ภูมิปัญญาชาวบ้าน
ภูมิปัญญาชาวบ้าน
เป็นภาษาถิ่นของจังหวัดในภาคเหนืองของไทย ซึ่งภาษาถิ่นนั้นถือว่าเป็นภาษาที่สวยงาม บ่งบอกถึงวัฒนธรรม เอกลักษณ์ ลักษณะความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของผู้คน ในท้องถิ่นของแต่ละภาค ของแต่ละที่ได้เป็นอย่างดี โดยภาษาถิ่นเป็นภาษาย่อยที่ใช้พูดจากันในท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากการใช้ภาษาเพื่อการสื่อความหมาย ความเข้าใจกันระหว่างผู้คนที่อาศัยอยู่ตามท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากมาตรฐาน หรือภาษาที่คนส่วนใหญ่ของแต่ละประเทศใช้กัน
คำเมืองยังสามารถแบ่งออกเป็นสำเนียงล้านนาตะวันตก (ในจังหวัดเชียงใหม่, ลำพูน และแม่ฮ่องสอน) และสำเนียงล้านนาตะวันออก (ในจังหวัดเชียงราย, พะเยา, ลำปาง, อุตรดิตถ์, แพร่ และน่าน) ซึ่งจะมีความแตกต่างกันบ้าง คือ สำเนียงล้านนาตะวันออกส่วนใหญ่จะไม่พบสระเอือะ เอือ แต่จะใช้สระเอียะ เอียแทน (มีเสียงเอือะและเอือเพียงแต่คนต่างถิ่นฟังไม่ออกเอง เนื่องจากเสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงนาสิกใกล้เคียงกับเอียะ เอีย) ส่วนคนในจังหวัดลำพูนมักจะพูดสำเนียงเมืองยอง เพราะชาวลำพูนจำนวนมากสืบเชื้อสายมาจากชาวยองในรัฐชาน จึงมีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์
ไทลื้อ จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่มากกลุ่มหนึ่งจากการสำรวจพบว่ามีการตั้งถิ่นฐานกระจาย ตัวกันอยู่หลายประเทศ นับตั้งแต่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า ทางตอนใต้ของจีน ภาคเหนือของลาว ไทย และเวียดนามในประเทศพม่ามีชาวไทลื้ออยู่กันประมาณ 300,000 คนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถบเมืองยอง เมืองผู้ เมืองหลวย เมืองเชียงลาบ เมืองไร เมืองพยาก เมืองโก เมืองโต๋น เมืองเล็น และเมืองเชียงตุงสำหรับชาวไทลื้อในประเทศจีนนั้นมีประมาณ 400,000 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในดินแดนตอนใต้ของจีนที่เรียกว่าสิบสองปันนา ชื่อนี้มีตำนานที่มานะครับ คือมาจากชื่อเดิมว่า "สิบสองพันนา" อันมีความหมายจากการรวบรวมดินแดนใหญ่น้อยเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในราวปี พ.ศ. 2122-2126 จึงมีการแบ่งเขตปกครองออกเป็น 12 หัวเมือง กำหนดให้แต่ละ หัวเมืองต้องจัดให้มีที่ทำนาสำหรับเชื้อพันธุ์ข้าวให้ได้ 1,000 หาบข้าว จึงเป็นที่มาของชื่อ "สิบสองพันนา" และเพี้ยนมาเป็น "สิบสองปันนา" ในปัจจุบันส่วนในประเทศลาวมีประมาณ 134,000 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่แขวงหลวงน้ำทา เมืองเวียงพูคา แขวงบ่อแก้ว เมืองไชยบุรี แถบเชียงฮ่อน เชียงลม หงสา และเมืองหลวงพระบางส่วนในประเทศเวียดนามมีทางตอนเหนือของประเทศแถบเมืองแถงหรือเดียนเบียนฟูประมาณ 4,960 คน แต่ความจริงแล้วน่าจะมีมากกว่านี้อีกหลาย 10 เท่า แต่ตกสำรวจ
สำหรับในประเทศไทยมีชาวไทลื้อตั้งถิ่นฐานอยู่มากที่สุดในหลายจังหวัดภาคเหนือตอนบน คือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำปาง แพร่ น่าน รวมแล้วประมาณ 1,000,000 คนสำหรับการแต่งกายแบบดั้งเดิมของผู้หญิงชาวไตลื้อ คือ สวมเสื้อปั๊ด เป็นเสื้อเข้ารูปเอวลอยแขนยาว สวมเสื้อขลิบด้วยผ้าแถบสีต่าง ๆ ส่วนมากจะนิยมสีแดงมีลายเฉียงป้ายมาผูกกับด้ายช้าย หรือด้านขวาของลำตัว ประดับด้วยกระตุมเงิน นิยมสีดำหรือสีคราม บางตัวอาจมีชับในเสื้อด้วยสีแดงเรียกว่า "เสื้อกับหลองแดง" (เสื้อทบรองแดง) ไว้ใส่ฤดูหนาวนุ่งผ้าซิ่นขวาง เป็นลวดลายแบบต่างๆ เชิงเป็นสีดำเกล้ามวยยอดรูปวงกลมรียก "มวยว้อง" เจาะหูใส่ลานเงิน สวมกำไลเงิน โผกศีรษะด้วยผ้าสีขาวหรือสีชมพู สำหรับการแต่งกายของผู้ชายไตลื้อนั้นสวมกางเกงที่เรียกว่า "เตี่ยวสะดอ" คือ กางเกงทรงขาก๊วย หรือ "เตี๋ยวเป้าโย้ง" ซึ่งมีเป้าลึก มีสามตะเข็บ สวมเสื้อเอวลอยผ่าหน้าสาบเสื้อขลิบด้วยผ้าสีต่าง ๆ ทั้งเสื้อและกางเกงเป็นสีดำหรือสีคราม โพทศีรษะด้วยผ้าสีขาว แต่การพันต่างไปจากหญิง ปัจจุบันการแต่งกายแบบนี้หาดูได้ยากจะพบแต่ในพิธีการเท่านั้น
ผ้าทอของชาวไตลื้อ เป็นเครื่องใช้สอยในโอกาสต่างๆ ตามประเพณีหรือใช้ในพิธีกรรมและวิถีของกลุ่มชน ชาวไตลื้อได้ใช้ผ้าทอที่ทอขึ้นในโอกาสต่างๆ กัน เช่น ผ้าหลบ ผ้าปูที่นอน) ผ้าห่ม หมอน ถุงย่าม ตุง (ธง, ผ้าทิพย์) ผ้านุ่ง ผ้าห่อคัมภีร์ หรือแม้กระทั่งผ้าที่เป็นเครื่องนุ่งห่มของพระสงฆ์ เป็นต้น
คนไทยวนหรือไตโยน มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองโยนกเชียงแสนเป็นส่วนใหญ่ ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 1839 พญามังรายได้สถาปนาเมือง “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” เป็นราชธานีกลุ่มคนไทยวนหรือคนไตได้กระจายอยู่ในภูมิภาคที่เรียกว่าอาณาจักรล้านนา ชาวไทยวนมีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรใช้มาเป็นเวลานานแล้ว มีภาษาพูดที่จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาไท-กะได มีสำเนียงใกล้เคียงกับพวกไทลื้อและไทเขิน สำหรับภาษาเขียนในอดีตนั้นจะเขียนลงในสมุดข่อยหรือจารลงบนใบลาน ชาวไทยวนเรียกอักษรนี้ว่า "หนังสือยวน" ปัจจุบันเรียก "ตัวฝักขาม" หรือ "ตัวเมือง" เรื่องราวต่าง ๆ ที่นิยมจดบันทึกลงในใบข่อย หรือ สมุดไทย มักเป็นตำราหมอดู ตำรายาสมุนไพร เวทมนตร์ และคาถาต่าง ๆ ส่วนเรื่องที่จารลงบนใบลาน ส่วนใหญ่เป็นพระธรรมเทศนาและเรื่องราวที่ เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
การแต่งกายที่แสดงความสุภาพเรียบร้อยในระดับปกติทั่วไปทั้งหญิงและชายไทยวนก็จะเอาผ้าผืนใหญ่ผืนหนึ่งมาคลุมไหล่ หรือไม่ก็คลุมตัว เรียกว่า "ผ้าตุ๊ม" หรือ "ผ้าต้วบ" คือ ผ้าใช้ห่มคลุมร่างกายเหมือนผ้าคลุมไหล่ในปัจจุบัน ผ้านี้มีหลายประเภทหลายชื่อแล้วแต่ละท้องถิ่น บางครั้งก็เรียกแตกต่างกันไปตามลวดลายบ้าง ตามสีสันบ้าง ตามพื้นที่บ้าง อย่างไรก็ตามนิยมทอด้วยฝ้ายสีเอกรงค์ คือ สีขาว สีดำ สีแดง
บางครั้งทอด้วยเส้นฝ้ายสีขาวล้วนเรียกว่า "ผ้าต้วบขาวบาง" แต่ถ้าทอด้วยผ้าฝ้ายขาวธรรมดาทั้งผืนแล้วมีลายริ้วช่องไฟห่างกันประมาณ 2 นิ้ว แซมด้วยเส้นสีแดงบ้าง สีดำบ้าง หรือสีกรมท่าบ้างจะเรียกว่า "ผ้าต้วบแซง" แต่ถ้าเป็นผ้าห่มที่มีลวดลายเป็นลายตารางสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่บ้าง ขนาดเล็กบ้างสลับกันจะมีชื่อเรียกกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น ไทยวนที่แม่แจ่มเรียกว่า "ผ้าต้วบลายดี" ส่วนไทยวนในพื้นที่อื่นๆ มักเรียกว่า "ผ้าต้วบตาแสง" หรือ "ผ้าตาแสง" ส่วนไทยวนแถบจังหวัดน่านนิยมเรียกว่า "ผ้าตาโก้ง" หรือ "ผ้าต้วบตาโก้ง" แต่ถ้าอยากแสดงความสุภาพในระดับสูงมากขึ้นก็จะใช้ "ผ้าเช็ด" พาดบ่า ผ้าเช็ดที่ว่านี้เป็นผ้าทอมือกว้างประมาณ 1 คืบหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย มีความยาวประมาณ 2 ศอกทอด้วยผ้าฝ้ายพื้นสีขาว ตกแต่งด้วยการจกลวดลายสัตว์มงคลของขาวไทยวน เช่น ช้าง ม้า นาค นก รวมถึงลวดลายพรรณพฤกษาต่าง ๆ ผ้าเช็ดใช้สำหรับพาดบ่าซ้ายหรือบ่าขวาก็ได้ ตามแต่ถนัดเพื่อแสดงถึงความสุภาพเรียบร้อย เช่น การไปวัดไปวา ไปพังเทศน์ฟังธรรม ก็จะใช้ผ้าเช็ดนี้พาดบ่า และในเวลากราบพระก็จะเลื่อนผ้าเช็ดจากไหล่มาปูที่พื้นเพื่อรองรับฝ่ามือที่แบออกขณะกราบ ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อเรียกจากผ้าเช็ดในขณะปูรองการกราบว่า "ผ้ากราบ"
กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มนี้บางครั้งเรียก "ไทหลวง" หรือ "ไตโหลง" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลภาษาไท-กะได และเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดใหอันดับ 2 ของพม่า ส่วนมากอาศัยอยู่ในบริเวณเมืองตองจี รัฐฉาน ประเทศพม่า เป็นหลัก รองลงมา คือ เมืองสีป้อ ล่าเสี้ยว เชียงตุง และท่าขี้เหล็ก บางส่วนอยู่บริเวณดอยไตแลงซึ่งเป็นชายแดนระหว่างไทยกับพม่า มีการแต่งงานและอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย รวมถึงเชียงใหม่เป็นจำนวนหลายแสนคน เพื่อหลบหนีปัญหาทางการเมือง และหางานทำ
ไทใหญ่ มีรัฐปกครองกันเองเป็นแคว้นหนึ่งต่างหาก ขึ้นตรงต่อประเทศพม่า มีเจ้าฟ้าเป็นประมุข เดิมเราเรียกรัฐนี้ว่า "สหรัฐไทยเดิม" ในสมัยที่ไทยได้เข้าทำการยึดครองระหว่างสงครามเอเชียบูรพา ในปี พ.ศ. 2485 มีอาณาเขตกว้างขวาง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศไทย นับตั้งแต่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเป็นต้นไป เป็นอาณาเขตของเงี้ยว ภูมิประเทศของสหรัฐไทยเดิมไม่สม่ำเสมอ บางแห่งเป็นภูเขาสูงชัน บางแห่งต่ำเป็นหนองน้ำ ป่าไปล้อมรอบ มีถนนติดต่อจากเขตไทยไปสู่เชียงตุง ซึ่งเป็นนครหลวงของชาวไทยใหญ่ชาวไทใหญ่ในรัฐฉานมีความใกล้ชิดกับชาวพม่ามากกว่าชาวไทเขินที่อาศัยอยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวกัน เพราะในช่วงที่อังกฤษมีอำนาจปกครองพม่านั้นได้จัดให้มีการเรียนการสอนประวัติศาสตร์พม่าแทนที่ประวัติศาสตร์ไทใหญ่ และเมื่อใดก็ตามที่พม่ามีอิทธิพลทางการปกครองก็จะเกณฑ์ให้ เจ้าฟ้าไทใหญ่ ส่งเจ้าชายและเจ้าหญิงไปยังเมืองหลวงพม่าทำให้เกิดการยอมรับนับถือในวัฒนธรรมพม่าและนำกลับมาเผยแพร่แก่ประชาชนไทใหญ่อีกต่อหนึ่งในรูปแบบของภาษา ดนตรี นาฏศิลป์ และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เช่น เกิดค่านิยมว่าวรรณคดีที่ไพเราะซาบซึ้งควรมีคำภาษาพม่าผูกผสมผสานกับคำภาษาไทใหญ่ เป็นต้นชาวไทใหญ่เดิมนิยมสักหมึกตามตัวด้วยสีดำและแดง ถือว่าเป็นที่สวยงามและน่าเกรงขาม ลายสักเป็นตัวอักษรไทยใหญ่ ลงเลขยันต์และรูปลายสัตว์ต่าง ๆ เพราะ ชาวไทใหญ่มีความเลื่อมใสในลัทธิไสยศาสตร์ ดังนั้น การสักลายจึงไม่ใช่เรื่องความสวยงามแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงความเชื่อในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตอีกด้วย
ในปัจจุบันชาวไทใหญ่มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ โดยมักอาศัยอยู่ตามพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำตามหุบเขา แต่ละหุบเขามักตั้งชื่อเป็นชุมชนระดับหมู่บ้าน หากเป็นที่ราบในหุบเขาที่กว้างใหญ่ ก็อาจจะมีชุมชนขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งเป็นเมือง หมู่บ้านหรือที่ชาวไทใหญ่เรียกว่า ม่าน หรือ ว่าน จะมีขนาดตั้งแต่ 20 หลังคาเรือนขึ้นไปจนถึงขนาด 700-1,000 หลังคาเรือน โดยเมืองมักจะตั้งอยู่ในบริเวณที่มีหมู่บ้านหลาย ๆ หมู่บ้านอยู่ใกล้เคียงกัน และด้านหลังของเมืองมักจะเป็นเชิงเขาหันหน้าเข้าสู่ทุ่งนา
ชาวไทใหญ่ ได้อพยพเข้ามาอยู่ในจังหวัดเชียงรายหลายอำเภอ เช่น ที่อำเภอเมือง บ้านสันป่าก่อ บ้านหัวฝาย อำเภอแม่จัน บ้านต้นฮ่าง บ้านเหมืองฮ่อบ้านสบรวก อำเชียงแสน และที่อำเภอแม่สายมีมากกว่าอำเภออื่น ๆ เพราะเป็นชายแดนติดต่อกัน ชาวไทใหญ่ ได้เข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่ไทยร่วม 70 - 80 ปี และได้กลายมาเป็นชาวเหนือ ขนบธรรมเนียมเดิมก็เปลี่ยนแปลงไป
เป็นตุงที่ทอด้วยกี่กระตุก โดยทอด้วยเส้นด้ายที่ทำจากฝ้ายหรือไหมพรมวิธีการทอตุงชัยจะทอคล้ายกับการทอผ้าทั่วไป แต่จะแตกต่างกันตรงที่การทอผ้าทั่วไปจะใช้เส้นด้ายหรือเส้นไหมทอสลับกับการกระตุกกี่ แต่การทอตุงชัยผ้าทอจะใช้ตอกไม้ที่ห่อด้วยกระดาษเงิน กระดาษทองคั่นกับการทอสลับ การกระตุกกี่ ตอกไม้ที่คั่นนั้นทำมาจากไม้ไผ่แล้วเหลาให้บางๆ กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนความยาวของตอกไม้ขึ้นอยู่กับผู้ทอตุงที่ต้องการความกว้างของตุงเท่าไร แต่ส่วนใหญ่จะกว้างประมาณ 9 นิ้ว เมื่อเหลาตอกไม้เสร็จแล้วก็นำตอกไม้ไปพันด้วยกระดาษเงินหรือกระดาษทอง โดยวิธีการทอตุงชัยจะใช้หลักการแบบการแปรอักษรบนอัฒจันทร์ ซึ่งส่วนที่เราจะให้เห็นเป็นรูปภาพต่างๆ ก็จะไม่ทอไหมพรมทับ แต่จะทอไหมทับส่วนที่เราไม่ต้องการให้เป็นภาพ โดยจะทอสลับด้วยตอกไม้ที่พันด้วยกระดาษเงินหรือกระดาษทองจะแบ่งการทอรูปภาพเป็นช่องๆ ส่วนใหญ่จะทอเป็นช่องที่มีความยาวเป็นเลขคี่ คือ 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง และ 11 ช่อง ตามความต้องการของผู้ทอตุง ซึ่งการทอตุงชัยด้วยตอกไม้ไผ่ ส่วนใหญ่จะทอเป็นรูปต่าง ๆ เช่น รูปปราสาท รูปเจดีย์ รูปช้าง เป็นต้น โดยจะทอแต่ละช่องเป็นรูปเดียวกันทั้งผืน เมื่อทอเสร็จแล้วก็จะนำผ้ามาเย็บเป็นตะเข็บข้างเพื่อเก็บขอบของตอกไม้ไผ่ และนำลูกปัดมาร้อยเป็นตุ้งติ้งติดด้านข้างของตุง เพื่อความสวยงาม ความสวยงามของตุงชัยผ้าทอจะอยู่ที่การทอเป็นรูปต่าง ๆ ที่ทอเป็นสีทองหรือสีเงิน
เป็นศิลปะประจำชนเผ่าของชาวไทลื้อ ที่มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และชาวไทลื้อยังเป็นชนเผ่าที่นับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัดอีกด้วย และมีประเพณีที่สื่อถึงความเชื่อของชาวไทลื้อ คือ การถวายตุง โดยชาวไทลื้อมีความเชื่อเกี่ยวกับอานิสงส์ของการถวายตุงตลอดมา ตามตำนานพื้นบ้านเรื่องกาเผือกหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตำนานพระเจ้าห้าตน ที่เล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน โดยชาวไทลื้อ ส่วนใหญ่อพยพมาจากแคว้นสิบสองปันนาเมื่อหลายร้อยปีผ่านมา โดยเข้ามาอาศัยอยู่ในแถบจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน น่าน พะเยา ลำปาง เป็นต้น ชาวไทลื้อมีศิลปะประจำชนเผ่า คือ การทอผ้าและการทอตุง ชาวไทลื้อในอดีตจะมีกี่ทอผ้าและใช้ทอตุงเกือบทุกครัวเรือน โดยชาวไทลื้อจะทอผ้าไว้สำหรับใช้นุ่งห่มเองและจากความเชื่อของชาวไทลื้อที่มีต่อพุทธศาสนา ชาวไทลื้อจะทอตุงเพื่อถวายวัดทุกปี ในปัจจุบันภาพหรือเสียงของกี่ทอผ้า และทอตุงของชาวไทลื้อนั้นเริ่มลดลงเรื่อยๆ แต่เอกลักษณ์ในการทอผ้าหรือทอตุงนั้นยังคงอยู่ เพราะชาวไทลื้อยังมีความเชื่อและความศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่ว่าต้องทอตุงและนำตุงไปถวายเป็นประเพณีที่ต้องทำและสืบทอดกันต่อไป โดยรูปแบบของการทอตุงชัยของชาวไทลื้อจะแบ่งตามเส้นทางการอพยพของชาวไทลื้อที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย จากการสำรวจของนักวิชาการหลายท่าน พบว่า การอพยพของชาวไทลื้อจากแคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน เข้ามาในประเทศไทย มีเส้นทาง 2 เส้นทาง คือ
เป็นการทำตุงชัยด้วยผ้าที่ไม่มีลวดลายแต่จะใช้ผ้าสีทอง สีเงิน เพื่อความสวยงาม โดยตัดผ้ากว้างประมาณ 9 นิ้ว ยาวประมาณ 4 เมตร แล้วนำตอกไม้ไผ่มาคั่นแบ่งเป็นช่องๆ แล้วเย็บขอบผ้าเพื่อยึดตอกไม้ไผ่ แล้วนำลูกปัดกับดอกไม้พลาสติกมาร้อยเป็นตุ้งติ้งนำมาติดขอบด้านข้างของตุง และร้อยติดปลายตุง เพื่อความสวยงาม การทำตุงชัยที่ทำด้วยผ้า หรือกระดาษสา แล้วใช้กระดาษเงิน กระดาษทองและกระดาษสีต่างๆ ตัดเป็นรูปต่างๆ ติดกับตัวตุง โดยการทำตุงชัยด้วยการตัดกระดาษติดนั้น ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าธรรมดากับผ้าโปร่ง หรือกระดาษสา ใช้ทำเป็นสีพื้นของตุง โดยการใช้ผ้าธรรมดาทำตุงชัย จะใช้ผ้าขาวซึ่งต้องร่างเป็น รูปภาพ ลงในกระดาษสีต่าง ๆ ก่อน แล้วนำมาตัดตามรูปแบบที่วาดไว้จากนั้นจึงนำมาติดบนตัวผ้าที่จะทำตุงโดยแบ่งเป็นช่องๆ รูปภาพส่วนใหญ่ที่ติดจะเป็นรูปภาพพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า เป็นต้น
ถ้ากล่าวถึงดินแดนแคว้นสิบสองปันนา ทุกคนก็จะนึกถึงดินแดนที่ผู้คนมีวิถีชีวิตการดำรงอยู่ศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และยังสืบทอดต่อกันมายาวนาน โดยมีเมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองเอกของแคว้นสิบสองปันนาตั้งอยู่ในมลฑลยูนนาน ประเทศจีน ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ และชาวไทลื้อที่นับถือศาสนาพุทธ จากความเชื่อตามศรัทธาทำให้มีความเชื่อในเรื่องของอานิสงส์ ในการถวายตุง โดยที่ชาวบ้านจะทอตุง และมีเอกลักษณ์ที่เป็นของตนเอง ตุงชัยผ้าทอสิบสองปันนา จะมีลักษณะเด่นคือ การใช้เส้นด้ายดิบในการทอตุงชัย เมื่อทอเสร็จเป็นผืนแล้วเมื่อจับตุงเนื้อผ้าจะมีความหยาบ โดยจะมีการทอตุงชัย อยู่ 2 ลักษณะ คือ การทอตุงแบบทึบ ตุงจะมีความกว้างประมาณ 7 – 12 นิ้ว มีความยาวตั้งแต่ 2 – 4 เมตร รูปที่ทอส่วนใหญ่จะเป็นรูปปราสาท รูปคน รูปช้าง รูปม้า รูปนาค โดยจะทอแต่ละรูปแบ่งเป็นช่องๆ ตุงชัยสิบสองปันนาบางหลังจะทอโดยไม่ลงลาย แต่จะมาขึ้นรูปต่างๆ ตรงส่วนปลายของตุงชัย โดยจะทอแบบไม่มีลวดลายลงมาประมาณ 2 เมตร แล้วจะทอรูปต่างๆ ลงอีก 1 เมตร การทอแบบนี้นิยมทอรูปม้า รูปสิงห์ รูปปราสาท รูปช้าง โดยจะทอลายผักแว่นและลายดอกจันคั่นระหว่างรูปต่าง ๆ ยังมีการทอตุงชัยแบบรูปเดียวโดด ๆ เช่น รูปช้าง รูปนกยูง โดยจะแบ่งทอเป็นสองส่วน คือ จะทอรูปนกยูง 2 ช่อง โดยทอลวดลายให้นกยูงหันหัวเข้าหากัน เมื่อแขวนตุงก็จะนำตุงชัยมาพับครึ่งแล้วนำไม้มาสอดระหว่างกลางทำให้สามารถดูตุงได้จากทั้งสองด้าน
ตุงชัยสิบสองปันนาเป็นตุงที่มีเทคนิคการทอคล้ายกับตุงชัยผ้าทอไทลื้อที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ทั้งในเรื่องของลวดลายที่คล้ายกันคือจะทอเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น รูปช้าง รูปม้า รูปปราสาท รูปนก รูปนาค เป็นต้น ถ้าเรามองย้อนไปในอดีตจะพบว่า ชาวไทลื้อที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยนั้นมีรากฐานมาจากแคว้นสิบสองปันนา โดยอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย เมื่อหลายร้อยปีก่อนแต่ยังคงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของตนเอง โดยยังมีความเชื่อในเรื่องของการถวายตุงเหมือนกันแต่ตุงชัยที่ทอจากสิบสองปันนาจะมีเนื้อผ้าที่แข็งและหยาบกว่าตุงชัยผ้าทอไทลื้อ อาจเป็นความแตกต่างในเรื่องของวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชนแล้วก็เป็นได้
เป็นตุงชัยที่มีผู้ประดิษฐ์คิดขึ้นมา โดยใช้วัสดุที่มีอยู่ในชุมชน ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านไทลื้อบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้กล่าวว่า ชาวไทลื้อในหมู่บ้านจะมีประเพณีที่เคร่งครัด คือ ทุก ๆ ปีในวันสงกรานต์ (ปีใหม่ของชาวล้านนา) คนในหมู่บ้านมีความเชื่อในเรื่องการถวายตุง ถ้าคนในหมู่บ้านออกไปทำงานในต่างจังหวัดเมื่อถึงงานเทศกาลก็จะกลับมายังถิ่นฐานบ้านเกิด เพื่อมาถวายตุงในวันปีใหม่ แต่มีชาวบ้านท่านหนึ่งได้ไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีความศรัทธาที่จะถวายตุงจึงได้ประดิษฐ์ตุงที่ทำจากลูกปัด แล้วส่งมาถวายที่วัดหาดบ้าย ซึ่งลูกปัดที่ทำตุงชัยนั้นเป็นลูกปัดชนิดพิเศษ มีสีสันสวยงามและมีราคาแพง ซึ่งในประเทศไทยจะต้องสั่งซื้อจากกรุงเทพฯ เพียงแห่งเดียว ตุงชัยที่ทำด้วยลูกปัดนี้มีลักษณะคือ มีรูปร่างคล้ายตุงชัยทั่วไป โดยวิธีทำจะเริ่มต้นด้วยการทำกรอบเป็นช่องๆ จำนวน 11 ช่อง ใช้ไม้ไผ่เหลาคั่นระหว่างช่อง ซึ่งจะเป็นคานรับน้ำหนักของลูกปัดที่ร้อยอยู่ด้านบน โดยกรอบจะเย็บด้วยผ้าแถบเล็ก ๆ เพื่อยึดไม้ไผ่ที่คั่นไว้แต่ละช่อง การทำตุงชัยจะต้องร้อย ลูกปัดกับด้ายยาว เทคนิคจะคล้ายกับการร้อยตาข่ายหรือการถักแหโดยจะร้อยลงมาเป็นรูปห้าเหลี่ยม ซึ่งส่วนปลายผูกด้วยใบไม้พลาสติก และจะต้องร้อยลูกปัดทีละช่องจนเสร็จ โดยจะใช้ลูกปัด 2 – 3 สี ร้อยตุง เช่น สีส้ม สีเขียว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีแหล่งอื่นที่ทอตุงชัยจากลูกปัด นั่นก็คือชาวไทใหญ่ ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย วัตถุดิบคือลูกปัด ซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อที่ตลาดอำเภอแม่สาย ซึ่งนำมาจากประเทศจีนอีกทอดหนึ่ง ลูกปัดชนิดนี้มีราคาถูกและมีสีสันสวยงามน้อยกว่าลูกปัดที่ซื้อมาจากกรุงเทพฯ เทคนิคการทำตุงชัยนี้ขั้นตอนแรกจะคล้ายกับที่บ้านหาดบ้าย จะต้องเตรียมกรอบของตุงโดยใช้ไม้ไผ่คั่นเป็นช่องๆ ส่วนใหญ่จะมี 9 ช่อง วิธีการร้อยลูกปัดจะใช้ลูกปัดสีที่ฉูดฉาด ร้อยสลับกันหลายๆ สี เช่น สีแดง สีเขียว สีส้ม สีน้ำเงิน เป็นต้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการทำตุงลูกปัดของชาวไทใหญ่ โดยวิธีการร้อยลูกปัดมี 3 วิธี คือ วิธีแรก ต้องร้อยลูกปัดกับดอกไม้พลาสติกเป็นตุ้งติ้งแล้วผูกติดกับไม้ไผ่ วิธีที่สอง คือ การร้อยลูกปัดเป็นเส้นแล้วนำมาขึงในช่องทั้ง 8 ด้าน ลักษณะคล้ายกับใยแมงมุมวิธีที่สาม จะนำเอากระจกทรงกลมเล็ก ๆ ซึ่งมีกรอบพลาสติก และมีรูตรงขอบของกระจกสำหรับร้อยด้าย สามารถหาซื้อได้ตามตลาดในอำเภอแม่สายแล้วนำมาขึงในช่องให้ตึง โดยทั้ง 3 วิธีนี้จะทำสลับกันจนครบ 9 ช่อง ซึ่งลักษณะเด่นของตุงชัยนี้ คือ ส่วนปลายของตุงจะผูกด้วยอุบะที่ทำเป็นพวงช่อดอกไม้กระดาษ และผูกด้วยพู่สีต่าง ๆ เพื่อความสวยงาม
ถ้ากล่าวถึงตุง ทุกคนอาจเข้าใจว่าเป็นธงของชาวล้านนาทางภาคเหนือที่ทำจากผ้า กระดาษสาหรือวัสดุต่างๆ ที่เมื่อนำมาทำตุงแล้วเมื่อถูกลมจะต้องพัดปลิวสะบัด แต่ยังมีตุงอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า “ตุงกระด้าง” คำว่า “กระด้าง” แปลว่า แข็ง เป็นตุงที่มีลักษณะแข็งและคงทนถาวร ซึ่งวัสดุที่นำมาใช้ทำตุงส่วนใหญ่เป็นวัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่น และความชำนาญในการทำตุง ของท้องถิ่นนั้นๆ บางแห่งทำตุงกระด้างด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก ไม้แดง เป็นต้น โดยการแกะสลักไม้เป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายดอกไม้ ลายนาค ลายนักษัตร 12 ราศี เป็นต้น ด้านข้างจะแกะเป็นลายกนกเป็นชิ้นๆ หัวและปลายของตุงกระด้างมีลักษณะแหลม บางแห่งแกะสลักไม้อีกชั้นมีขนาดเล็กกว่าทับซ้อนบริเวณ ส่วนกลางตุง ขนาดของตุงกระด้างจะขึ้นอยู่กับไม้ที่นำมาทำตุง โดยจะมีขนาดยาวประมาณ 1 เมตร ขึ้นไป ใช้ไม้ทั้งต้นในการแกะสลักตุงกระด้าง เมื่อแกะสลักตุงกระด้างเสร็จแล้ว นิยมทาสีด้วยสีทอง หรือลงรักปิดทอง นอกจากนี้อาจจะประดับด้วยกระจกเงา หรือกระจกสี โดยจะตัดเป็นรูปวงกลม สามเหลี่ยม หรือสี่เหลี่ยม
ตุงกระด้างอาจทำจากวัสดุอีกอย่างหนึ่ง คือ สังกะสีช่องเหล็ก โดยจะฉลุลวดลายต่างๆ ลงบนสังกะสีหรือกะเทาะหรือดันสังกะสีด้านหลังเพื่อให้มีลักษณะนูนออกมาด้านหน้า เป็นรูปร่าง ลวดลายต่างๆ โดยแผ่นสังกะสีที่ทำนิยมใช้สีเงิน หรือสีทองเป็นต้น นอกจากนี้อาจจะระบายสีรูปที่ฉลุหรือดันก็ได้ หรือประดับด้วยกระจกหรือลงรักปิดทองเพื่อความสวยงาม นอกจากนี้ยังมีบางแห่งที่ทำตุงกระด้างด้วยการหล่อปูนซีเมนต์เป็นรูปสัตว์ หรือรูปดอกไม้ แล้วนำกระจกสีหรือกระจกเงาตัดเป็นรูปวงกลม รูปสามเหลี่ยม หรือรูปสี่เหลี่ยมมาวางเรียงกันขณะที่ปูนซีเมนต์ยังไม่แห้ง ซึ่งเมื่อปูนแห้งกระจกก็จะติด ดูแล้วมีความสวยงาม
มีแนวคิดคือการเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ผ่านของเล่นที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ และของเล่นพื้นบ้านที่ผลิตโดยผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ด้วยเชื่อว่า ของเล่นสร้างการเรียนรู้ได้ และการเล่นทำให้เกิดการค้นพบ โดยนำบทเรียนจากการทำงานในพิพิธภัณฑ์เล่นได้กว่าสิบปี มาปรับรูปแบบใหม่เป็นโรงเล่น มีสามเรื่องที่สนใจคือ "สร้างพื้นที่เล่น รักษาของเล่นเก่า และพัฒนาของใหม่" ซึ่งโจทย์ใหม่ในการทำงาน จากทีมงานรุ่นใหม่ในนาม "young maker" ที่ต้องการนำความรู้ด้านการประดิษฐ์และงานกลไกที่สนใจ มาพัฒนาต่อยอด ทำให้ของเล่นที่คุ้นเคยแบบเดิมมีชีวิตชีวา และตื่นตาตื่นใจมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ของเล่นอยู่ได้ยั่งยืน ไม่สูญหายไปพร้อมคนเฒ่าคนแก่ โรงเล่นยังจัดกิจกรรมเวิร์คช้อปหลากหลายผ่านการเล่น และการประดิษฐ์ของเล่น
ผลงานที่ได้รับการยกย่อง
-ปี 2542 ได้รับรางวัลโครงการดี ด้านส่งเสริมพัฒนาการเด็ก จาก ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาเด็กภาคเหนือ กรมสุขภาพจิต ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุข เขต 10
-ปี 2544 รางวัลหมู่บ้านหัตถกรรมดีเด่น จาก มูลนิธิอนุสรณ์หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร
-ปี 2545 รางวัลผลงานดีเด่น ในงานวันนักประดิษฐ์ จาก สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
-ปี2549 รางวัลโครงการผู้อนุรักษ์และรักษาวัฒนธรรมล้านนา(ด้านของเล่นพื้นบ้าน) จาก โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา
-ปี 2554 ได้รับคัดเลือกเป็น หน่วยงานภาคีเครือข่ายเอกชน ดีเด่น ภาคเหนือ ประจำปี 2554 จาก สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ภาคเหนือ
- ปี 2562 รางวัลชนะเลิศของโครงการประกวดนวัตกรรมส่งเสริมการอ่านระดับประเทศ ประจำปี 2561 นวัตกรรมส่งเสริมการอ่านชื่อว่า “เล่นตามพ่อ” รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จาก สำนักงาน กศน.
Thailand Soft Power Portal | Web Book | ชยวรนครเชียงราย เหนือสุดในสยาม 2568