5.3.การประเมินโครงงานและการพัฒนาโครงงานจากข้อบกพร่องต่างๆ
5.3.การประเมินโครงงานและการพัฒนาโครงงานจากข้อบกพร่องต่างๆ
การประเมินโครงงาน
การประเมินโครงงาน เป็นกิจกรรมที่มีความสําคัญและจําเป็นอีกอย่างหนึ่ง ในการทําโครงงานของผู้เรียน เป็นการให้คะแนนโครงงานที่ผู้เรียนทํา เพื่อประเมินว่าโครงงานที่ทํานั้นมีคุณภาพในด้านต่างๆ มากน้อยเพียงใด เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นในโอกาสต่อไป ในการประเมินโครงงานแต่ละโครงงานนั้น ผู้ประเมินต้องคิดพิจารณาและวิเคราะห์โครงงานอย่างละเอียด รอบคอบ ครอบคลุมทุกๆ ด้านก่อนให้คะแนนการประเมินโครงงาน ควรให้ความสําคัญ 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 ส่วนประกอบของรายงานโครงงานครบถ้วน ได้แก่ ปกหน้า (ชื่อโคร'งานชื่อผู้ทํา/ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา/สถานศึกษา) บทคัดย่อ/กิตติกรรมประกาศ ที่มาและความสําคัญ วัตถุประสงค์สมมติฐาน /ตัวแปรของการศึกษา เอกสาร/ความรู้หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง วัสดุและอุปกรณ์และวิธีดําเนินการ (อธิบายโดยละเอียด) ผลการศึกษาค้นคว้า สรุปผล อภิปรายผล ข้อเสนอแนะและบรรณานุกรม
ส่วนที่ 2 ความคิดสร้างสรรค์พิจารณาจากความแปลกใหม่ ความคิดริเริ่ม ประโยชน์การนําไปใช้ในชีวิตประจําวัน และความน่าสนใจ
ส่วนที่ 3 ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้พิจารณาจากปัญหา (ที่มา ความสําคัญวัตถุประสงค์) สมมติฐาน (สอดคล้องกับปัญหา/ชัดเจน) การตรวจสอบสมมติฐาน การแปลผล อภิปรายและเสนอแนะความสามารถในการสื่อความหมาย พิจารณาจากการจัดทํานิทรรศการโครงงานและการนําเสนอโครงงาน
การพัฒนาโครงงานจากข้อบกพร่องต่างๆ
ในยุคของการปฏิรูปการเรียนรู้โดยครูได้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการสอน จากการสอนแบบบรรยายมาเป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ เช่น การสอนด้วยวิธีโครงงานซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 หมวดที่ 4 มาตรา 24 (5) ……ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้สอนจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียนและอํานวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งสามารถที่จะเรียน ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้
จากการตัดสินการประกวดโครงงานพบว่า มีปัญหาที่รอการแก้ไขในการทําโครงงาน และการเขียนรายงานโครงงานโดยสรุปมีดังต่อไปนี้
1. การเขียนบทคัดย่อ เขียนไม่ครอบคลุมสิ่งนําเสนอ ควรประกอบด้วยวัตถุประสงค์วิธีเก็บข้อมูลเครื่องมือที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล มักพบว่านําความเป็นมาของการทําโครงงานเข้ามาเขียนและพบว่าเขียนไม่กระชับไม่ชัดเจน
2. ความสําคัญของโครงงานเขียนไม่ชัดเจน ควรเขียนความเป็นมาของโครงงานและโครงงานนี้สําคัญอย่างไร ทําแล้วได้อะไรเป็นต้น
3. ชื่อเรื่องเป็นแบบเรียกร้องความสนใจแต่ผู้ศึกษาไม่เข้าใจปัญหา วัตถุประสงค์ของการศึกษาอย่างชัดเจน โปรดจําไว้ว่าปัญหาและวัตถุประสงค์ที่ศึกษาเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ปัญหาเป็นประโยคคําถาม ส่วนวัตถุประสงค์เป็นประโยคบอกเล่า
4. การเขียนวัตถุประสงค์ของโครงงานไม่ตรงกับชื่อเรื่อง และเขียนปะปนกับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
5. ขาดการศึกษาทฤษฏีหลักการ เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สนใจจะศึกษา เป็นเหตุให้ตั้งสมมติฐานเองตามประสบการณ์และสามัญสํานึก
6. โครงงานส่วนใหญ่เขียนบทเอกสารที่เกี่ยวข้องยาวมาก โดยรวบรวมเร่ืองที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองในโครงงาน เหมือนจะเพิ่มความหนาของเล่มให้ดูเป็นโครงงานที่หนาด้วยรูปเล่ม มากกว่าหนาด้วยสาระที่เกี่ยวข้อง
7. ระบุตัวแปรต้นและตัวแปรตามผิด เขียนแบบสับสนและไม่กระชับกะทัดรัด เพราะไม่เข้าใจอย่างชัดเจน และอย่างที่แท้จริงเกี่ยวกับการระบุและควบคุมตัวแปร
8. การนําเสนอข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ยังไม่ถูกต้อง เช่น รูปแบบการนําเสนอไม่เหมาะสมไม่มีการกําหนดหน่วยของปริมาณหรือขนาดของตัวแปร รวมทั้งใช้ภาษาฟุ่มเฟือยไม่กะทัดรัด
9. ไม่เขียนชื่อตาราง ชื่อกราฟ ชื่อของรูปภาพที่นําเสนอข้อมูลที่ได้จากการรวบรวม
10. การตีความหมายใต้ตาราง ใต้กราฟ ที่นําเสนอข้อมูลที่ได้จากการรวบรวม เป็นการอภิปรายผลซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะการอภิปรายผลควรนําเสนอหลังการสรุปผล การตีความหมายควรอยู่ในขอบเขตเฉพาะข้อมูลที่ปรากฏเท่านั้น ไม่ควรสรุปอ้างอิงจากประสบการณ์และความรู้ทางวิชาการ
11. เมื่อมีการสรุปผลแล้วยังขาดการอภิปรายผล เพราะผู้ทําโครงงานขาดการศึกษาเนื้อหาทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สนใจ
12. การเขียนบรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิงทําตามสามัญสํานึก ขาดการศึกษาวิธีการเขียนที่ควรเป็นตามสากลนิยม
การพัฒนาโครงงานจากข้อบกพร่องต่างๆในยุคของการปฏิรูปการเรียนรู้โดยครูได้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการสอน จากการสอนแบบบรรยาย
มาเป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ เช่น การสอนด้วยวิธีโครงงานซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติพ.ศ. 2542 หมวดที่ 4 มาตรา 24 (5) ……ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้สอนจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม
สื่อการเรียนและอํานวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งสามารถที่จะเรียน ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้
จากการตัดสินการประกวดโครงงานพบว่า มีปัญหาที่รอการแก้ไขในการทําโครงงาน และการเขียนรายงานโครงงานโดยสรุปมีดังต่อไปนี้
1. การเขียนบทคัดย่อ เขียนไม่ครอบคลุมสิ่งนําเสนอ ควรประกอบด้วยวัตถุประสงค์วิธีเก็บข้อมูลเครื่องมือที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล มักพบว่านําความเป็นมาของการทําโครงงานเข้ามาเขียนและพบว่าเขียนไม่กระชับไม่ชัดเจน
2. ความสําคัญของโครงงานเขียนไม่ชัดเจน ควรเขียนความเป็นมาของโครงงานและโครงงานนี้สําคัญอย่างไร ทําแล้วได้อะไรเป็นต้น
3. ชื่อเรื่องเป็นแบบเรียกร้องความสนใจแต่ผู้ศึกษาไม่เข้าใจปัญหา วัตถุประสงค์ของการศึกษาอย่างชัดเจน โปรดจําไว้ว่าปัญหาและวัตถุประสงค์ที่ศึกษาเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ปัญหาเป็นประโยคคําถาม ส่วนวัตถุประสงค์เป็นประโยคบอกเล่า
4. การเขียนวัตถุประสงค์ของโครงงานไม่ตรงกับชื่อเรื่อง และเขียนปะปนกับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
5. ขาดการศึกษาทฤษฏีหลักการ เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สนใจจะศึกษา เป็นเหตุให้ตั้งสมมติฐานเองตามประสบการณ์และสามัญสํานึก
6. โครงงานส่วนใหญ่เขียนบทเอกสารที่เกี่ยวข้องยาวมาก โดยรวบรวมเร่ืองที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองในโครงงาน เหมือนจะเพิ่มความหนาของเล่มให้ดูเป็นโครงงานที่หนาด้วยรูปเล่ม มากกว่าหนาด้วยสาระที่เกี่ยวข้อง
7. ระบุตัวแปรต้นและตัวแปรตามผิด เขียนแบบสับสนและไม่กระชับกะทัดรัด เพราะไม่เข้าใจอย่างชัดเจน และอย่างที่แท้จริงเกี่ยวกับการระบุและควบคุมตัวแปร
8. การนําเสนอข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ยังไม่ถูกต้อง เช่น รูปแบบการนําเสนอไม่เหมาะสมไม่มีการกําหนดหน่วยของปริมาณหรือขนาดของตัวแปร รวมทั้งใช้ภาษาฟุ่มเฟือยไม่กะทัดรัด
9. ไม่เขียนชื่อตาราง ชื่อกราฟ ชื่อของรูปภาพที่นําเสนอข้อมูลที่ได้จากการรวบรวม
10. การตีความหมายใต้ตาราง ใต้กราฟ ที่นําเสนอข้อมูลที่ได้จากการรวบรวม เป็นการอภิปรายผลซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะการอภิปรายผลควรนําเสนอหลังการสรุปผล การตีความหมายควรอยู่ในขอบเขตเฉพาะข้อมูลที่ปรากฏเท่านั้น ไม่ควรสรุปอ้างอิงจากประสบการณ์และความรู้ทางวิชาการ
11. เมื่อมีการสรุปผลแล้วยังขาดการอภิปรายผล เพราะผู้ทําโครงงานขาดการศึกษาเนื้อหาทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สนใจ
12. การเขียนบรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิงทําตามสามัญสํานึก ขาดการศึกษาวิธีการเขียนที่ควรเป็นตามสากลนิยม