ขั้นตอนการผลิตปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกลับกอง โดยการนำเศษพืชไปย่อยในเครื่องย่อยเศษพืชผสมกับมูลโค สัดส่วน 3 :1 ซึ่งจะทำให้ค่าอัตราส่วนไนโตรเจนมีค่าประมาณ 20 -25 นำกิ่งไม้วางก่ายบนท่อพีวีซีขนาด 4 นิ้ว เจาะรูขนาด 4 หุน ที่ต่อมาจากพักลมเติมอากาศ ซึ่งกิ่งไม้จะช่วยให้มีการระบายอากาศที่ดีภายในกองปุ๋ย นำวัตถุดิบที่คุลกเคล้าพร้อมกับรดน้ำให้พอหมาด วางทับบนกิ่งไม้ให้เป็นรูปสามเหลี่ยมปริซึม มีความกว้างฐาน 2.5 เมตร สูง 1.5 เมตร ยาว 3.5 เมตร โดยไม่ต้องขึ้นเหยียบ เติมอากาศด้วยพัดลมโบรเวอร์ทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง คือ เช้าและเย็น ครั้งละ 15 นาที เป็นเวลา 30 วันหรือมากกว่า จนกว่าการหมักจะเสร็จสิ้น ปุ๋ยที่หมักเสร็จแล้วจะไม่เห็นลักษณะเดิมของเศษพืช แต่จะเบา ร่วน นุ่ม มีสีดำคล้ำ และไม่มีกลิ่น และควรตรวจสอบความชื้นภายในกองปุ๋ยทุกๆ 4 -5 วัน โดยใช้มือล้วงเข้าไปจับภายในกองปุ๋ย แล้วทดลองบีบ ถ้าเป็นความชื้นที่เหมาะสม วัสดุจะไม่แห้งเกินไปและไม่มีน้ำไหลเยิ้มติดมือ การเติมน้ำให้แก่กองปุ๋ยทำได้โดยรดน้ำผิวนอกกองปุ๋ยทุกเช้า และทุก 4 วัน ให้ใช้ไม้แทงกองปุ๋ยในแนวดิ่งทุกระยะ 40 ซม. กรอกน้ำลงไป ปิดรูให้เหมือนเดิม (น้ำไม่สามารถซึมลงภายในกองปุ๋ยได้จากการรดน้ำภายนอกแต่อย่างเดียว เพราะเนื้อปุ๋ยมีคุณสมบัติการอุ้มน้ำ จะไม่ยอมปล่อยให้น้ำซึมผ่านลงไปกลางกองปุ๋ย) ภายใน 2 - 5 วันแรก อุณหภูมิภายในกองปุ๋ยจะสูงขึ้น อาจมีค่าสูงถึง 60-80 องศา ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการหมักปุ๋ยระบบกองเติมอากาศ เมื่อการย่อยสลายเกิดขึ้นได้ดีและอินทรีย์สารในวัตถุดิบเริ่มหมดลงไป อุณหภูมิภายในกองปุ๋ยจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ จนมีค่าคงที่หรือใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอก แสดงว่าการหมักได้เสร็จสิ้น หลังจากนั้นให้ย้ายปุ๋ยเข้าในที่ร่มแล้วทิ้งไว้เป็นเวลาอีก 30 วัน เพื่อบ่มให้จุลินทรีย์สงบตัว ป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาการย่อยสลายขึ้นอีกในภายหลัง ซึ่งอาจทำให้ปุ๋ยที่บรรจุในกระสอบมีกลิ่นเหม็น เกิดเชื้อรา และน้ำหนักลดลงได้ ขั้นตอนการบ่มนี้ อาจเกิดความร้อนจากการที่จุลินทรีย์ย่อยสลายตัวเอง กองปุ๋ย 1 กอง จะได้ปุ๋ยหมัก 1.5 ตัน หรือบรรจุกระสอบได้ 40-50 กระสอบ (กระสอบละ 30 กก.) ซึ่งจะมีจำนวนมากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดเศษพืชที่เป็นวัตถุดิบ
หลังจากกองปุ๋ยหมักเสร็จแล้วจะต้องหมั่นตรวจดูแลกองปุ๋ยหมักอยู่เสมอโดยจะต้องป้องกันไม่ให้สัตว์เข้าไปทำลาย หรือคุ้ยเขี่ยกองปุ๋ยหมัก ถ้ากองแบบในคอกก็ไม่มีปัญหาแต่ถ้ากองบนพื้นดินหรือในหลุมควรหาทางมะพร้าวหรือกิ่งไม้วางทับกองปุ๋ยหมักไว้กันสัตว์คุ้ยเขี่ย ทำการให้น้ำกองปุ๋ยหมักให้มีความชื้นพอเหมาะอยู่เสมอ คือ ไม่ให้แห้งหรือแฉะเกินไปมีวิธีการตรวจอย่างง่ายๆ คือ เอามือสอดเข้าไปในกองปุ๋ยหมักให้ลึกๆ แล้วหยิบเอาชิ้นส่วนภายในกองปุ๋ยหมักมาบีบดู ถ้าปรากฏว่ามีน้ำติดฝ่ามือแสดงว่าความชื้นพอเหมาะไม่ต้องให้น้ำ ถ้าไม่มีน้ำติดฝ่ามือแสดงว่ากองปุ๋ยหมักแห้งเกินไปต้องให้น้ำในระยะนี้ ถ้าบีบดูมีน้ำทะลักออกมาตามง่ามนิ้วมือ แสดงว่าแฉะเกินไปไม่ต้องให้น้ำ
การกลับกองปุ๋ย นับเป็นหัวใจสำคัญในการทำปุ๋ยหมักจะละเลยมิได้ เพราะเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆก็ย่อมต้องการอากาศหายใจเหมือนมนุษย์ ดังนั้นการกลับกองปุ๋ยหมักนอกจากจะช่วยให้ออกซิเจนแก่จุลินทรีย์แล้ว ยังเป็นการระบายความร้อนออกจากกองปุ๋ยอีกด้วย ยิ่งขยันกลับกองปุ๋ยหมักมากเท่าไรก็จะทำให้ได้ปุ๋ยหมักใช้เร็วมากขึ้นเท่านั้น เพราะทำให้เศษพืชย่อยสลายทั่วทั้งกอง และได้ปุ๋ยหมักที่มีคุณภาพดีอีกด้วย ตามปกติควรกลับกองปุ๋ยหมักอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง (ซึ่งแต่เดิมการทำปุ๋ยหมักของบ้านน้ำดิบน้อย เป็นแบบไม่พลิกกลับกองแต่ใช้วิธีเติมอากาศ แต่หากจะทำแบบกึ่งธรรมชาติก็ได้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้า โดยใช้วิธีทำแบบพลิกกลับกองตามเดิม) เมื่อกองปุ๋ยหมักเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีทั้งที่มองเห็นได้และที่มองไม่เห็น ที่มองเห็นได้ก็คือ ชิ้นส่วนของพืชจะมีขนาดเล็กลงและยุบตัวลงกว่าเมื่อเริ่มกอง สีของเศษพืชก็จะเปลี่ยนไป ส่วนที่มองไม่เห็นก็คือปริมาณของจุลินทรีย์ ทีนี้จะสังเกตว่าปุ๋ยหมักสามารถนำมาใช้ได้หรือไม่มีข้อสังเกตง่ายๆ คือสีของกองปุ๋ยหมักจะเข้มขึ้นกว่าเมื่อเริ่มกอง อาจมีสีน้ำตาลเข้มถึงดำ ใช้มือบี้ปุ๋ยหมักดูเศษพืชจะยุ่ยและขาดออกจากกันได้ง่าย ไม่แข็งกระด้าง มีต้นพืชที่มีระบบรากลึกขึ้นบนกองปุ๋ยหมัก แสดงว่าปุ๋ยหมักสลายตัวดีแล้ว ถ้าเป็นปุ๋ยหมักที่ดีจะมีกลิ่นคล้ายกลิ่นธรรมชาติ ถ้ามีกลิ่นฉุนหรือมีกลิ่นฟางแสดงว่าปุ๋ยหมักยังใช้ไม่ได้ เนื่องจากขบวนการย่อยสลายยังดำเนินการไม่แล้ว