ศาสนสถาน
ศาสนสถาน
พ่อขุนเม็งรายเป็นกษัตริย์องค์ที่ 25 แห่งราชวงศ์ลวะ พระองค์ทรงสร้างเมืองเชียงรายเป็นเมืองหลวงแทนหิรัญนครเงินยางสำหรับชาวเชียงรายแล้ว พ่อขุนเม็งรายมหาราช คือปูชนียบุคคลที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมเลือน เพราะพระองค์คือปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ผู้สร้างเมืองเชียงรายให้เกรียงไกรในอดีต และปัจจุบันอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช เป็นดังแลนด์มาร์กของเชียงรายที่ผู้สัญจรผ่านไปมาต้องแวะไปสักการะสักครั้ง โดยอนุสาวรีย์แห่งนี้มีลักษณะเป็นพระรูปของพระองค์หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดหนึ่งเท่าครึ่งทรงฉลองพระองค์ด้วยเครื่องทรงพระมหากษัตริย์แบบล้านนาโบราณ ประทับยืนบนฐานสูงประมาณ 3 เมตร ทรงถือดาบด้วยพระหัตถ์ซ้ายแนบกับพระเพลา ทรงสวมมาลัยพระกรและสวมพระธำมรงค์ที่พระหัตถ์ขวาตรงนิ้วนางและนิ้วก้อย และตรงนิ้วชี้ที่พระหัตถ์ข้างซ้าย และทรงฉลองพระบาท ในปัจจุบันมีตุงหลวงเฉลิมพระเกียรติสีทองอร่ามขนาดใหญ่ประดับอยู่ทางด้านหลังอนุสาวรีย์ด้วย สำหรับฐานใต้พระบรมรูปมีคำจารึกว่า "พ่อขุนเม็งรายมหาราช พ.ศ. 1782-1860 ทรงสร้างเมืองเชียงรายขึ้นเป็นเมืองแรกเมื่อ พ.ศ. 1805 ทรงสถาปนาอาณาจักรล้านนาไทยให้เป็นปึกแผ่น และทรงสร้างความสามัคคีระหว่างชนชาติไทย" รู้จักพ่อขุนเม็งราย พ่อขุนเม็งรายเป็นกษัตริย์องค์ที่ 25 แห่งราชวงศ์ลวะ เป็นโอรสของพญาลาวเม็งและพระนางเทพคำขยาย หรือพระนางอั้วมิ่งจอมเมืองประสูติเมื่อวันอาทิตย์ แรม 9 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ พุทธศักราช 1782 และเสด็จสวรรคตที่เมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1854 รวมพระชนมายุได้ 72 พรรษา โดยสถูป (กู่) บรรจุพระอัฐิหรือ กู่พญามังรายมหาราช ตั้งอยู่ที่วัดงำเมืองนั่นเอง ทั้งนี้ พ่อขุนเม็งรายได้สร้างเมืองเชียงรายขึ้นบนดอยทอง จากรากฐานเดิมที่เคยเป็นเมืองมาก่อน เมื่อปี พ.ศ. 1805 ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายและรวบรวมบ้านเล็กเมืองน้อยเข้าเป็นอาณาจักรล้านนาไทยจนเจริญรุ่งเรืองจวบจนปัจจุบัน
เป็นวัดพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยู่ที่ ถนน ไตรรัตน์ ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 9.9 ตารางวาวัดพระแก้ว เดิมชื่อ วัดป่าญะ หรือป่าเยี้ยะ เนื่องจากภายในบริเวณวัดมีไม้เยี้ยะซึ่งเป็นไม้ไผ่พันธ์พื้นเมืองชนิดหนึ่งคล้ายไม้ไผ่สีสุก ไม่มีหนามขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านนิยมนำไม้ชนิดนี้ ไปทาหน้าไม้หรือคันธนูและเรียกวัดนี้ว่าวัด "ป่าญะ" จนกระทั้งในปี พ.ศ. 1977 ฟ้าผ่าองค์พระเจดีย์ พบพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองอยู่ภายใน จึงนำมาประดิษฐานไว้ในวิหาร ต่อมาปูนบางแห่งหลุดกะเทาะออก จึงกะเทาะปูนออกทั้งองค์พบพระแก้วมรกต มีพุทธลักษณะงดงามมากเป็นที่เลื่องลือโจษขานกันทั่วไปการค้นพบพระแก้วมรกตในครั้งนั้น ทำให้วัดป่าญะ ได้รับการขนานนามใหม่ว่า "วัดพระแก้ว" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระแก้วมรกตได้ประดิษฐานยังสถานที่ต่างๆ ในหลายแห่ง ได้แก่ เชียงราย ลำปาง เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ กรุงธนบุรี จนในที่สุดประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร จนกระทั่งปัจจุบัน
หอพระหยกเป็นอาคาร ค.ส.ล. ทรงล้านนาโบราณประกอบด้วยไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง ขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร เป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล" หรือ "พระหยกเชียงราย" แปลว่า "พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นอากรแห่งรัตน เป็นมงคลอนุสรณ์ 90 พรรษา" เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บนผนังอาคาร แสดงกิจกรรม จากตำนานพระแก้วมรกต และภาพวาดการสร้าง และพิธีอัญเชิญพระหยกเชียงรายสู่พระอารามในวันที่ 19 ตุลาคม 2534
พระเจ้าล้านทองพระประธาน อัญเชิญจากวัดดอยงำเมือง (วัดงามเมือง) มาประดิษฐานวัดพระแก้วในปัจจุบันพระเจ้าล้านทอง เป็นพระพุทธรูปสำริด ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ หน้าตักกว้าง 2 เมตร สูงจากฐานถึงพระรัสมี 2.80 เมตร รอบพระเศียร 1.60 เมตร นั่งขัดสมาธิราบ พระรัศมีเป็นดอกบัวตูมอยู่ในเปลวเพลิง ชายสังฆาฏิสั้นเหนือราวพระถัน เม็ดพระศกใหญ่ พระหนุ (คาง) เป็นปมใหญ่และชัดมาก น้ำหนักประมาณ 1,200 กิโลกรัม นับเป็นพระพุทธรูปในสกุลช่างศิลปะปาละที่ใหญ่และสวยงามที่สุดในประเทศไทย
พระเจ้าล้านทอง เดิมเป็นพระประธานของวัดล้านทอง (วัดแสนทอง ปัจจุบันคือโรงเรียนอนุบาลเชียงราย) เมื่อวัดร้างไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2488 พระวีรญาณมุนี (หมื่น สุมโน) เจ้าคณะจังหวัดเชียงรายในขณะนั้น มอบหมายให้พระครูธรรมวงศ์วิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงราย อัญเชิญพระเจ้าล้านทองจากวัดล้านทอง (วัดแสนทอง) ไปประดิษฐานที่วัดงามเมือง ต่อมาเมื่อวัดงามเมืองร้าง ศรัทธาสาธุชนจึงได้ขึ้นไปทำหลังคาคลุมพระเจ้าหลวงและพระเจ้าล้านทอง
พ.ศ. 2504 พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ (วงศ์ ทานวํโส) ขณะเป็นพระครูธรรมวงศ์วิวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงราย ได้ทำการย้ายพระเจ้าล้านทองจากวัดงามเมืองมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน จนถึงปัจจุบัน
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2430 มีชาวบ้านเข้ามาจับจองที่ดินทำไร่ทำนาบริเวณบ้านร่องขุ่นในปัจจุบันเพียงไม่กี่หลังคาเรือน โดยอาศัยลำน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลลงสู่แม่น้ำแม่ลาวซึ่งมีลักษณะสีขุ่นเลี้ยงชีพ ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า “บ้านฮ่องขุ่น” (ร่องขุ่น) มาโดยตลอด ต่อมา ขุนอุดมกิจเกษมราษฎร์ (ต้นตระกูล เกษมราษฎร์) นำครอบครัวญาติมิตรเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านจนเพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่า 50 หลังคาเรือน ท่านจึงได้ดำริที่จะสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นภายในหมู่บ้าน เพื่อจะได้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชุมชน วัดร่องขุ่นจึงถือกำเนิดครั้งแรก ณ ริมฝั่งน้ำแม่ลาวด้านทิศตะวันตกใกล้กับลำน้ำแม่มอญ ซึ่งอยู่เลยลำน้ำร่องขุ่นไปทางทิศใต้ประมาณ 500 เมตร คณะศรัทธาจึงได้ร่วมใจกันสร้างศาลาและกุฏิเป็นเรือนไม้แบบง่ายๆ เพื่อใช้ประกอบศาสนกิจ โดยชาวบ้านได้อาราธนานิมนต์พระทองสุข บาวิน จากวัดสันทรายน้อย หมู่ 13 มาเป็นเจ้าอาวาส
จากนั้นได้รับการบูรณะโดยอาจารย์เฉลิม ชัยโฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชาวเชียงราย ผู้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) จากวัดเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ในสภาพค่อนข้างเสื่อมโทรมนี้ได้กลายเป็นศาสนสถานที่สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมและงานศิลปะเต็มไปด้วยลวดลายอ่อนช้อยประณีตดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมวัดนี้อย่างคับคั่งตลอดปี อุโบสถของวัดร่องขุ่นมีสีขาวบริสุทธิ์สะอาดซึ่งได้กลายเป็นเอกลักษณ์เป็นที่จดจำของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งพากันเรียกวัดร่องขุ่นว่าวัดขาว (Thailand White Temple) ประดับประดาด้วยช่อฟ้าใบระกาอย่างวิจิตรอลังการตามด้วยลวดลายอ่อนช้อยอื่น ๆ อีกมากมายเป็นเชิงชั้นลดหลั่นกันลงมาหน้าบันประดับด้วยพญานาคและติดกระจกระยิบระยับโดยความตั้งใจของผู้สร้างนั้นต้องการสื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในพุทธศาสนาโดยสีขาวหมายถึงพระบริสุทธิคุณส่วนกระจกหมายถึงพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่ส่องแสงโชติช่วงชัชวาลนอกจากนี้ตัวพระอุโบสถยังสร้างอยู่บนเนินเตี้ยๆที่มีทะเลสาบใสสะอาดสะท้อนเงาอาคารได้อย่างชัดเจนและทางเดินเข้าอุโบสถที่เป็นสะพานทอดยาวนั้นก็หมายถึงการเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิส่วนบนของหลังคาได้นำหลักธรรมอันสำคัญยิ่งคือศีลสมาธิปัญญามาแสดงออกในรูปของสัตว์ในช่อฟ้าชั้นต่าง ๆ และภายในอุโบสถยังมีภาพจิตกรรมฝาผนังรวมทั้งอาคารแสดงภาพวาดที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดเพื่อแสดงผลงานของอาจารย์เฉลิมชัยให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมอีกเช่นกัน
วัดห้วยปลากั้งก่อตั้งขึ้นโดยพระอาจารย์ พบโชค ติสสะวังโส เจ้าอาวาส สภาพเดิม เป็นเนินเขาที่มีเพียงซากของวัดร้างและพงหญ้ารกชัฏ ต่อมาพระอาจารย์พบโชคซึ่งเป็นพระภิกษุจำพรรษาอยู่ที่วัดร่องธาร เชียงราย จึงมีจิตศรัทธาต้องการบูรณะ จึงได้ย้ายไปพำนักอยู่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 โดยมีชาวชุมชนห้วยปลากั้งร่วมบูรณะ เริ่มจากการตั้งเป็นสำนักสงฆ์ จนได้รับอนุญาตตั้งวัดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 โดยมีพระอธิการพบโชค ติสฺสวํโส เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก
อาคารเสนาสนะที่สำคัญ ได้แก่ พบโชคธรรมเจดีย์ สร้างขึ้นตามชื่อของพระอาจารย์ เป็นเจดีย์ทรงสามเหลี่ยมต่อกันเป็นชั้น ๆ จำนวน 9 ชั้น และมีเจดีย์เล็กจำนวน 12 องค์ล้อมรอบ สร้างขึ้นตามนิมิตของพระอาจารย์พบโชคที่ฝันเห็นว่าบนเนินเขาแห่งนี้ จนมีวิศวกรคนหนึ่งจากกรุงเทพแจ้งความประสงค์ที่จะสร้าง จากนั้นได้พบนักธุรกิจชาวไต้หวันชื่อ เฉิน เซียน เป่า ได้สนับสนุนงบประมาณในการสร้าง เริ่มตอกเสาเข็มเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2550 ภายในเจดีย์ประดิษฐานนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ปางประทานพรและอภัยทาน สร้างด้วยไม้จันทน์หอมมาจาก 3 ประเทศคือ จีน เมียนมา และอินเดีย ใช้เวลาแกะสลักนาน 108 วัน องค์รูปมีความกว้าง 7 เมตร สูง 7 เมตร นอกจากนั้นในเจดีย์ยังมี พระโพธิสัตว์กวนอิมทั้ง 12 ปาง หลวงพ่อโสธรสร้างด้วยไม้ รูปปั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
วัดห้วยปลากั้งยังมีอุโบสถสีขาวและมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่มีขนาดสูงถึง 69 เมตร หรือเกือบเท่าตึก 25 ชั้น ภายในองค์พระจะมีการติดตั้งระบบขึ้นลงด้วยลิฟต์เพื่อให้สามารถขึ้นไปดูทิวทัศน์ของเมืองเชียงราย
วัดร่องเสือเต้นหรือที่เรารู้จักกันในนาม “วัดสีน้ำเงิน” ตั้งอยู่ในชุมชนร่องเสือเต้น ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สร้างเสร็จเมื่อ วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559 บนเนื้อที่ของวัด 6 ไร่ 1 งาน 23 ตารางวา
อดีตวัดแห่งนี้เคยเป็นวัดร้างมาก่อน พบเศษซากอิฐโบราณจำนวนมาก เมื่อ 80 -100 ปีก่อน ผู้เฒ่าผู้แก่บอกเล่าว่า ในสมัยนั้นระแวกนี้ยังไม่มีบ้านเรือนและผู้คนอาศัยอยู่มากนัก มีแต่สัตว์ป่าจำนวนมากโดยเฉพาะเสือที่กระโดดข้ามร่องน้ำไปๆ มาๆ ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ร่องเสือเต้น” และกลายเป็นชื่อหมู่บ้านที่เรียกกันว่า “บ้านร่องเสือเต้น” ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2539 ชาวบ้านร่องเสือเต้นได้ประชุมหารือกันเรื่องการบูรณะวัดร่องเสือเต้น จุดประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รวมด้านจิตใจ และเป็นที่ประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพราะชาวบ้านยังไม่มีสถานที่ทำบุญ ซึ่งต่างไปทำบุญตามวัดอื่น ๆ อย่างกระจัดกระจาย ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันพัฒนา และเป็นจุดกำเนิดของ “วัดร่องเสือเต้น”
ต่อมาวัดร่องเสือเต้นแห่งนี้ได้รับการบูรณะใหม่ จากฝีมือการรังสรรค์ของ อาจารย์นก(นายพุทธา กาบแก้ว) หรือ สล่านก ศิลปินท้องถิ่นชาวเชียงราย และการรวมตัวอีกครั้งของชาวบ้านร่องเสือเต้น โดยก่อสร้างวิหารวัดให้มีศิลปะแนวพุทธศิลป์ร่วมสมัยที่แฝงด้วยหลักธรรมคำสอนของพุทธองค์ ผนังวัดใช้เฉดสีเป็นน้ำเงินฟ้าที่ให้ความรู้สึก สงบ เย็นสบายตา ตัดกับลวดลายผนังที่อ่อนช้อยโทนสีขาวทอง ที่ดูพลิ้วไหวดุจดั่งสายน้ำ ทำให้มีความโดดเด่นเรื่องสีสันที่แปลกตาไปจากวัดทั่วไป โดยเป็นแนวคิดเพื่อชักนำให้ชาวพุทธหันกลับมาเข้าวัด และศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
เมื่อเดินเข้ามายังลานวัด สิ่งแรกที่พบคือ “พระอุปคุต” องค์สีขาวมุกประดิษฐานกลางน้ำพุใต้ร่มเงาดอกบัว มีปลาสีน้ำเงินจากป่าหิมพานต์รายรอบพระองค์อยู่ เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทุกคนให้ความสนใจถ่ายรูปเก็บภาพสวยๆกันค่ะ สำหรับทางเข้าวิหาร สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือ ประติมากรรมบันไดพญานาค ที่มีเศียรและเขี้ยวพลิ้วไหว ลำตัวมีเกล็ดสีน้ำเงินประกายเขียวนิล ดูสวยงามและน่าเกรงขาม
เมื่อเข้าไปภายในวิหาร จะพบภาพจิตรกรรมตามฝาผนังที่วิจิตรตระการตายิ่งนัก มีพระประธานองค์ใหญ่สีขาวมุกที่มีชื่อว่า “พระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ” หมายถึง “พระพุทธเจ้าทรงเป็นมงคล เป็นเจ้าในความเป็นแห่งราชา เป็นที่พึ่งในสามโลก” องค์พระพุทธรูปมีความสูง 6.50 เมตร หน้าตักกว้าง 5 เมตร โดยมีพระรอดลำพูน จำนวน 84,000 องค์ และแก้วแหวนเงินทองหลายสิ่งบรรจุใต้พระพุทธรูปองค์นี้ สำหรับเศียรพระจะถูกบรรจุด้วยพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาปริณายก รวมถึงยังได้พระราชทานนาม “พระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ” ให้กับองค์พระพุทธรูปองค์นี้อีกด้วย ผู้คนที่ได้เข้ามาในตัววิหารต่างศรัทธาเลื่อมใส พร้อมกราบไหว้สักการะเพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเอง
Thailand Soft Power Portal | Web Book | ชยวรนครเชียงราย เหนือสุดในสยาม 2568