนองหมู
วัดเชตวันหนองหมู ได้ทำการก่อสร้างมานานประมาณ 100 ปี ตามที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า บ้านหนองหมู เพราะสมัยก่อนบริเวณที่ยังไม่ได้สร้างวัดนั้นเป็นป่าทึบไปหมด และตรงที่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ผ่านปัจจุบันนี้ เป็นหนองใหญ่
ในปี พ.ศ.2440 ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ ตามปกติมักจะมีสุกร(หมูป่า) มาแสวงหาอาหารบริเวณดังกล่าวเป็นประจำ ชาวบ้านเขาจึงเรียกหมู่บ้านแห่งนี้ว่า หนองหมู ต่อมาก็มีชาวบ้าน เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อทำไร่ ทำสวน บ้างก็ย้ายครอบครัวไปตั้งบริเวณใกล้ๆ กับหนองหมู เขาเรียกหมู่บ้านแห่งนั้นว่า บ้านไร่ ซึ่งติดอยู่กับบริเวณวัดปัจจุบันด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งแรกหมู่บ้านแห่งนี้มีประมาณ 30-40 ครอบครัว จะไปทำบุญตักบาตรที่วัดที่เคยไปก็เป็นการลำบากมาก ดังนั้นชาวบ้านได้พร้อมใจกันแผ้วถางป่าบริเวณวัดร้าง(ที่วัดปัจจุบัน) เพื่อทำการสร้างวัด โดยมีท่านภิกษุคำแสน สิริธรรม อายุ 28 พรรษา อยู่ที่วัดป่าเส้า เป็นผู้ที่ให้คำแนะนำแก่ชาวบ้านเกี่ยวกับการก่อสร้างวัดแห่งนี้ ต่อมาชาวบ้านได้เก็บก้อนอิฐภายในบริเวณวัดร้างดังกล่าวมีอักษรไทยล้านนาว่า วัดเชตวัน ท่านพระภิกษุคำแสน ก็เลยตั้งชื่อวัดเชตวันมาตราบเท่าทุกวันนี้ จากนั้นพระภิกษุคำแสน ก็นำชาวบ้านพัฒนาก่อสร้าง กุฎิ วิหาร อุโบสถ และคำลา
อีกอย่างหนึ่ง พระภิกษุคำแสนก็เปิดสำนักรับสอนกัมมัฎฐานทั้งสมถภัมมัฏฐาน และวิปัสสนา กัมมัฏฐานได้มีนักปฏิบัติทั่วสารทิศไปน้อมถวายตัวเป็นศิษย์ นับเป็นจำนวนไม่น้อยเลย โดยอาศัยที่ว่าท่านเป็นนักปฏิบัติและพัฒนาจึงเป็นที่นับถือยำเกรงของคนระแวกนั้น เท่านั้นยังไม่พอ ท่านก็อุทิศใจ - กาย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยเปิดสอนอักษรพื้นเมือง(ไทยล้านนา) ขึ้นเพื่อสอนแก่ผู้ที่ใคร่ในการศึกษาทั่วไป จากนั้นท่านก็สร้างเขาวงกฎขึ้นอีกแห่งหนึ่ง มีเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ ปัจจุบันนี้เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนมัธยมต้นสายสามัญ (โรงเรียนอุโมงค์วิทยาคม) และท่านก็สร้างรอยพระพุทธบาทขึ้นอีกโดยทำเป็นลักษณะคล้ายๆมณฑป มีพระพุทธไสยาสน์ยาว 5 เมตร มีรูปจิตรกรรมต่างๆ อย่างวิจิตรพิสดาร วาระสุดท้ายของการก่อสร้างของท่านก็คือ พระพุทธไสยาสน์ในคูหายาว 6 เมตร ตั้งอยู่ในบริเวณวัด ต่อจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพลง ต่อจากนั้นตำแหน่งผู้นำคือเจ้าอาวาสก็คลอนแคลนไม่แน่นอน มีพระภิกษุรักษาการแทนเจ้าอาวาสหลายรูป เช่น พระภิกษุคำด้วง พระภิกษุบุญมา พระภิกษุคำอ้าย
มณฑปพระพุทธบาท และพระธาตุสองพี่น้อง