การต่อยอดความรู้มีคนจัดประเภทความรู้ไว้สองลักษณะได้แก่ ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge)กับความรู้ประจักษ์หรือชัดแจ้ง (explicit knowledge) โดยความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายโดยใช้คําพูดได้มีรากฐานมาจากการกระทําและประสบการณ์มีลักษณะเป็นความเชื่อทักษะ และเป็นอัตวิสัย (Subjective) ต้องการการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชํานาญ มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนบุคคลมีบริบทเฉพาะ (Contextspecific) ทําให้เป็นทางการและสื่อสารยาก เช่น วิจารณญาณความลับทางการค้าวัฒนธรรมองค์กร ทักษะความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ การเรียนรู้ขององค์กร ความสามารถในการชิมรสไวน์หรือกระทั่งทักษะในการสังเกตเปลวควันจากปล่องโรงงานว่ามีปัญหาในกระบวนการผลิตหรือไม่ เป็นความรู้ที่ใช้กันมากในชีวิตประจําวันและมักเป็นการใช้โดยไม่รู้ตัว และความรู้ประจักษ์หรือชัดแจ้ง (explicitknowledge) เป็นความรู้ที่รวบรวมได้ง่าย จัดระบบและถ่ายโอนโดยใช้วิธีการดิจิทัล มีลักษณะเป็นวัตถุดิบ(Objective) เป็นทฤษฏีสามารถแปลงเป็นรหัสในการถ่ายทอดโดยวิธีการที่เป็นทางการ ไม่จําเป็นต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อถ่ายทอดความรู้เช่น นโยบายขององค์กร กระบวนการทํางาน ซอฟต์แวร์เอกสารและกลยุทธ์เป้าหมายและความสามารถขององค์กร
ระดับของความรู้ หากจําแนกระดับของความรู้สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับคือ
1.ความรู้เชิงทฤษฏี (Know-What) เป็นความรู้เชิงข้อเท็จจริง รู้อะไร เป็นอะไร จะพบในผู้ที่สําเร็จ การศึกษามาใหม่ๆ ที่มีความรู้โดยเฉพาะความรู้ที่จํามาได้จากความรู้ชัดแจ้งซึ่งได้จากการได้เรียนมาก แต่เวลา ทํางานก็จะไม่มั่นใจมักจะปรึกษารุ่นพี่ก่อน
2.ความรู้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท (Know-How) เป็นความรู้เชื่อมโยงกับโลกของความเป็นจริง ภายใต้ สภาพความเป็นจริงที่ซับซ้อน สามารถนําเอาความรู้ชัดแจ้งที่ได้มาประยุกต์ใช้ตามบริบทของตนเองได้มักพบใน คนที่ทํางานไปหลายๆ ปีจนเกิดความรู้ฝังลึกที่เป็นทักษะหรือประสบการณ์มากขึ้น
3 .ความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุผล (Know-Why) เป็นความรู้เชิงเหตุผลระหว่างเรื่องราวหรือเหตุการณ์ ต่างๆ ผลของประสบการณ์แก้ปัญหาที่ซับซ้อน และนําประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่นเป็นผู้ทํางาน มาระยะหนึ่งแล้วเกิดความรู้ฝังลึก สามารถอดความรู้ฝังลึกของตนเองมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น หรือถ่ายทอดให้ผู้ อื่นได้พร้อมทั้งรับเอาความรู้จากผู้อื่นไปปรับใช้ในบริบทของตนเองได้
4.ความรู้ในระดับคุณค่าความเชื่อ (Care-Why) เป็นความรู้ในลักษณะของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ที่ขับดันมาจากภายในตนเองจะเป็นผู้ที่สามารถสกัด ประมวล วิเคราะห์ความรู้ที่ตนเองมีอยู่กับความรู้ที่ตนเอง ได้รับมาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้เช่น สร้างตัวแบบหรือทฤษฏีใหม่หรือนวัตกรรมขึ้นมาใช้ในการ ทํางานได้
การถ่ายทอดการปฏิบัติให้เป็นทฤษฏีเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อยอดความรู้และทําให้การสืบสาน พัฒนาความรู้เป็นไปอย่างกว้างขวาง รวดเร็ว วงการวิทยาศาสตร์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วได้ก็เพราะอาศัย วัฒนธรรมการต่อยอดความรู้ลักษณะนี้ การจัดประเภทความรู้อีกลักษณะ จําแนกความรู้เป็นเชิงคุณภาพกับเชิงปริมาณ ไอน์สไตน์เคยกล่าว เปรียบเปรยความรู้ทั้งสองลักษณะไว้ว่า “เราอาจใช้วิชาฟิสิกส์วิเคราะห์หรือพรรณาลักษณะของคลื่นให้ละเอียดลึกซึ้งได้มากมาย แต่การทําเช่นนั้น ย่อมไม่มีความหมาย (ทางดนตรี) ใดๆ เมื่อไปใช้กับบทเพลงของบีโธ เว่น” บางคนอาจตีความหมายคํากล่าวนี้ว่า วิชาฟิสิกส์ซึ่งเน้นการสร้างความรู้เชิงปริมาณเป็นคนละเรื่องกับวิชา ดนตรีซึ่งเป็นเรื่องของความรู้เชิงคุณภาพ เหมือนน้ํากับน้ํามันย่อมเข้ากันไม่ได้ อย่างไรก็ตามความสําเร็จของยามาฮ่าในอุตสาหกรรมเครื่องดนตรีชวนให้ต้องคิดในอีกมุมหนึ่งก่อน ยามาฮ่าจะประสบความสําเร็จ เปียโนนับเป็นเครื่องดนตรีสําหรับคนส่วนน้อยที่เล่นเปียโนเป็น (ซึ่งต้องผ่านการ ฝึกฝนยาวนาน) สําหรับคนส่วนใหญ่เปียโนเป็นได้อย่างเก่งเพียงเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านชิ้นใหญ่ ด้วยวิธีคิดนอกกรอบยามาฮ่ามองเห็นความเป็นไปได้ที่จะทําให้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีสําหรับคนส่วน ใหญ่ จึงลงมือค้นคว้าวิจัยโดยอาศัยความรู้เกี่ยวกับเสียงในวิชาฟิสิกส์จนสามารถพัฒนาอุปกรณ์อิเลคทรอนิค (Disklavier™) ช่วยให้การเล่นเปียโนง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก โดยการบันทึกเสียงขณะเล่นแล้วสะท้อนกลับให้ผู้ฝึกได้ยิน รวมทั้งสามารถบันทึกและเล่นเสียงเปียโนของมืออาชีพ ให้เลียนแบบความรู้ใหม่ซึ่งอยู่เบื้องหลังDisklavier™ ได้กลายเป็นต้นแบบให้กับการพัฒนาเปียโนในปัจจุบัน และเปิดศักราชใหม่ของการเรียนเล่นเปียโนอย่างแพร่หลายกว่ายุคก่อนๆ