อรรำไพ วินทะไชย
……………………………………………………………………………………………………....
วัยรุ่นมักจะใจร้อนชอบทำอะไรตามใจตนเอง เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปจนไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและแสดงออกโดยก้าวร้าวหรือทำร้ายตนเองและผู้อื่นเพื่อให้คนอื่นยอมรับ ซึ่งมักจะมีผลเสียต่อตนเองในภายหลัง ดังนั้นจึงควรปรับอารมณ์ตนเอง ดังนี้
- ปรับแนวคิดและชมเชยตนเองที่สามารถลดจำนวนครั้งที่เกิดอารมณ์วู่วามใจร้อนลงได้
- โดยวิธีเดินหนีออกจากสถานการณ์ขณะนั้น
- นับเลขในใจ 1 – 10 หรือหายใจเข้าออกลึก ๆ หลายครั้งติดต่อกัน
- หากิจกรรมระบายความรู้สึกโกรธออกมาโดยไม่มีผลเสียต่อตนเองหรือกระทบต่อผู้อื่น เช่น ออกกำลังกาย วาดรูป
สำหรับวัยรุ่นที่มักจะคิดมาก ขี้น้อยใจ ขี้อาย ขี้เหงา กลัวคนตำหนิ กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือคิดถึงสิ่งที่เคยล้มเหลวเป็นเพราะมีความรู้สึกว่าตนมีปมด้อยสู้คนอื่นไม่ได้ไม่มีความภาคภูมิใจในตนเอง จึงควรปรับปรุงโดย
- อย่าไปเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ยอมรับในความสามารถของตนเอง พยายามค้นหาข้อดีของตนเองและชื่นชมข้อดีนับว่าเราก็มีความสามารถเช่นกัน
- พยายามพัฒนาในส่วนที่คิดว่าตนยังบกพร่องให้ดีขึ้น
- มองโลกในแง่ดี ฝึกตนให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สร้างไมตรีกับผู้อื่น เพื่อทำให้มีเพื่อนรู้ใจ หากมีปัญหาจะได้ไม่โดดเดี่ยว
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ทิวาทิพย์ แสนหวี
.........................................................................................................................................................
ต้องเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก มีเทคนิคที่สำคัญมาก สำหรับคนที่เจอปัญหามากๆ
1. อย่าถามคำถามว่าทำไม เพราะคำตอบจะไม่ค่อยน่าฟังหรือช่วยอะไรเราไม่ได้ ให้ใจกล้า สู้ๆแล้วยอมรับว่า เป็นโอกาสที่เราได้เรียนรู้และทำสิ่งใหม่ๆ เพียงแต่อาจจะต้องใช้กำลังใจ สติปัญญาและความอดทนมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
2. มีสติรู้ตัว ปล่อยอารมณ์ที่หดหู่ออกมา เช่น ร้องไห้, ตะโกนดังๆ หรือบอกตัวเองว่า “ฉันกำลังแย่” แล้วรีบดึงตัวเองกลับมา เพราะอารมณ์หดหู่ และการไม่มีสติจะทำให้คิดวกวนหาทางออกไม่ได้
3. มองหาใครสักคน ที่คุณไว้ใจ ถึงแม้บางครั้งคุณมองว่าไม่มีใครช่วยได้ แต่เขาอาจจะรับฟังได้ หรือเป็นสื่อกลางในการพูดคุยช่วยเหลือ
สรุป จำไว้ว่า ไม่ใช่เรื่องน่าอาย หากเราจะร้องขอใครสักคน ช่วยเหลือ หรือปรึกษา เพราะ “นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อนไปสู่ที่สูงไม่ได้”
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
สมนึก อนันตวรวงศ์
...............................................................................................................................................................
การทะเลาะวิวาท ความไม่เข้าใจกันระหว่างพ่อ แม่ ลูก เป็นปัญหาปกติ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในครอบครัว ทุกครอบครัวล้วนต้องประสบพบเจอกับปัญหาเหล่านี้ทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย แตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว ขึ้นอยู่กับพื้นฐานการดำเนินชีวิต สภาพอารมณ์ในขณะนั้นๆของคนในครอบครัว
ดังนั้น ต้องเข้าใจว่า “ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องปกติ” ที่เกิดขึ้นได้ในครอบครัว ให้ลองคิดดูง่ายๆว่า ถ้าเราไม่ใช่ลูกของพ่อแม่ หรือถ้าพ่อแม่ไม่ใช่พ่อแม่ของเรา ปัญหานี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ อย่าถามหาคนผิด เพราะไม่มีใครผิด ทุกคนมีความรัก ความห่วงใย เป็นพื้นฐาน ปัญหาที่เกิดจากความรัก ความห่วงใย เป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้น เป็นประจำ เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นหมายถึงว่า ไม่ว่าเราจะอยากให้มันเกิดหรือไม่ มันก็เกิด และจริงๆก็คือมันเกิดขึ้นแล้ว การคำนึงหวนให้ถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว รังแต่จะทำให้ใจไม่สบาย ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อันใดกับใครเลย ไม่ว่ากับพ่อ แม่ หรือแม้กระทั่งกับเรา
จะอยู่อย่างไรกับสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ ทำอย่างไรไม่ให้สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว มาทำร้ายเรา ทำร้ายครอบครัวของเรา ขึ้นอยู่กับเราแล้ว อยากให้ครอบครัวมีความสุข หรือเต็มไปด้วยปัญหา ขึ้นอยู่กับตัวเราด้วย อยากให้หยุดคิด สำรวจถึงสิ่งที่เป็นปัญหาทั้งหมดว่าเกิดจากอะไร พยายามทำความเข้าใจถึงสาเหตุ หากสาเหตุเกิดจากเราต้องยินดีว่า พ่อแม่มีความปรารถนาดี จึงได้ชี้แนะ ซึ่งต้องคำนึงว่า เบื้องหลังของการตำหนิ คือความปรารถนาดี แต่พ่อแม่อาจใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจริงๆท่านก็แสดงความรัก ความห่วงใยได้แค่นั้น ลองพิจารณาดูให้ดีว่า ปัญหาเกิดจากการสื่อสารไม่เป็นหรือไม่ อะไรอยู่เบื้องหลังของคำพูด หรือการกระทำนั้นๆ ซึ่งคำตอบที่เป็นความจริงคือ พ่อแม่ต้องการให้เราเป็นคนดีนั่นเอง ทุกอย่างเกิดจากความรัก
สำหรับครอบครัว ไม่เสียเหลี่ยม หรือน่าละอายเลย หากจะกล่าวคำว่า “ขอโทษ” แล้วเริ่มต้นใหม่ ไม่มีพ่อแม่คนใด มุ่งร้ายต่อลูก เพียงแต่อาจแสดงคำพูด หรือการกระทำที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ต้องเข้าใจถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของท่านด้วย
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
จุฬาลักษณ์ รุ่มวิริยะพงษ์
..........................................................................................................................................................
การมีเพื่อนสนิทในวัยรุ่นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเพื่อนจะเป็นที่พึ่งพาช่วยเหลือให้แก่วัยรุ่น ทำให้วัยรุ่นพัฒนาไปสู่ความเป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง ความผูกพันใกล้ชิดสนิทแนบแน่นต่อพ่อแม่จะลดลง หากวัยรุ่นชอบอยู่คนเดียว แยกตัว ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจที่จะมีเพื่อน อาจแสดงว่าวัยรุ่นกำลังมีปัญหาการปรับตัวทางสังคมหรือการปรับตัวกับผู้อื่นอาจมีปัญหาทางด้านจิตใจ เพราะวัยของเขานั้นมีความสนใจ ต้องการคบเพื่อนวัยเดียวกัน อยากพูดคุยกับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ เพราะพูดคุยกับพ่อแม่ก็ไม่มีความเข้าใจตรงกัน เขาจึงเชื่อถือและรับฟังเพื่อนมากกว่าพ่อแม่
สำหรับวัยรุ่นแล้วลักษณะเพื่อนที่เขาคบนั้น บอกได้ถึงความรู้สึกหรือลักษณะตัวตนของเขา เพราะวัยรุ่นจะเลือกคบเพื่อนที่มีลักษณะคล้ายตนเอง เช่น เด็กที่เรียนไม่ดีก็จะคบกับกลุ่มเรียนไม่ดี เช่นเดียวกับตน เด็กจะไม่ไปอยู่กับกลุ่มที่เรียนดี เพราะจะทำให้ตนเองรู้สึกแย่ และด้อยมากขึ้น ส่วนเด็กที่เรียนดีก็จะอยู่ในกลุ่มที่เรียนดีด้วยกัน การที่วัยรุ่นต้องการเป็นที่ยอมรับของกลุ่มเพื่อน เขาจึงต้องการทำตัวให้เหมือนเพื่อนๆ โดยมีการกระทำลอกเลียนแบบให้เหมือนเพื่อน เช่น เสื้อผ้า ทรงผม คำพูด หรือคำศัพท์ที่ใช้พูดกันในกลุ่มของเขา การมีกลุ่มเพื่อนและเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆจะทำให้เขาได้พัฒนาทักษะทางสังคม การปรับตัวกับผู้อื่น ได้เรียนรู้บทบาทของตนเองในการเป็นหัวหน้ากลุ่มหรือผู้ตามกลุ่ม ได้เรียนรู้ความสนใจ ใส่ใจและคำนึงถึงความรู้สึกของเพื่อน การมีกลุ่มเพื่อนจะทำให้วัยรุ่นรู้สึกมั่นใจในตนเอง ภาคภูมิใจกับการที่ตนเองเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อสภาพจิตใจของวัยรุ่น อย่างไรก็ตามการคบเพื่อนของวัยรุ่นนั้น วัยรุ่นอาจจะพบปัญหาบางอย่างจากลักษณะของเพื่อน เช่น เพื่อนไม่จริงใจ นินทาว่าร้ายใส่กัน เพื่อนเห็นแก่ตัว เป็นต้น ซึ่งอาจจะทำให้วัยรุ่นรู้สึกผิดหวัง เสียใจ ไม่พอใจ โกรธ และมีความยุ่งยากในการมีความสัมพันธ์กับเพื่อนต่อไป พ่อแม่อาจช่วยเหลือทางด้านจิตใจเขา โดยรับฟังความรู้สึกไม่สบายใจของเขา อย่าดุด่าซ้ำเติมว่ากล่าวเขา แต่ช่วยชี้แนะให้เขาสร้างเพื่อนใหม่ๆ หรือพิจารณาส่วนที่ดีๆของเพื่อนสนิทที่เขากำลังคบหาอยู่ อาจมองส่วนดีของเพื่อนก็จะทำให้วัยรุ่นสบายใจในการคบเพื่อนต่อไป พ่อแม่อาจค่อยๆสอนเขาโดยพูดจานุ่มนวลว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ช่วยให้เขาได้เรียนรู้จักคนมากขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์ในการพัฒนาการปรับตัวกับผู้อื่นในวัยผู้ใหญ่ต่อไป
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
น้ำเพชร รัตนโกสัย
……………………………………………………………………………………………….……
ปัญหาที่พบได้บ่อยมากในอันดับต้นๆระหว่างพ่อแม่และลูกวัยรุ่นคือ คุยกับลูกวัยรุ่นแล้วไม่เข้าใจกัน เมื่อวิเคราะห์สาเหตุแล้วมักหนีไม่พ้นเรื่องของการสื่อสาร ดังนั้นจะทำอย่างไรที่จะเกิดการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลงก่อนว่าจากเด็กวัยเรียนที่เคยว่านอนสอนง่าย เริ่มต่อล้อต่อเถียง ฉุนเฉียวง่าย ไม่ค่อยยอมทำตามคำสั่งง่ายๆเหมือนสมัยเด็กๆ บางทีก็เหมือนผู้ใหญ่พูดคุยกันรู้เรื่อง บางครั้งก็ทำตามอำเภอใจ ไม่ค่อยคิดถึงจิตใจคนอื่น แต่ก็อยากมีส่วนร่วม อยากแสดงความคิดเห็นและต้องการการยอมรับจากผู้ใหญ่ จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่จะต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงวิธีการ ทั้งกฎเกณฑ์ กติกา วิธีการพูดคุย และลูกเล่นต่างๆให้ทันสมัย วัยนี้ส่วนใหญ่จะไม่ชอบวิธีการจู้จี้ ขี้บ่น วุ่นวายกับเรื่องเล็กๆน้อยๆของเขา ไม่ชอบการบังคับตรงๆ ควรพูดคุยเปิดเผย เป็นกันเองไม่เอาไปเล่าต่อ บรรยากาศสบายๆ เป็นห่วงเป็นใยพอเหมาะ ยิ่งถ้านำปัญหาต่างๆมาช่วยกันคิดและรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันจะยิ่งเพิ่มคุณภาพการพูดคุยเพิ่มมากขึ้น สำหรับเวลาในการพูดคุย ไม่จำเป็นต้องมาก ควรเป็นเวลาที่สบายๆ ไม่อยู่ในสภาวะเครียด โกรธแทรกอยู่
ท่าทีของพ่อแม่ ควรรับฟังความคิดเห็นและฟังเหตุผลของวัยรุ่น วัยรุ่นเองก็จะฟังพ่อแม่เช่นกัน ควรฝึกให้เด็กคิดเองก่อนเสมอ เมื่อเด็กคิดไม่ออก ไม่รอบคอบ ไม่กว้าง พ่อแม่ครูอาจช่วยชี้แนะให้ในตอนท้าย ยอมรับในความคิดเห็นที่แตกต่าง ยอมรับการปฏิเสธที่มีเหตุผล เพราะนั่นหมายความว่าลูกเราเริ่มเป็นตัวของตัวเอง การพูดกับวัยรุ่นโดยไม่แสดงอารมณ์ ปรารถนาดี ใช้เหตุผลแต่ในมุมมองและเหตุผลที่แตกต่างออกไป และให้เวลากลับไปคิด จะช่วยทำให้วัยรุ่นรับข้อมูลของพ่อแม่กลับไปคิดต่อได้ ทั้งนี้ควรชื่นชมในความสามารถเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจและควรชมให้ผู้อื่นทราบด้วยหรือร่วมชื่นชมด้วย แต่ในด้านตรงข้าม เวลาเตือนอย่าให้เกิดความอับอาย ให้ค่อยๆคิด และยอมรับด้วยตัวเอง อย่าให้เสียความรู้สึก ควรเตือนเป็นการส่วนตัว ก่อนจะเตือน ควรหาข้อดีของเขาบางอย่าง ชมตรงจุดนั้นก่อน แล้วค่อยเตือนตรงพฤติกรรมนั้น สิ่งสำคัญอีกประการคือควรหลีกเลี่ยงการใช้คำถามที่ขึ้นต้นว่า “ ทำไม ” เพราะจะทำให้วัยรุ่นจะพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเองมากขึ้น เพื่อพยายามยืนยันว่า ความคิดและการกระทำของเขาถูกต้อง เป็นการสอนให้เด็กเถียงแบบข้างๆคูๆ
การตำหนิ การที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดาของคนสองคน อย่าด่วนตำหนิ ดุว่า ลงโทษก่อนที่วัยรุ่นจะพูดจบ พยายามสงบใจ ทำความเข้าใจ ให้โอกาส อย่าพูดขัด และสรุปประเด็นให้ตรงกัน จากเรื่องที่เขาเล่ามาให้ฟังนั้น ถ้าจะตำหนิให้ตำหนิที่ความคิด การตัดสินใจ หรือพฤติกรรมจะทำให้วัยรุ่นยอมรับและไม่เสียความรู้สึกด้านดีของตนเอง มากกว่าไปตำหนิที่ตัววัยรุ่นว่าเป็นคนไม่ดี เพราะจะเกิดการต่อต้านไม่ยอมรับ
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
อรรำไพ วินทะไชย
………………………………………………………………………………………….……………
ความไม่มั่นใจในตัวเองลึกๆ แล้วเป็นผลมาจากการไม่ยอมรับตัวเอง ความไม่ชอบตัวเอง การที่คนบางคนเกิดมาในสิ่งแวดล้อมรอบข้างหรืออยู่ในครอบครัวที่ถูกตำหนิ ขาดการให้กำลังใจและชื่นชมซึ่งกันและกัน ทำให้มองเห็นตนเองไม่ดี คนเราทุกคนไม่มีใครที่สมบรูณ์แบบทุกอย่าง คนๆ เดียวกันอาจมีด้านดีที่เรายอมรับได้ แต่ก็อาจมีด้านไม่ดีอยู่ด้วย
การค้นหาสิ่งเราไม่ยอมรับทำให้เป็นความทุกข์ โดยเฉพาะวัยรุ่นมักคิดวนเวียน คิดมาก กังวล และมองดูตนเอง ส่องกระจกทุกครั้งที่มีโอกาสเพื่อเสริมภาพลักษณ์และเติมแต่งให้ได้ตามตั้งใจหวัง หากไม่เป็นไปตามที่คาดหวังถึงกับหมดความมั่นใจไปเลย จนบางครั้งไม่กล้าแสดงออกจากบ้าน ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับคนอื่น(ที่ไม่รู้จักและไม่ได้มองเราขณะนั้นสักนิด) แท้จริงแล้วเราไม่มีความผิดแปลกไปจากคนอื่นเลย อาจเป็นเพราะเรามีความมั่นใจยังไม่พอ...
การสร้างความมั่นใจในตนเองเริ่มตั้งแต่ลองมาค้นหาความดีงามในตัวเราด้วยการมองดูตนเองทั้งในด้านบุคลิกภาพร่างกายและความสมบรูณ์แบบต่างกันทั้งในด้านดีและไม่ดีหรือที่เราชอบหรือไม่ชอบด้วยการดูแลสุขภาพกายและจิตใจของเรา ที่สำคัญที่สุดคือการให้กำลังใจ ชื่นชมตัวเองเสมอและทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้เรามีความพอใจในตัวเองและเชื่อมั่น-มั่นใจในตัวเอง นอกจากนี้ควรดูแลตนเองด้านอื่น ๆ เพิ่มด้วยการสร้างความมั่นใจกับวัยเท่ , เจ๋ง , จ๊าบ ของเรายิ่งขึ้น มีข้อแนะนำ ดังนี้
- ก่อนอื่นสุขภาพดี ผิวพรรณผ่องสดใส ใบหน้าสดชื่น ควรรับประทานอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานอาหารครบ 3 เวลา
- เปิดใจให้กว้าง พยายามมองโลกในแง่ดี คนอารมณ์ดีใครๆก็อยากอยู่ใกล้เพราะมีความสุข
- ฝึกความมั่นในในบุคลิกภาพด้านการสื่อสารสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น การฝึกเทคนิคการพูด พูดดี ประทับใจ ลองฝึกพูดหน้ากระจกคนเดียวและรับฟังผู้อื่นด้วยความตั้งใจและยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
- มองหาข้อแก้ไข จุดอ่อน ให้ดีขึ้น ตั้งสติและสูดลมหายใจลึกๆค่อยๆทบทวนเพื่อปรับปรุงและพร้อมแก้ไข ปรับเป็นบทเรียนที่ดีต่อไป
- ให้กำลังใจ , ชื่นชมตนเองเสมอ (แม้จะไม่ประสบผลตามที่เราคาดหวัง
- ตั้งเป้าหมายชีวิตเตรียมพร้อมสู่ความสำเร็จในอาชีพที่มั่นคงและต้องอดทน เพียรพยายามไปให้ถึงจุดมุ่งหมายที่ตั้งเป้าไว้ มองไปข้างหน้าอย่าท้อถอยยังมีอะไรที่ดีกว่านี้มาก
มาสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน เชื่อมั่นเถอะว่า เราทำได้ และต้องทำได้ “ yes, I can do”
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
พิศมัย พงศาธิรัตน์
……………………………………………………………………………………………..………
คุณมีความรู้สึกนี้หรือยัง... รู้สึกดีต่อตัวเอง เห็นความสามารถและคุณค่าของตนเอง ชื่นชมตนเอง รู้ว่าตนเองมีความหมายบอกตัวเองได้ว่าเรามีความสามารถ มีพลังที่จะควบคุมชีวิตตนเอง ให้ทำในสิ่งที่ต้องการ รู้กำลังตนเองว่าสิ่งไหนทำได้ดีกว่า และด้อยกว่า ยอมรับความสามารถผู้อื่นอย่างจริงใจ มีแรงที่จะวางแผนทำงานชิ้นใหม่ กล้าตัดสินใจทำเรื่องที่ท้าทายอีกครั้งและเมื่อผิดพลาดจะเรียนรู้ เติบโต สามารถดูแลตนเองเติมพลังให้ตนเองได้
ถ้ายัง... ลองดูไหม... แล้วจะรู้ว่าเกิดขึ้นได้จริง
1. จัดการกับความกลัวให้ออกไปจากชีวิต
2. ควบคุมตัวเองให้เดินทางไปสู่ความฝันที่ตั้งไว้
3. คิดถึงสิ่งที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว
4. ทุกๆสถานการณ์มีเพื่อน ประสบการณ์ มีสิ่งใหม่เข้ามาในชีวิตเสมอ
5. จัดสรรงบประมาณเพื่อให้งานลื่นไหลบรรลุเป้าหมาย
6. กระตุ้นให้ตนเองเกิดความคิดสร้างสรรค์
7. เมื่อทำแต่ละขั้นตอนสำเร็จ ชื่นชมตนเองเสมอ
8. รับรู้ว่าเรากำลังกังวล กลัวความผิดพลาด ขออนุญาตความกลัวและกังวล ให้โอกาสตนเองสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่
9. ขอบคุณตนเองที่กล้าทำสิ่งใหม่
10. คิดเสมอว่าการกระทำครั้งนี้ทำให้เราได้อะไรเพิ่มขึ้น
11. สนุกกับประสบการณ์ที่ดีๆในปัจจุบัน
12. หาโอกาสให้ตนเองได้เรียนรู้สิ่งที่ดีๆ
หากความภาคภูมิใจในตนเอง คือสิ่งที่คุณต้องการ แล้วจะรอช้าอยู่ทำไม
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ดารกา แสงสุขใส
.........................................................................................................................................................
รู้จักกับ RQ อาร์คิว (RQ) ย่อมาจาก Resilience Quotient คือ ความสามารถทางอารมณ์และจิตใจของบุคคลที่สามารถยืดหยุ่น ปรับตัว ฟื้นฟูสภาพอารมณ์และจิตใจได้อย่างรวดเร็วภายหลังเหตุการณ์วิกฤติหรือสถานการณ์ที่ยากลำบาก เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของบุคคลที่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคไปได้โดยไม่จมอยู่กับความทุกข์ และดำเนินชีวิตต่อไปให้มีความสุข เสริมสร้างเสริมพลังใจให้เข้มแข็งแกร่งกว่าเดิม
กรมสุขภาพจิตได้แนะนำหลัก RQ สั้นๆ เพียง 3 คำ จำได้ง่ายและนำไปพัฒนาตนเองได้ คือ
อึด เป็นความสามารถทนทานต่อภาวะกดดัน จัดการกับความเครียดได้ดี ควบคุมอารมณ์ได้ ยิ้มสู้กับทุกสถานการณ์ มีความเข้มแข็งทางจิตใจ
ฮึด คือ มีศรัทธาและกำลังใจที่ดี เชื่อว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆ ย่อมผ่านพ้นไปได้ สามารถให้กำลังใจตัวเอง และรับกำลังใจจากคนรอบข้างได้
สู้ กับปัญหาอุปสรรค สามารถแก้ไขและหาทางออกได้อย่างเหมาะสม ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ได้
คนมี RQ ดีเป็นอย่างไร คนที่มี RQ ดีนั้นเมื่อเผชิญกับวิกฤติจะสามารถสงบ มีความสมดุลทางอารมณ์และสุขภาพ มุ่งแก้ปัญหามากกว่าติดอยู่ในกับดักอารมณ์และความรู้สึก มีความรู้สึกว่าตนมีคุณค่า รับรู้ความรัก ความห่วงใย กำลังใจของตนเองและคนรอบข้าง รู้สึกถึงการเป็นส่วนสำคัญของครอบครัวและสังคมที่ได้ปลูกฝังให้มีความเห็นอกเห็นใจ ถ่ายทอดประสบการณ์ เป็นแบบอย่าง รู้สึกมั่นใจและรู้สึกต่อตนเองในทางที่ดี จัดการกับอารมณ์เศร้าเสียใจและฟื้นตัวได้เร็ว
ทำอย่างไรจึงจะมี RQ เริ่มจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ซึ่งเป็นประสบการณ์สำคัญต่อการพัฒนา RQ หากคุณเติบโตมาอย่างสบาย มีพ่อแม่ประคับประคอง รักและดูแลไม่เคยปล่อยให้พบความล้มเหลว อาจขาดโอกาสฝึกฝนการก้าวผ่านวิกฤตและปัญหาอุปสรรคในชีวิตและมีความทุกข์ยากแสนสาหัส ตรงข้ามหากเติบโตมาโดยมีประสบการณ์ของการเผชิญความยากลำบาก แต่ยืนหยัดขึ้นสู้ไม่ท้อถอย พลิกวิกฤตเป็นโอกาสและมีประสบการณ์ความสำเร็จจะเป็นการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิต ให้เติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่มีความภาคภูมิใจ นับถือตนเอง เข้มแข็ง สามารถอยู่รอดในทุกสถานการณ์ได้
พัฒนาตนเองให้มี RQ ดี ใช้เทคนิค 4 ปรับ คือ ปรับอารมณ์ คลายความเครียด ไม่ท้อแท้สิ้นหวัง ไม่โกรธแค้นโทษใคร มีสติ ปรับความคิด ฝึกคิดทางบวก มองโลกในแง่ดี ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตใหม่ให้เหมาะสมกับเงื่อนไขใหม่ ปรับเป้าหมายในชีวิตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและ 3 เติม คือ เติมศรัทธา เชื่อว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออก ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ เติมมิตร ครอบครัวและญาติมิตรที่อยู่เคียงข้าง ให้กำลังใจกัน มีเพื่อนที่ไว้ใจช่วยหาทางออกและเติมจิตใจให้กว้าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง มองให้ไกลจากตัวเรา ยังมีคนอื่นๆ ที่มีความทุกข์เช่นเดียวกับเรา บางคนอาจมีมากกว่าด้วยซ้ำ
บอกตัวเองว่า ฉันเป็น คนอดทนเข้มแข็ง พึ่งตัวเองได้ ฉันมี กำลังใจ มีคนรักและห่วงใย ฉันทำ สิ่งที่เป็นประโยชน์ คุณจะรู้สึกถึงคุณค่าและภาคภูมิใจในตัวเอง มีความสุข มีพลังชีวิต พัฒนา RQ ตั้งแต่วันนี้ เริ่มที่การประเมิน RQ ตนเอง ตามแบบประเมินที่กรมสุขภาพจิตจัดทำขึ้น สร้างเสริมด้วยเทคนิค 4 ปรับ 3 เติม ฝึกทักษะการแก้ไขปัญหาและจัดการกับอารมณ์ให้เหมาะสม บอกเล่าความรู้สึกนึกคิด ระบายความทุกข์ใจไม่เก็บกด ร่วมกันคิดร่วมตัดสินใจ มีความหวังและเป้าหมายในชีวิต เป็นภูมิคุ้มกันทางใจ ให้คุณมีพลังสุขภาพจิตที่เข้มแข็งต่อไปค่ะ
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ดารกา แสงสุขใส
........................................................................................................................................................
อีคิว (EQ) ย่อมาจาก Emotional Quotient คือ ความสามารถหรือความฉลาดทางอารมณ์ เป็นความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ควบคุมจัดการกับอารมณ์ได้และมีการแสดงออกอย่างเหมาะสม เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ อีคิวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางด้วยเหตุผลสำคัญ คือ ทำให้บุคคลประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิต
คนที่มีอีคิวดีสามารถเข้าใจอารมณ์ของตัวเองตามความเป็นจริง รู้จักคิดใคร่ครวญและมีการตัดสินใจที่ดี สามารถจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม เมื่อรู้สึกเศร้า เสียใจ ผิดหวัง ก็สามารถปรับเข้าสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว อดทนอดกลั้น ไม่หุนหันพลันแล่น มีพลังใจที่จะฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคในชีวิต เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น รักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกันได้ พึ่งพิงตัวเองได้ นับถือตนเอง ได้รับการยอมรับ ความร่วมมือ เป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความสงบสุขภายในจิตใจ
พัฒนาอีคิวของคุณจากความเข้าใจพื้นอารมณ์ตนเองและปรับให้เหมาะสม การได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่ตามใจเกินไปและไม่สร้างเงื่อนไขตลอดเวลา มีการปรับความคาดหวังให้เหมาะสมกับบุคคล ยอมรับ เข้าใจ ปรับสิ่งแวดล้อมให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัย ใช้ความรักเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ มีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์ เผชิญความยากลำบากบ้างจะเข้มแข็ง ดูแลตนเอง แบ่งปัน มีความนับถือ เข้าใจตนเอง มองโลกในแง่ดี แสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม และจัดการความเครียดได้ สร้างและรักษาสัมพันธภาพที่ดี ผู้ที่มีอีคิวดีจะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ มีความภาคภูมิใจในตนเอง มีความสุข ความสำเร็จและมีความหวังในชีวิตค่ะ
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ดารกา แสงสุขใส
.........................................................................................................................................................
เอคิว (AQ) ย่อมาจาก Adversity Quotient คือ ความสามารถในการเผชิญกับปัญหา ต่อสู้กับอุปสรรค มุ่งมั่นหาทางแก้ไขเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสและมีพลังใจ
คนที่มี AQ ดี เป็นคนมีใจสู้ มานะพยายาม อดทน ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มักประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำเสมอ เปรียบได้กับนักไต่เขาที่รุกไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งทั้งที่เผชิญปัญหาและสิ่งท้าทาย อุทิศตนเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จและสิ่งใหม่ๆ มีแรงจูงใจและวินัยในตนเอง แตกต่างกับคนที่แค่เพียงเห็นความสูงของภูเขาและระยะทางอันยาวไกลก็ถอดใจล้มเลิกความคิดที่จะปีนเขาเสียแล้ว หรือบางคนยอมพบกับปัญหาอุปสรรคบ้าง พอยากลำบากก็เลิกล้มถอยออกมา คนที่มี AQ ดีจะมีมุมมองว่า ทุกปัญหาแก้ไขได้ อดทน มีสติ ไม่วู่วาม มีจิตใจต่อสู้ไม่ย่อท้อ พลังความเข้มแข็งนี้เป็นภูมิคุ้มกันให้ประสบความสำเร็จในชีวิต เริ่มฝึกให้มี AQ จากการดูแลตนเองช่วยงานบ้าน วางแผนและทำกิจกรรมกลุ่ม ทำงานหาประสบการณ์ในช่วงปิดเทอม รักษาสัมพันธภาพที่ดีกับครอบครัว เพื่อนสังคม ปรับความคิดมองว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเรา เราเป็นเจ้าของและควบคุมสถานการณ์ การเผชิญกับปัญหาอุปสรรค เปรียบได้กับคนที่พยายามไต่เขาต่อไปไม่หยุดหย่อน ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือลังเลใจที่จะไปต่อ รู้จักให้กำลังใจตนเองให้สู้ต่อไป มีสติ มองโลกในแง่ดีว่าปัญหาเป็นโอกาสให้เราพัฒนาและใช้ปัญญาในการแก้ไข
พัฒนา AQ ตั้งแต่วันนี้ เริ่มจากการทำกิจกรรมกลุ่มสักชิ้น กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ชี้ให้ชัดว่าภูเขาลูกไหนที่จะปีนไปให้ถึงยอด เตรียมอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อม สร้างบรรยากาศที่ดี วางแผนและหาทางแก้ไขเมื่อเผชิญปัญหา ชื่นชมยกย่อง เฉลิมฉลองกันบ้างเมื่อทำได้สำเร็จ เป็นประสบการณ์หนึ่งที่น่าจดจำ ภาคภูมิใจ รู้สึกมีคุณค่า ส่งผลให้ทำงานครั้งต่อไปดียิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจประเมิน AQ ในประเทศไทยมีหน่วยงานที่พัฒนาแบบประเมินความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรค เช่น โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลองติดต่อดูนะคะ
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ที่มา : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข