ประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 – 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466) ทรงเป็นต้นราชสกุล "อาภากร" เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด พระองค์ทรงได้รับสมัญญานามว่า "องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย"
พระองค์ทรงเป็นผู้วางรากฐานการบริหารงานของกองทัพเรือ ทรงได้รับการเชิดชูในหมู่ทหารเรือเรียกขานพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" หรือ "หมอพร" และ "พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย" ต่อมาใน พ.ศ. 2536 มีประกาศกองทัพเรือขนานพระนามพระองค์ว่า "พระบิดาของกองทัพเรือไทย" และใน พ.ศ. 2544 แก้ไขเป็น "องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย
ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ได้มีการจัดสร้างศาลและพระอนุสาวรีย์พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ รวมทั้งสิ้น 217 แห่งทั่วประเทศไทย มณฑลทหารบกที่ 44 ค่ายเขตอุดมศักดิ์ จังหวัดชุมพร โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี หรือที่พระตำหนักที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร
พระประวัติ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ แรม 3 ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง โทศก จ.ศ. 1242 ตรงกับวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 มีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เป็นพระโอรสพระองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นพระองค์แรกที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด ป.จ. ธิดาเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวงและเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกันกับ เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ มีพระกนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรองค์อรรคยุพา (สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์) และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส (พระนามเดิม:พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธ์ ต้นราชสกุลสุริยง) พระองค์นับเป็นพระภาดาฝ่ายมารดา (ลูกพี่ลูกน้อง) กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องด้วยพระมารดาของพระองค์กับพระมารดาของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีเป็นพี่น้องกัน และนอกจากนี้พระองค์นับทรงเป็นพระปิตุลา(เสด็จลุง) ใน สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เนื่องด้วยทรงเป็นพระธิดาองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เหตุให้ทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าต่างมารดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อีกด้วย
การศึกษา
ทรงเข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เมื่อมีพระชันษาได้ 13 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ที่ประเทศ สหราชอาณาจักร พร้อมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ทรงเข้าร่วมเป็นนายทหารเรือของราชนาวีหรือ royal navy ใน พ.ศ. 2436 ทรงเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยราชนาวีกรีนนิช ใน พ.ศ. 2439 ต่อจากนั้นทรงศึกษาต่อในโรงเรียนปืนใหญ่ และโรงเรียนตอร์ปิโด จนได้เลื่อนยศเป็นเรือเอก รวมเวลาที่ทรงศึกษาอยู่ใน 6 ปีเศษ
รับราชการ
เสด็จกลับประเทศไทย ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2443 จึงได้รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโท (ปัจจุบันเทียบเท่า นาวาตรี) ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมที่ "กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์" ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ และทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ใน พ.ศ. 2449 พระองค์ได้ทรงแก้ไขปรับปรุงระเบียบการในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ ทรงจัดเพิ่มเติมวิชาสำคัญสำหรับชาวเรือ คือวิชาดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ พีชคณิต อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต เพื่อประสงค์ให้นักเรียนนายเรือสามารถเดินเรือทางไกลในทะเลน้ำลึกได้ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว[
ทรงเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญและโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 ทำให้กิจการทหารเรือมีรากฐานมั่นคง และกองทัพเรือจึงยึดถือวันดังกล่าวของทุกปีเป็น "วันกองทัพเรือ"
นอกจากนี้ยังทรงดำรงตำแหน่งองคมนตรีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระองค์ออกจากราชการอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จึงได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากตำราไทย ทรงเขียนตำราสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง และรับรักษาโรคให้ประชาชนทั่วไปโดยไม่คิดมูลค่า ทรงคิดแต่เพียงค่าครูเท่านั้น ทั้งนี้พระองค์ทรงโปรดให้เรียกพระองค์ว่า "หมอพร"
พ.ศ. 2460 ประเทศสยามได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และกองทัพเรือยังขาดผู้มีความรู้ความสามารถพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จกลับเข้ารับราชการในตำแหน่ง จเรทหารเรือ และดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ
พ.ศ. 2462 ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงพิเศษออกไปจัดหาซื้อเรือในภาคพื้นยุโรป เรือที่จะจัดซื้อนี้ได้รับพระราชทานนามว่า "เรือรบหลวงพระร่วง" ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ นำเรือรบหลวงพระร่วงเดินเรือข้ามทวีปจากสหราชอาณาจักร เข้ามายังกรุงเทพมหานคร ด้วยพระองค์เอง
พ.ศ. 2463 มีพระบรมราชโองการให้เลื่อนพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขึ้นเป็นกรมหลวงมีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิงหนาม ทรงศักดินา 15000 ฯลฯ (คำ "เขตร" ในพระนามเปลี่ยนเป็น "เขต" ด้วย)
ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เล็งเห็นการณ์ไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ สร้างเป็นฐานทัพเรือ เมื่อ พ.ศ. 2465 เนื่องจากทรงเห็นว่า อ่าวสัตหีบเป็นอ่าวที่มีขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อมยิงตอร์ปิโด มีเกาะน้อยใหญ่รายล้อม สามารถบังคับคลื่นลมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ เมื่อเรือภายนอกแล่นผ่านบริเวณนี้จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2466 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ต่อจาก จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นับเป็นตำแหน่งทางราชการตำแหน่งสุดท้ายในพระชนม์ชีพของพระองค์
สิ้นพระชนม์
หลังจากทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือได้ไม่นาน พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้กราบถวายบังคมลาเพื่อเสด็จออกไปรักษาพระองค์ (ลาป่วย) ณ มณฑลสุราษฎร์ เป็นเวลา 1 เดือน เนื่องจากประชวรด้วยโรคประจำพระองค์ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชนิพนธ์ไว้ในพระราชบันทึกส่วนพระองค์ว่า กรมหลวงชุมพรฯ ทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของหม่อมเจ้าถาวรมงคลวงศ์ ไชยันต์ นายแพทย์ใหญ่ทหารเรือ ซึ่งได้วินิจฉัยพระอาการของพระองค์ว่าประชวรด้วยพระโรคเส้นประสาทไม่ปรกติ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงสังเกตเห็นว่า กรมหลวงชุมพรฯ เริ่มทรงพระดำเนินไม่ถนัดมาตั้งแต่งานทำบุญวันคล้ายวันเกิดของเจ้าจอมมารดาโหมด ในรัชกาลที่ 5เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2465 (ตามปฏิทินในขณะนั้น) แล้ว
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้ประทับพักรักษาพระองค์อยู่ที่ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร มณฑลสุราษฎร์ ระหว่างนั้นทรงประชวรแทรกซ้อนด้วยพระโรคไข้หวัดใหญ่ พระอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 เวลา 11 นาฬิกา 40 นาที สิริพระชันษา 42 ปี 5 เดือน มีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2466 ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
กองทัพเรือไทยได้ถือเอาวันที่ 19 พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เป็น "วันอาภากร"
งานพระนิพนธ์
เพลงดอกประดู่ (เพลงสัญลักษณ์ของกองทัพเรือไทย)
เพลงเดินหน้า (เดิมแบ่งเป็น 2 เพลง ชื่อ "เกิดมาทั้งทีมันก็ดีอยู่แต่เมื่อเป็น" และ "เกิดมาทั้งทีมันก็มีอยู่แต่ทุกข์ภัย") สันนิษฐานว่าทรงพระนิพนธ์ขึ้นในช่วงที่ทรงออกจากราชการในสมัยต้นรัชกาลที่ 6
เพลงดาบของชาติ ทรงพระนิพนธ์ไว้เป็นโคลงสี่สุภาพ
เพลงสรรเสริญพระบารมี สำนวนขับร้องของทหารเรือ (ขึ้นต้นว่า "ข้าวรพุทธเจ้า เหล่ายุทธพลนาวา...")
พระคัมภีร์ อติสาระวรรค โบราณะกรรม และปัจจุบันนะกรรม เป็นสมุดข่อยตำราแพทย์ไทยแผนโบราณที่ทรงเขียนด้วยพระองค์เองเมื่อ พ.ศ. 245
หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
สถานที่สักการะเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรมีตามจุดต่างๆในจังหวัดชุมพร
1. ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 41 (ค่ายอาภากรเกียรติวงศ์) จังหวัดชุมพร
ได้รับพระราชทานนามค่ายว่า "อาภากรเกียรติวงศ์" เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2531 ต่อมา ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2537 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศาลดังกล่าว ดังนั้น ศาลกรมหลวงชุมพรฯ แห่งนี้น่าจะสร้างขึ้นในช่วงก่อนวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2537
สร้างขึ้นเพื่อเป็นการน้อมรำลึกและเชิดชูเกียรติแด่พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ทรงเป็น "พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย" และมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานและพัฒนากองทัพเรือให้มีความทันสมัย การที่ศาลกรมหลวงชุมพรฯ ตั้งอยู่หน้า ค่าย ตชด. ชุมพร นั้น เนื่องจากพระองค์ทรงมีความสำคัญต่อจังหวัดชุมพร และประชาชนในพื้นที่ต่างให้ความเคารพนับถือ การสร้างศาลดังกล่าวจึงเป็นการแสดงความกตัญญูและสำนึกในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ นอกจากนี้ ค่าย ตชด. ชุมพร ยังได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ให้ใช้ชื่อว่า "อาภากรเกียรติวงศ์" ซึ่งเป็นพระนามเดิมของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ การใช้พระนามนี้เป็นชื่อค่าย ตชด. ชุมพร แสดงถึงความเคารพและยกย่องในพระเกียรติคุณของพระองค์
2. ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บ้านขุนแสน
ตั้งอยู่หมู่ 1 ตำบลนาซะอัง อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร การเดินทาง จากศูนย์ราชการจังหวัดชุมพร เดินทางไปตามถนนสาย ชพ 1007 เป็นระยะทาง 300 เมตร กลับรถใช้ถนนสาย ชพ 4058 อีก 1.4 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนสาย ชพ 5060 เป็นระยะทาง 1.1 กิโลเมตร ความโดดเด่นทางวัฒนธรรมศาลเสด็จในกรมฯ หรือศาลพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตั้งอยู่ ณ บริเวณริมคลองชลประทาน บ้านขุนแสน หมู่ที่ 1 ตำบลนาซะอัง อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่สักการะบูชาและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระราชกรณียกิจและเกียรติคุณที่ทรงทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาตินานัปการ ซึ่งกองทัพเรือได้เทิดพระเกียรติให้พระองค์ท่านเป็นองค์พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทยนอกจากนั้นยังทรงให้ความสนใจวิชาการแพทย์แผนไทย ทรงเปิดวังของพระองค์เป็นห้องทดลอง โดยให้สัตว์กินก่อน เมื่อได้ผลจึงมาใช้กับคน และออกรักษาประชาชนผู้ยากไร้โดยไม่คิดทั้งค่ารักษาและค่ายา ต่อมาจึงทรงเปิดวังของพระองค์เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ บางครั้งก็ทรงนุ่งโสร่งแดง ไม่ใส่เสื้อ มีผ้าขาวม้าพาดบ่า ออกรักษาคนไข้ ทรงตรวจโรคด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ มีการตรวจเลือดและใช้กล้องตรวจโรค แต่ให้ยาแพทย์แผนไทย พระองค์ไม่ประสงค์ให้ใครเรียกว่า “เสด็จในกรมฯ” แต่โปรดให้เรียกว่า “หมอพร” หลังจากการค้นคว้าศึกษาอย่างจริงจังทั้งยังมีภาคปฏิบัติแล้ว จึงได้ทรงเขียนตำรายาแพทย์ไทยแบบโบราณไว้เล่มหนึ่ง โดยทรงค้นคว้ามาจากคัมภีร์ยาเก่าๆ ซึ่งทรงนำมาทดลองใช้ได้ผลแล้ว บันทึกไว้ในสมุดข่อยในชื่อว่า “พระคัมภีร์ อติสาระวรรคโบราณะกรรม และปัจจุบันณกรรม” การจัดการท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวสามารถเข้าสักการะบูชาและกราบไหว้ขอพร โดยจะมีการจัดเตรียมธูปเทียนเอาไว้ และนักท่องเที่ยวสามารถนำดอกกุหลาบสีแดงมาสักการะบูชาได้ และสามารถจุดประทัดในสถานที่ที่มีการจัดเตรียมไว้ในการจุดถวายเพื่อความเป็นสิริมงคล
3. ศาลกรมหลวงชุมพร (หน้าวัดเขากล้วย)
ตั้งอยู่หมู่ที่ 10 บ้านเขากล้วย ตำบลหาดพันไกร อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร บริเวณหน้าวัดเขากล้วยติดกับถนนเพชรเกษม ข้างสำนักงานหมวดทางหลวงชุมพร ฝั่งขาขึ้นกรุงเทพมหานคร วัดเขากล้วย เดิมเป็นวัดร้าง มีเจดีย์เก่าและหลวงพ่อดำ ตั้งอยู่กลางทุ่งนา ต่อมาในราวปี พ.ศ. 2520 มีพระสงฆ์ร่วมกับชาวบ้านร่วมกันบูรณะและก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ และได้ทำเรื่องขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษา ในปี พ.ศ. 2525 และมีเจ้าอาวาสรูปแรก คือพระครูสุนทรธรรมประทีป (บัณฑูรย์) ท่านเจ้าอาวาสได้นำพาคณะชาวบ้านสร้างเสนาสนะจนครบถ้วนสมบูรณ์ วัดเขากล้วยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2530 เนื่องจากวัดอยู่ติดถนนเพชรเกษม จึงได้นำเงินบริจาคของชาวบ้านสร้าง พระบรมรูปพระปิยะมหาราช และ พระบรมรูปกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขนาดเท่าองค์จริง และศาลา เพื่อเป็นที่สัการะของประชาชนที่สัญจรไป ในปีเดียวกัน ต่อมาปี วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563 พระอาจารย์ณริชธันร์ อรุโณ (พระครูสังฆรักษ์) ได้มอบพระบรมรูปกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์ใหม่ให้กับทางวัดเขากล้วย โดยมี พระครูบรรหารธรรมสิทธิ์ (วรรณไชย สิริวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดเขากล้วย เจ้าคณะตำบลนาทุ่ง เป็นผู้รับมอบ และนายสุริยา ประมงค์ ตัวแทนดำเนินการสร้างศาลและหาทุนทรัพย์บูรณะศาลใหม่
4. ศาลกรมหลวงชุมพรฯ หัวเขาถ่าน สวี
ศาลกรมหลวงชุมพร หัวเขาถ่าน ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เป็นที่ประดิษฐานของพลเรือเอกพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรณ์เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ทุกคนต้องแวะมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล อีกหนึ่ง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้ามาบูชา เป็นพระตำหนักที่สร้างขึ้นบนทำเลเนินเขาบริเวณที่เรียกว่า "หัวเขาถ่าน" ใกล้กับ หาดทรายรีสวี ทำให้สามารถมองเห็นวิวทะเลโดยรอบ มีทัศนียภาพที่สวยงาม และถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิว ที่น่าสนใจของจังหวัดชุมพร การเดินทางค่อนข้างสะดวกถนนลาดยางตลอด จากตัวอำเภอสวี เส้นทาง สวี-บ่อคา แยกตรงสามแยกโรงเรียนบ้านหนองปลา หรือตรงไปเส้นบ่อคาเลี้ยวขวาตรงสามแยกท้องเกร็งผ่านโรงเรียนด่าน สวีวิทยาสู่หาดทรายรีสวี อีกประมาณ 8 กม.ก็จะถึงที่ตั้งตัว พระตำหนักซึ่งรถสามารถขับขึ้นไปถึงตัวศาลได้
5. ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ แหลมแท่น
ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ แหลมแท่น สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2516 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของเสด็จเตี่ย ที่ทรงมีต่อกองทัพเรือไทยและปวงชนชาวไทย สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนแหลมแท่น ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของป้อมปืนเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อป้องกันการรุกรานจากต่างชาติ เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ที่สวยงาม ภายในประดิษฐานพระรูปหล่อของเสด็จเตี่ยในเครื่องแบบทหารเรือเต็มยศ ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ การงาน และการศึกษา
6. ศาลกรมหลวงชุมพรฯปากน้ำตะโก
เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. 2517 ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรในสมัยนั้น คือนายประชุม บุญประคอง ได้เดินทางมาประชุมราษฎรในท้องที่ตำบลปากตะโก เพื่อชี้แจงนโยบายของทางราชการ ได้ปรารภกับราษฎรในที่ประชุมว่า ชายหาดแห่งนี้มีความสวยงาม สมควรที่จะได้จัดให้มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหรือสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดชุมพรแห่งหนึ่ง และควรจะได้สร้างสิ่งซึ่งเป็นที่รวมศรัทธาของประชาชนในเขตนี้ รวมทั้งผู้ที่มาจากที่อื่น ประชาชนผู้สูงอายุได้เสนอว่า สถานที่แห่งนี้ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้เคยเสด็จมาเยี่ยมเยียนก่อนเสด็จสิ้นพระชนม์ จึงเห็นสมควรที่จะสร้างศาลกรมหลวงชุมพรขึ้น ที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้ทำการก่อสร้างศาลกรมหลวงชุมพร เพื่อเทิดทูนพระเกียรติและวีรกรรมในกรมหลวงชุมพร ทั้งยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้ศรัทธาทั้งหลาย ที่ได้เดินทางมาท่องเที่ยว ยังจะทำให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจและการคมนาคมของท้องถิ่นต่อไปในอนาคต โดยให้อยู่ในความอุปการะของจังหวัดชุมพร และมอบให้สุขาภิบาลปากตะโกร่วมกับสมาคมปากตะโกดำเนินการให้สัมฤทธิ์ผลต่อไป โดยได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการขึ้นคณะหนึ่ง อันมีผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรเป็นประธาน คณะกรรมการที่ปรึกษาอันมี พลเอกครวญ สุทธานินทร์ เป็นประธาน และมีคณะอนุกรรมการดำเนินการก่อสร้างคณะหนึ่ง ประกอบด้วยข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ในเขตกิ่งอำเภอทุ่งตะโกและอำเภอสวี โดยมีนายจรัล ปรกติ นายกสมาคมชาวประมงปากตะโก เป็นประธานอนุกรรมการ คณะกรรมการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการประกอบพิธีเททองหล่อพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสดุ้งมารขนาดหน้าตัก 19 นิ้ว และพระรูปอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ขนาดเท่าพระองค์จริง สูง 173 เซนติเมตร ในพระอริยาบถประทับยืน ทรงเครื่องแบบเต็มยศทหารเรือ โดยนายสนั่น ศิลากร อาจารย์กรมศิลปากรเป็นผู้ปั้นแบบจำลอง สำหรับพระประธาน และพระรูปอนุสาวรีย์ นายถวิล อินทด เป็นผู้ดำเนินการหล่อที่วัดชลธีพฤกษาราม ตำบลปากตะโก กิ่งอำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2519 การดำเนินการได้แล้วเสร็จเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 โดยสิ้นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 274,000 บาท แยกออกเป็น ค่าหล่อพระพุทธรูปพระประธาน 10,000 บาท ค่าหล่อพระรูปอนุสาวรีย์ 30,000 บาท ค่าก่อสร้างอาคารศาลกรมหลวงชุมพร 234,000 บาท นอกจากนี้ยังได้สร้างวัตถุมงคล เป็นเงิน 517,392 บาท ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้มาจากผู้มีจิตศรัทธาในบารมีของกรมหลวงชุมพรบริจาคและเช่าบูชาวัตถุมงคล คณะกรรมการได้กำหนดฤกษ์ในการทำพิธีพุทธาภิเษกพระประธานและพระรูปอนุสาวรีย์ขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2522 จนถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2522 รวมระยะเวลา 4 วัน 5 คืน การสร้างพระรูปอนุสาวรีย์และศาลประทับ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ สำเร็จขึ้นเพราะความสามัคคีโดยแท้ เพราะนอกจากได้รับความร่วมมือจากข้าราชการ ทหาร และพลเรือนแล้ว ยังได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากพ่อค้าประชาชนทั่วไปที่เคารพนับถือในกรมหลวงชุมพรอีกด้วย จึงถือว่าเป็นนิมิตอันดีในการระลึกถึงพระเกียรติคุณของพระองค์ท่านแต่ในอดีต พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารในขณะนั้น เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศาลพระรูป พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ณ ศาลบริเวณหาดอรุโณทัย ตำบลปากตะโก กิ่งอำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2522
7. ศาลกรมหลวงชุมพรฯปากน้ำหลังสวน
ตั้งอยู่บริเวณริมชายหาดแหลมสน สร้างเป็นรูปเรือจำลองจักรีนฤเบศร เรือจำลองมีขนาด กว้าง 29 เมตร ยาว 79 เมตร สูง 6 เมตร สร้างจากความศรัทธาของประชาชน โดยเฉพาะคนในชุมชนปากน้ำหลังสวนได้เสียสละทั้งทรัพย์และแรงงาน ใช้งบก่อสร้างประมาณ 12 ล้านบาท ภายในเรือเป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ส่วนบนดาดฟ้าเรือมีรูปปั้นของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มองเห็นทิวทัศน์ของชายทะเลปากน้ำหลังสวนได้ หมู่ 3 ตำบลปากน้ำหลังสวน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร การเดินทางสามารถใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 41 แล้วเลี้ยวเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 4002 มุ่งหน้าไปทางชายทะเลปากน้ำหลังสวน
เพื่อสักการะเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร จังหวัดชุมพรจัดให้กิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อย่างยิ่งใหญ่ทุกวันที่ 19 พฤษภาคม จัดให้มีงานวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ พลเรือเอกพระเจ้า บรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพื่อระลึกถึงพระเกียรติคุณและคุณงามความดีที่พระองค์ทรงฝากไว้ให้กับ ประเทศชาติและชาวจังหวัดชุมพร
อ้างอิงข้อมูลเนื้อหา