บุคคลสำคัญ
บุคคลสำคัญ
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี เกิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2516 พื้นเพเป็นคน บ้านครึ่งใต้ ต.ครึ่ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เป็นคนที่รักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงทำให้ซึมซับความรู้ทุกรูปแบบ เมื่อครั้งยังเด็ก มารดาได้พาท่านไปทำบุญที่วัดบ่อย ๆ ทุกวันพระ ซึ่งทำให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้สนใจในหลักธรรม คำสอนพระพุทธศาสนา
พระมหาวุฒิชัยบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2530 ณ วัดครึ่งใต้ ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมีพระครูโสภณจริยกิจ เจ้าคณะอำเภอเชียงของ วัดศรีดอนไชย เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมา พระมหาวุฒิชัย ได้เข้ารับการอุปสมบทเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ณ วัดครึ่งใต้ โดยมี พระสุนทรปริยัติวิธาน ปัจจุบันคือ พระเทพสิทธินายก (ชื่น ปญฺญาธโร) เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย วัดพระสิงห์ (พระอารามหลวง) เป็นพระอุปัชฌาย์ มี พระครูสมุห์บุญช่วย ฉายา ธมฺมสโร วัดสบสม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูภัทรวรคุณ วัดสถาน เป็น พระอนุสาวนาจารย์ ปัจจุบันพระมหาวุฒิชัยสังกัดวัดพระสิงห์ เชียงราย และจำพรรษาอยู่ที่ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน เชียงราย
การทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา
หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้รับอาราธนาให้เป็นอาจารย์พิเศษของบัณฑิตวิทยาลัย มจร. (2546-2553) สอนวิชาสัมมนาพระพุทธศาสนากับวิทยาการโลกยุคใหม่ (Seminar on Buddhism and New World Perspectives) แก่นิสิตระดับปริญญาโททั้งภาคปกติ (พระภิกษุ) ภาคพิเศษ (คฤหัสถ์) นอกจากนั้นยังได้รับอาราธนาให้เป็นอาจารย์พิเศษระดับปริญญาตรี โท เอก ของมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งของภาครัฐและเอกชนอีกหลายแห่ง รวมทั้งเป็นอาจารย์พิเศษให้กับสถาบันพระปกเกล้า วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร โรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เป็นต้น พร้อม ๆ กับการทำหน้าที่อาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย ท่านยังอุทิศตนทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรูปแบบ “ธรรมประยุกต์” (Applied Buddhism) จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางด้วยผลงานธรรมนิพนธ์ในชุด “ธรรมะติดปีก” (ประกอบด้วยธรรมะติดปีก ธรรมะบันดาล ธรรมะดับร้อน ธรรมะหลับสบาย)
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกในแบบ “ธรรมประยุกต์” หรือ Applied Buddhism ของท่านทำให้เกิดกระแสความตื่นตัวและก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาธรรมะในเมืองไทยอย่างกว้างขวาง ทั้งวงการเทศน์ที่ลดความเข้มขลัง ทางธรรมเนียมนิยมลงมาสู่การเทศน์เชิงปฏิภาณหรือเทศน์ปนทอล์คที่ทำให้การแสดงธรรมกลายเป็นเรื่องทันสมัยมีชีวิตชีวาเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม วงการเขียนหนังสือธรรมะที่หนังสือธรรมะกลายเป็นหนังสือยอดนิยมของคนทุกวัย และวงการวิทยุและโทรทัศน์ที่รายการธรรมะกลายเป็นรายการในช่วงไพรไทม์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ถูกนักสื่อสารมวลชนนิยามว่าเป็นปรากฏการณ์ “ธรรมะอินเทรนด์” ปัจจุบันท่านมีผลงานธรรมนิพนธ์ไม่น้อยกว่า 200 เล่ม (สถิติ ณ พ.ศ. 2557) หลายเล่มได้รับการแปลสู่ภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี ภาษาอินโดนีเซีย ภาษาสเปน ภาษาฝรั่งเศส บางเล่มได้รับการดัดแปลงเป็นบทละครโทรทัศน์ ละครเวที ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ หรือแม้แต่บทโฆษณาเพื่อการปลูกฝังค่านิยมอันดีงามของสังคม
พ.ศ. 2550 ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย อันเป็นสถาบันการศึกษาทางเลือกเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพัฒนาสันติภาพโลก
พ.ศ. 2552 ก่อตั้งศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน เพื่อเป็นธรรมสถานในการ บูรณาการพุทธธรรมเข้ากับทุกกิจกรรมของชีวิตผ่านการจัดคอร์สภาวนาทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ และในปีเดียวกันนี้ท่านยังได้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.dhammatoday.com เพื่อขับเคลื่อนงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลกตามแนวคิด “ธรรมะออนไลน์ เพื่อไทย เพื่อโลก”
พ.ศ. 2555 ก่อตั้งมหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ สถาบันการศึกษาทางเลือกเพื่อการพัฒนาตามปรัชญาพุทธเศรษฐศาสตร์ ในโอกาสธรรมสมโภช 26 ศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนายุกาล และก่อตั้งมูลนิธิวิมุตตยาลัย เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพัฒนาสันติภาพโลก
ปัจจุบันท่านสังกัด วัดพระสิงห์ (พระอารามหลวง) ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย และพำนักจำพรรษา ณ ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน บ้านสันป่าเหียง ตำบลห้วยสัก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกด้วยการเขียนหนังสือและการประยุกต์พุทธธรรมเข้ากับทุกกิจกรรมของชีวิตผ่านการจัดคอร์สภาวนาทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศตามแนวทางแห่งอานาปานสติของพระพุทธองค์
ตำแหน่งปัจจุบัน
ประธานมูลนิธิวิมุตตยาลัย
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
ผู้ก่อตั้งและอธิการบดีมหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์
ผลงานหนังสือสร้างชื่อ
ธรรมะติดปีก
ธรรมะหลับสบาย
ธรรมะดับร้อน
ธรรมะบันดาล
ธรรมะรับอรุณ
ธรรมะราตรี
ปรัชญาหน้ากุฏิ
ปรัชญาหน้าบ้าน
DNA ทางวิญญาณ
ตายแล้วเกิดใหม่ตามนัยพระพุทธศาสนา
อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
เกิดวันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2498 ที่หมู่บ้านเล็กๆ ยากจน ที่ไม่มีไฟฟ้า ชื่อหมู่บ้านร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย และได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ในปีพุทธศักราช 2554 เป็นศิลปินที่ทุ่มเทให้กับพระพุทธศาสนา หรือเรียกได้ว่าเป็น "จิตรกรพุทธศิลป์"
อาจารย์เฉลิมชัยเป็นลูกคนที่3 มีพ่อเป็นคนจีน ชื่อ ฮั่วชิว แซ่โค้ว (ภายหลังเปลี่ยนเป็นนายไพศาล) แม่เป็นคนอำเภอพะเยา (อดีตเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงราย) ชื่อ พรศรี อยู่สุข แม่ไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุลจนบัดนี้ชีวิตตอนเด็ก ๆ เป็นคนเกเร ไม่ตั้งใจเรียน แต่มีความชอบวาดรูป จึงตั้งเป้าที่จะเรียนเพาะช่างและมหาวิทยาลัยศิลปากรให้ได้ ซึ่งสามารถเข้าเรียนได้ และเรียนได้อย่างดีเยี่ยม จนได้รับรางวัลเหรียญทอง จากการประกวดงานระดับชาติ ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นปีที 4 และได้จบการศึกษาจาก คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากรในที่สุดมีอยู่ครั้งนึงที่ได้รับทุนเดินทางไปดูงานต่างประเทศ (ระหว่างปี พ.ศ. 2524 – 2526) เป็นทุนของสถาบันและองค์กรต่างๆ หลายครั้ง เมื่อครั้งที่ได้ไปประเทศอังกฤษ ได้เห็นโบสถ์ที่วัดไทย วัดพุทธปทีป ในกรุงลอนดอน ซึ่งสร้างโดยรัฐบาลนายกฯเกียงศักดิ์ ก็รู้สึกมีความศรัทธา อาจารย์เฉลิมชัยจึงเสนอตัวเพื่อขอเขียนรูปถวายเป็นพุทธบูชา โดยไม่คิดค่าจ้างร่วมกับเพื่อนรุ่นน้องชื่อ ปัญญา วิจินธนสาร โดยใช้ชีวิตกว่า 4 ปีอยู่ที่นั่นท่ามกลางความยากลำบากต่างๆ นานา มีปัญหาสารพัด ผู้คนทะเลาะกัน พระไม่ลงรอยกับกรรมการ ไม่มีเงิน ไม่มีแรงอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ได้อธิษฐานกับหลวงพ่อดำที่อยู่ที่นั่นว่า "เหนื่อยเหลือเกินแล้ว ท้อที่สุด แต่อยากทำให้เสร็จ ขอแลกด้วยชีวิตก็ยอม" และหลังจากนั้น อาจารย์ก็ได้พบกับพลเอกเปรมที่มาเยี่ยมที่ลอนดอนพอดี การทำงานนั้นจึงได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจาก พลเอกเปรม จนสำเร็จ และอาจารย์เฉลิมชัยจึงมีความรู้สึกว่า หลวงพ่อดำจะประธานให้แต่โชค และไม่ต้องการชีวิตของอาจารย์ตอบแทนเมื่อกลับมาเริ่มต้นชีวิตที่เมืองไทย ด้วยเงินติดกระเป๋าเพียง 4000 บาท แต่ด้วยฝีมือการวาดภาพที่เข้าขั้นสามารถทำเงินได้มหาศาลภายในเวลาอันสั้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่อาจารย์เฉลิมชัยบอกว่าเกลียดตัวเองที่สุด เพราะเต็มไปด้วยกิเลส ลุ่มหลง กามารมณ์ แต่หลังจากติดบ่วงทางโลกได้ 2-3 ปี อาจารย์เฉลิมชัย ก็เริ่มหันเข้าสู่ธรรมะ บวชและออกธุดงค์อยู่ตามป่าช้า และหลังจากสึกออกมาก็ไม่เคยทำความเลวใดอีกเลยอาจารย์เฉลิมชัย ได้มีโอกาสถวายงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยร่วมในทีมวาดรูปประกอบหนังสือพระมหาชนก เลยมีความประทับใจ และรู้สึกว่าชีวิตนี้พร้อมจะถวาย เพื่อสร้างงานซักชิ้นไว้คู่พระบารมีนอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง และเป็นประธานกลุ่ม ศิลปไทย 23 โดยภาพจิตกรรมของอาจารย์เฉลิมชัยเป็นการนำเอาจิตวิญญาณของยุคสมัยมาผนวกให้เข้ากับศิลปะโบราณ ที่สืบทอดกันมาหลายช่วยอายุคน เกิดเป็นจิตกรรมไทยร่วมสมัยที่เปี่ยมไปด้วยพลัง และเขายังศึกษาเรื่องราวของความเชื่อของไทย และความเชื่อทางพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ เพื่อจะนำมาถ่ายทอดให้คนยุคปัจจุบันได้รู้จักและเข้าใจ งานของเขามีความละเอียดปาณีต และงดงามสดใสด้วยสีสมัยใหม่ จากกลุ่มศิลปไทย 23 นี้เอง จึงเกิดมีแนวนิยมจิตกรรมไทยแนวพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ แบะมีศิลปินที่ยึดแนวนี้ต่อมาจำนวนมาก
เกิดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2495 ณ บ้านเลขที่ 45/1 บ้านแม่ใจปง ตำบลแม่ใจ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย (หรือในปัจจุบันคือ อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา) เป็นบุตรชายคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้อง 6 คน (องอาจ สว่าง แสวง ถวิล ฉลอง เฉลิม) ของนายบุญมี และนางคำมา พินิจสุวรรณ
อาจารย์ฉลอง พินิจสุวรรณ เคยรับราชการครูโรงเรียนมัธยม กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ รวม 28 ปี และได้ลาออกจากราชการเพื่ออุทิศตนในการทำงานศิลปะ
"หอศิลป์ไตยวน" ตั้งอยู่ บ้านเลขที่ 250 หมู่ที่ 15 ถนนราชโยธา ซอย 3 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย 57000ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2548 เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ในด้านศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นทั้งในอดีต ปัจจุบัน และแบบร่วมสมัยให้กับคนในท้องถิ่นได้ศึกษาเรียนรู้และหาประสบการณ์ อาคารหอศิลป์มีลักษณะเป็นบ้านไทย 2 ชั้น โดยแสดงผลงานของอาจารย์ฉลอง พินิจสุวรรณ และเพื่อนศิลปิน มีทั้งภาพคน ภาพวิถีชีวิต ภาพเกี่ยวกับศาสนา รวมถึงภาพที่ให้แง่คิดต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นภาพที่วาดขึ้นด้วยปากกาลูกลื่นเพียงอย่างเดียว ได้รับแรงบันดาลใจจาก ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ เอกลักษณ์ของงานอยู่ตรงที่ใช้ปากกาลูกลื่นฝนจุดให้เป็นวงกลมเล็ก ๆ ในการสร้างรูป
ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2559 สาขาศิปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน-ช่างฟ้อน)
แม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2489 มีภูมิลำเนา อยู่ที่บ้านศรีทรายมูล ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัด เชียงราย โดยชื่อเดิมคือ "บัวเรียว สุภาวสิทธิ์"
พ.ศ. 2497 เด็กหญิงบัวเรียว สุภาวสิทธิ์ ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านการฟ้อนมาจากบิดา คือ นายกุย สุภาวสิทธิ์ ตั้งแต่ อายุประมาณ 7-8 ขวบ ได้แก่ การฟ้อนดาบ ฟ้อนเชิง และการฟ้อนสาวไหม เป็นฟ้อนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอากัปกิริยาของการทอผ้าฝ้ายของคนในสมัยโบราณ ซึ่งกระบวนการทอผ้าฝ้ายนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ การเก็บดอกฝ้าย การตากดอกฝ้าย การอีดฝ้าย การดีดฝ้ายให้ฟู ปั่นออกมาจนเป็นเส้นจนกระทั่งนำไปทอเป็นผืนผ้า โดยท่ารำได้รับการปรับแต่งมาจากการฟ้อนเชิงของผู้ชาย จากแรงบันดาลใจดังกล่าว นายกุย สุภาวสิทธิ์ จึงนำมาประดิษฐ์เป็นท่ารำต่างๆ ขึ้นมาและได้ถ่ายทอดให้กับบุตรสาว
พ.ศ. 2499 นอกจากการฟ้อนสาวไหมแล้ว แม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ยังมีความสามารถในการฟ้อนต่างๆ ได้อย่างงดงาม เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนศรีนวล ฟ้อนยวนรำพัด ฟ้อนสร้อยแสงแดง ฟ้อนเงี้ยว เป็นต้น ฟ้อนเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดจาก นายโม ใจสม ซึ่งเป็นนักดนตรีและนาฏกร ชั้นครูมาจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และเป็นอดีตทหารกองมหรสพ หลังจากปลดประจำการเสร็จสิ้นสงคราม นายโม ได้ไปพำนักอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ และย้ายมาอยู่เชียงราย คือ วัดศรีทรายมูล นายโมจึงได้ทำการฟื้นฟู วงปี่พาทย์พื้นเมือง (วงเต่งถิ้ง) ให้กับคณะศรัทธาวัดศรีทรายมูลและได้ถ่ายทอดนาฏศิลป์ไทยประยุกต์ให้กับช่างฟ้อนในคณะด้วย จึงทำให้คณะดนตรีและช่างฟ้อนวัดศรีทรายมูลในยุคนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วจังหวัดเชียงราย หมายรวมถึง จังหวัดพะเยาในปัจจุบันด้วย ทุกครั้งที่มีงานปอยหลวง (งานปอยหลวง คือ งานเฉลิมฉลองสิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัด) งานตานก๋วยสลาก ตามวัดต่างๆ ที่ได้เชิญให้เข้าร่วมงาน วงปี่พาทย์ศรีทรายมูล ควบคุมโดยนายโม ใจสม จะเป็นผู้บรรเลงเพลงลาวสมเด็จ ให้กับนางบัวเรียว ประกอบการฟ้อนสาวไหม (ซึ่งเดิมนายกุย สุภาวสิทธิ์ ได้ใช้ วงดนตรีสะล้อซอซึง บรรเลงเพลงปราสาทไหว ในการฟ้อน) ทำให้เกิดความประทับใจแก่ผู้ชมทุกครั้ง จนกระทั่งคณะดนตรีและช่างฟ้อนวัดอื่นๆได้ยินเพลงลาวสมเด็จ และเห็นการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวบ่อยขึ้น จึงนำเพลงลาวสมเด็จไปบรรเลงจนกลายเป็นทางเพลงสาวไหมเชียงราย ในปัจจุบัน
ประมาณ ปี พ.ศ. 2510 - 2512 การฟ้อนสาวไหมได้รับการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางทั้งการแสดงในงานต่างๆ ของจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ กรุงเทพ และการเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ลำปาง อย่างต่อเนื่อง ได้รับการยอมรับและขอบคุณจากหน่วยงานต่างๆ ผู้ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการส่งเสริมการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายอีกท่านคือ นายชาญ สิโรรส (นายกสมาคมยุวพุทธสถานจังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งได้พบเห็นการฟ้อน สาวไหมของนางบัวเรียว ที่จังหวัดเชียงรายจึงได้เชิญให้นางบัวเรียวไปเผยแพร่การฟ้อนสาวไหม ณ จังหวัดเชียงใหม่และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือ โดยเชิญให้นางบัวเรียวไปพักอยู่ ณ โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่เป็นระยะเวลา 2 ปี ในระหว่างปีพ.ศ. 2512 นางบัวเรียว จึงได้กลับมาอยู่ที่บ้านเดิมคือจังหวัดเชียงรายได้สมรสกับ นายโสภณ รัตนมณีภรณ์ และมีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นางสาวสายไหม นางสาวสายชล และนางสาวสนธยา รัตนมณีภรณ์ ขณะการสร้างฐานะทางครอบครัว นางบัวเรียว ได้ประกอบสัมมาอาชีพด้วยการเป็นแม่ค้าขายไข่ในตลาดสดเมืองเชียงราย แต่ก็มิได้ละทิ้งการฟ้อนสาวไหมและฟ้อนพื้นบ้าน
ปี พ.ศ. 2537 นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้เข้าไปมีบทบาทในการถ่ายทอดการฟ้อน สาวไหม ให้กับสถาบันการศึกษาอีกครั้ง โดยการเป็นเป็นวิทยากรพิเศษของชมรมพื้นบ้านล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งชมรมพื้นบ้านล้านนา ได้ตั้งวัตถุประสงค์ในการค้นคว้าการฟ้อนพื้นบ้านทำให้การฟ้อนของนางบัวเรียว เข้าไปมีบทบาทอย่างมากในการฟ้อนพื้นบ้านล้านนา และนางบัวเรียวได้รับใบประกาศยกย่องให้เป็น แม่ครู ของชมรมพื้นบ้านล้านนา โดยการนำของ อาจารย์สนั่น ธรรมธิ นักวิชาการวัฒนธรรม ของสำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมทีมงาน ทำให้การฟ้อนสาวไหมได้ถูกรื้อประวัติ ที่มา ของการฟ้อนในเชิงวิชาการเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ที่เกิดจากการฟ้อนเชิงของล้านนา ผสมผสานจินตนาการในกระบวนการทอผ้าฝ้าย ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวล้านนาในสมัยโบราณ แฝงด้วยกระบวนการการฟ้อนเชิงที่เข้มแข็ง อ่อนช้อย ทำให้การฟ้อนสาวไหมเป็นที่รู้จักในวงการฟ้อนล้านนามาจนถึงปัจจุบัน จากการที่เป็นต้นแบบในการฟ้อนสาวไหม และได้ถ่ายทอดให้เยาวชนรุ่นหลังจนมีลูกศิษย์มากมาย ตลอดจนนำออกแสดงเผยแพร่ไปทั่วทั้งแผ่นดินล้านนา นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ จึงขอจดลิขสิทธิ์ประวัติความเป็นมาของการฟ้อนสาวไหม ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2542 ตามคำขอเลขที่ 7184 ชื่อผลงาน “ฟ้อนสาวไหม”
นางบัวเรียวก็ทำหน้าที่เป็นวิทยากรสอนนาฏศิลป์พื้นบ้าน ทั้งการฟ้อนไทยประยุกต์ ฟ้อนสาวไหม จนเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฟ้อนสาวไหม กลายเป็นเอกลักษณ์การฟ้อนของชาวบ้านศรีทรายมูล และจังหวัดเชียงราย จวบจนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามตลอดชีวิตครึ่งทางของนางบัวเรียว ตั้งแต่เติบโตจนถึงปัจจุบันมีความผูกพันมุ่งมั่นในการสอน ด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา มุมานะพยายามปรับปรุงกระบวนท่าเหล่านี้จนเห็นว่าเหมาะสมและเป็นมาตรฐาน ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ เผยแพร่ศิลปะการแสดงของชาติ ด้วยจิตสาธารณะ จวบจนปัจจุบันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 50 ปี มีลูกศิษย์จากรุ่นสู่รุ่น ไม่น้อยกว่า 100 รุ่น ซึ่งกระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ และต่างประเทศ ถ้านับเป็นรายคนแล้ว ไม่น้อยกว่า 10,000 คน ที่ตนเองได้เป็นผู้สอน
อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี
อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี เกิดวันพุธที่ 27 กันยายน 2482 ที่อำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย และจากไปเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557 ด้วยอายุ 74 ปี
อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี เป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 4 คน ได้เรียนหนังสือระดับประถมที่โรงเรียนเชียงรายพิทยาคม ต่อมาผู้เป็นพ่อได้ย้ายไปปฏิบัติงานสรรพสามิตที่อำเภอเมืองพะเยา (ปัจจุบันยกฐานะเป็นจังหวัดพะเยา) พ่อจึงพอบหิ้วพาอาจารย์ถวัลย์ ไปเรียนต่อชั้นประถมที่โรงเรียนบุญนิธิ แล้วย้ายไปเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนพะเยาพิทยาคม จนเมื่อพ่อย้ายกลับเชียงรายจึงเข้าเรียนที่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จนจบชั้นมัธยม 6 (สมัยนั้นคือ ม.ศ. 3)อาจารย์ถวัลย์มีแวววาดรูปเก่งมาตั้งแต่เด็ก ขณะเรียนชั้นประถมอายุ 8 - 9 ขวบ ก็สามารถวาดตัวละครรามเกียรติ์ได้ทุกตัว หลังจากเรียนจบ มัธยม 6 หรือ ม.ศ. 3 ในสมัยนั้นจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 16 ปี พ่อของอาจารย์ถวัลย์ตั้งใจจะฝากให้เข้าทำงาน แต่อาจารย์ถวัลย์ด้วยความที่สนใจอยากเป็นช่างวาดรูป จึงสอบชิงทุนของกระทรวงศึกษาไปเรียนต่อที่โรงเรียนเพาะช่าง ที่กรุงเทพฯ ในอายุเพียง 14 ปี ขณะที่อาจารย์ถวัลย์เรียนอยู่เพาะช่าง เขาจะใช้เวลาว่างไปศึกษาเรียนรู้นอกโรงเรียน เช่นที่ห้องสมุดบริติชเคาน์ซิล ซึ่งตั้งอยู่ที่ตีนสะพานพุทธยอดฟ้า และไปที่ห้องสมุดฝรั่งเศสและเยอรมันด้วย เรียนอยู่เพาะช่างแค่ 3 ปี ก็สามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ทั้ง ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน และได้เป็นนักเรียนดีเด่น ด้วยฝีมือการวาดรูปที่แม่นยำ เฉียบคม ฉับไว จึงเป็นหนึ่งในนักเรียนเพาะช่างดีเด่นด้านจิตรกรรมหลังจากนั้น อาจารย์ถวัลย์ ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนพาะช่างในวัย 17 ปี มีความคิดที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ได้เข้าศึกษาต่อที่คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร และได้เป็น ศิษย์รุ่นท้ายๆ ของศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ตอนเรียนอยู่ที่ศิลปากรปีที่หนึ่ง ทำคะแนนวาดรูปได้ถึงหนึ่งร้อย แต่เมื่อขึ้นปีสองกลับได้เพียง 15 คะแนนเท่านั้น โดยศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ได้ให้เหตุผลไว้ว่า "ปลาของนายไม่มีกลิ่นคาว นกของนายแหวกว่ายไปในอากาศไม่ได้ ม้าของนายไม่สามารถที่จะควบหรือวิ่งทะยานออกไปได้ นายเป็นเพียงแค่นักลอกรูป มันไม่ใช่งานศิลปะ" คำวิจารณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้อาจารย์ถวัลย์เปลี่ยงแปลงการทำงานทุกอย่างใหม่หมดจากนั้นอาจารย์ถวัลย์ก้ได้รับการสนับสนุนจากศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ให้สอบชิงทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ด้านจิตรกรรมฝาผนัง อนุสาวรีย์ ผังเมือง และทำปริญญาเอกสาขา อภิปรัชญาและสุนทรียศาสตร์ ที่ราชวิทยาลัยศิลปะ อัมสเตอร์ดัม
Thailand Soft Power Portal | Web Book | ชยวรนครเชียงราย เหนือสุดในสยาม 2568