สินีนาฏ จิตต์ภักดี
.............................................................................................................................................................
คนเราทุกคน มักตั้งความหวังไว้ว่าจะต้องมีอาชีพที่มั่นคง รายได้ดี ตนเองชอบ และสังคมยอมรับ ซึ่งการเลือกวิชาที่เรียนเพื่อให้มีความรอบรู้ในสิ่งที่จะนำไปประกอบอาชีพเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการประกอบอาชีพบางอย่างต้องการใบรับรองคุณวุฒิทางการศึกษา ดังนั้นความสมหวังในอาชีพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนหนึ่งจึงขึ้นอยู่กับการเลือกวิชาเรียนของคุณในวันนี้
แนวทางการเลือกวิชาเรียนและเลือกอาชีพ มีดังนี้
1. ให้ดูความสามารถและความถนัดทางการเรียนของคุณ ว่าชอบวิชาแบบใด และจะสามารถเรียนสาขาวิชานั้นจนสำเร็จได้หรือไม่ ความสามารถทางการเรียนคงไม่ใช่เพียงแค่สติปัญญาเลิศหรือเรียนเก่งเท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ความพร้อมด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต ภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว ระยะเวลาที่ใช้ในการเรียน สถานที่เรียนซึ่งอาจอยู่ห่างไกลจากบ้าน เป็นต้น
2. ถามความต้องการของตนเอง ว่าต้องการประกอบอาชีพอะไรในอนาคตและอาชีพนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ต้องเรียนวิชาอะไรบ้างหรือต้องสำเร็จการศึกษาขั้นใดจึงจะประกอบอาชีพนั้นได้
3. มองความต้องการของตลาดหรือสาขาวิชาชีพใดที่กำลังขาดแคลนด้วย เพราะบางคนเรียนสำเร็จแล้วไม่มีงานทำเพราะเลือกเรียนตามเพื่อนหรือตามใจตนเองเพียงอย่างเดียว ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำคุณอาจต้องเลือกเรียนหรือประกอบอาชีพที่ไม่ตรงกับความต้องการของคุณนักเพื่อให้มีงานทำ แต่คุณก็สามารถจะค้นหาจุดดี จุดเด่นและประโยชน์ของวิชาที่เรียนหรืออาชีพที่คุณทำได้ หากคุณประกอบอาชีพอย่างมีใจรัก ทำอย่างเต็มความสามารถและมีความสุขกับงานที่ทำคุณก็จะเป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานได้
ข้อสำคัญ ในการเลือกอาชีพ คือ หากคุณตั้งความหวังไว้ว่า อาชีพเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดรายได้และทำให้เศรษฐกิจดี มีความมั่นคง สังคมยอมรับเพราะเป็นอาชีพที่สุจริตแล้ว คงไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกอาชีพที่โก้หรูตามความนิยมเสมอไป แค่เป็นงานที่คุณรักที่จะทำก็พอแล้ว ขออวยพรให้คุณโชคดีมีความสุข ประสพผลสำเร็จในการเรียนและได้ประกอบอาชีพที่คุณเลือก
หากคุณต้องการปรึกษาเรื่องนี้ โทรมาได้ที่หมายเลข 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
……………………………………………………………………………………………………….
ช่วงที่มีการสอบเอนทรานซ์ นับว่าเป็นช่วงที่สร้างความตึงเครียด กังวลใจให้กับผู้ที่กำลังจะสอบเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าเรามีวิธีการเตรียมตัวล่วงหน้าที่ดีย่อมช่วยผ่อนคลายความไม่สบายใจลงได้มาก
วิธีการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์แบบไม่ให้เครียดอาจทำได้ ดังนี้
ประการแรก จัดเวลาอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอทุกวันวันละ 2 – 3 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน โดยอาจทำไปพร้อมๆ กับการเตรียมบทเรียนเนื้อหาที่จะเรียนในครั้งต่อไปไว้ล่วงหน้าเพื่อว่าสงสัยหรือข้องใจประเด็นอะไร ก็จะได้จดบันทึกเอาไว้ขอคำอธิบายจากอาจารย์ได้ต่อไป
ต่อมา เรื่องการท่องจำไม่ใช่ต้องจำให้ได้ทั้งหมด ทุกคำพูด ทุกประโยค แต่ควรท่องจำเฉพาะประเด็นหลักๆที่สำคัญเท่านั้นและควรท่องจำด้วยการอาศัยความเข้าใจ สามารถนำประเด็นหลัก ใจความสำคัญไปประยุกต์ขยายความได้ เพื่อว่าจะได้ไม่หนักหรือคร่ำเคร่งจนเกินไป
ควรมีการทำโน้ตย่อสั้นๆ ง่ายๆ เพื่อความสะดวกในการจดจำ ถ้ามีเวลายามว่างก็สามารถพกพาหรือหยิบขึ้นมาอ่านทบทวนดูได้ง่าย
เรื่องการกวดวิชานั้น ถ้าคิดว่าจำเป็นต้องทำความเข้าใจเฉพาะเจาะจงวิชาเนื้อหาใดเนื้อหาหนึ่งให้มาก เราก็อาจจะไปกวดวิชากับสถาบันการศึกษาที่มีผู้เชี่ยวชาญก็ได้ ซึ่งก็มีสถาบันกวดวิชาหลายแห่งที่เปิดรับสมัครอยู่
นอกจากนี้ ควรฝึกทำข้อสอบเก่าๆ เพื่อประลองฝีมือ ศึกษาวิธีตอบและทดสอบความรู้ความเข้าใจของตนเองว่าสามารถพิชิตคะแนนข้อสอบเก่าๆได้เท่าใด ผ่านเกณฑ์ประเมินและใช้เวลาเหมาะสมตามที่กำหนดหรือไม่ ถ้ายังไม่ดีพอก็ควรฝึกปรือเพิ่มเติมใหม่ โดยพิจารณาเนื้อหาประเด็นที่ยังเป็นจุดอ่อนอยู่ให้เป็นพิเศษก่อนลงสนามสอบแข่งขันจริง
ถ้าจะให้ดี ควรรวมกลุ่มเพื่อนเพื่อร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ ทบทวนเนื้อหากัน ตลอดจนใครมีความถนัดเข้าใจเนื้อหาวิชาใดเป็นพิเศษก็จะได้เล่าได้สอนเพื่อนอีกทีหนึ่ง
สุดท้ายที่ลืมไม่ได้ เมื่อเราเตรียมตัวพร้อมแล้วขอให้เรามั่นใจในตนเอง ทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มความสามารถ อย่ากังวลหรือเครียดจนทำลายสมาธิตนเองอย่างเด็ดขาดนะคะ
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ดารกา แสงสุขใส
..........................................................................................................................................................
ทุกคนย่อมรู้สึกเสียใจเมื่อสอบไม่ผ่านและอาจมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป บางคนยอมรับได้และมุ่งหวังตั้งใจใหม่เพื่อให้สอบผ่านครั้งต่อไป หลายๆคนรู้สึกเศร้า หมดแรงไร้พลัง รู้สึกผิดหวัง เพราะตั้งความหวังไว้ว่าจะสอบผ่าน หากหวังแล้วตั้งใจเรียนในห้องเรียนเรื่องที่เรียนแล้วยังไม่เข้าใจเพียงพอก็ขวนขวายศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม จัดเวลาเรียนและทำการบ้านอย่างเต็มที่ถึงเวลาก็เข้าสอบด้วยใจสงบ อย่างมีสติ เมื่อทำเหตุดีแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ควรปล่อยวางยอมรับเพราะได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว อย่าให้ความหวังมาเป็นอุปสรรคซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ทำให้สอบไม่ผ่านทั้งปัญหาทางสุขภาพ ปัญหาทางอารมณ์ ความคิดความเชื่อภายในตนเอง ความกดดันจากทางบ้านโรงเรียน เพื่อนและสังคมที่แวดล้อมเราอยู่
สอบไม่ผ่านก็คิดว่าเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นบทเรียนบทหนึ่งให้ได้เรียนรู้สอบไม่ผ่านไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง ล้มเหลวในชีวิตแต่อาจเป็นเพราะมีเวลาเตรียมตัวน้อย พลาดในการทำข้อสอบ ให้มองว่าเป็นเรื่องแก้ไขได้ มุ่งมั่นพยายามในการสอบครั้งต่อไป ปรับเปลี่ยนตัวเองในเรื่องที่อาจละเลยไป เช่น วางแผนจัดเวลาเรียนและทำการบ้าน ตั้งใจเรียนในเวลา ทบทวนบทเรียนทำแบบฝึกหัดสม่ำเสมอ การฝึกทำจะช่วยให้จำแม่น อ่านหนังสือกับเพื่อน แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อีกวิธีที่ได้ผลมากคือศึกษาด้วยตนเอง ซึ่งต้องใช้สมาธิมากในการทำความเข้าใจสาระสำคัญและนำสิ่งที่ไม่เข้าใจมาค้นคว้าหาความรู้ต่อไป ดูแลสุขภาพ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังและพักผ่อนอย่างเหมาะสม ดูแลอารมณ์ดูแลใจให้สุขสงบ ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จแต่ละเรื่องเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ขยันขึ้น คนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จำนวนไม่น้อยที่เรียนไม่จบและการเรียนเก่งอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้มีความสุข ความสุขและสุขภาพจิตที่ดีเกิดจากการอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสัมพันธ์ที่ดี มีเพื่อน ทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนในกลุ่มและในชั้นเรียน การปรับตัวและเรียนรู้แก้ไขปัญหาจากประสบการณ์ การได้เลือกทางชีวิตที่ถนัดและพอใจ การเรียนเก่งและมีความสุขช่วยหล่อหลอมให้วัยรุ่นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์ มีอุดมการณ์ กำหนดเป้าหมายและวางแผนชีวิตได้ มีอารมณ์หนักแน่น มั่นใจในตนเองกล้าแสดงออก แก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่ในชีวิตและเหตุการณ์ประจำวัน และประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ขอให้ฝึกฝนดูแลใจด้วยการยอมรับ ปรับเปลี่ยน มีความหวัง คิดสร้างสรรค์ เข้าใจตนเองแก้ปัญหาจัดการกับอารมณ์และมีความสุขในชีวิตนะคะ
หากคุณยังมีความกังวลและต้องการความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต โทรปรึกษาได้ที่หมายเลข 1323 ตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ
สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง
ลูกสอบไม่ผ่านอาจมาจากหลายๆ สาเหตุ เช่น ปัญหาทางอารมณ์ เก็บกดมีผลให้เรียนไม่รู้เรื่อง ผลการเรียนตกและสอบไม่ผ่าน ปัญหาด้านสายตา ตาเอียง สายตาสั้น ปัญหาการได้ยิน ระดับสติปัญญาหรือแม้แต่ปัจจัยภายนอก เช่น วิธีการสอนของครู ความคาดหวังของพ่อแม่ที่เกินความสามารถของเด็ก ทำให้เกิดความเครียดทั้งตัวเด็กและครอบครัว ลองมองหาสาเหตุที่แท้จริง สังเกตและส่งเสริมสนับสนุนตามความชอบของลูก ส่งเสริมการเรียนของลูกเช่น ใช้คำถามให้คิดหาเหตุผลและเสนอวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง ให้ความรัก ความใส่ใจ เป็นเพื่อนพูดคุยกับลูกเรื่องการเรียนอย่างเป็นปกติสม่ำเสมอ ไม่ใช่ลูกสอบตกทีก็ใส่ใจที ลูกอาจสอบตกบ่อยๆเพื่อให้คุณแม่ใส่ใจได้เช่นกัน
คุณแม่ควรปลอบใจ ให้กำลังใจ ให้ลูกตั้งใจพยายามใหม่ ช่วยลูกหาจุดบกพร่องเพื่อแก้ไขปรับปรุงให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นและวางแผนการเรียนร่วมกัน เอาใจใส่สนับสนุนให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบและถนัด การเรียนจากชีวิตประจำวันและจัดประสบการณ์ตรงร่วมกับลูก เช่น เล่นเรียกศัพท์ภาษาอังกฤษขณะเดินทาง ฯลฯ สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินและเพิ่มความรักความผูกพันระหว่างแม่กับลูกมากขึ้นค่ะ
รัชดาวรรณ์ แดงสุข
..............................................................................................................................................................
ถ้าคุณเคยเรียนอยู่ในระดับปกติ แล้วต่อมาสอบได้คะแนนต่ำลง ให้คุณพิจารณาสาเหตุก่อนว่าอะไรทำให้การเรียนของคุณตกต่ำ ซึ่งสาเหตุอาจเกิดได้จาก
1. ตัวเราเอง เช่น ไม่ชอบวิชาที่เรียนเพราะเข้าใจยาก ไม่มีเวลาทบทวนบทเรียนอันเนื่องมาจากต้องทำงานด้วยเรียนด้วย เล่นเกมติดต่อกันวันละหลายชั่วโมง มีปัญหากับครูผู้สอน หรือไม่เข้าใจวิชาเรียน แต่ไม่กล้าซักถามเลยทำให้เกิดความรู้สึกท้อแท้ เบื่อหน่าย
2. เกิดจากผู้สอน เช่น สอนไม่เข้าใจ วิธีการสอนของครูน่าเบื่อหน่าย ครูดุมากเกินไปหรือจู้จี้จุกจิก น่ารำคาญ ทำให้คุณไม่สนใจเรียน
3. เกิดจากพ่อแม่หรือปัญหาที่บ้าน เช่น พ่อแม่คาดหวังมากเกินไป พ่อแม่ทะเลาะกันหรือเจ็บป่วยเรื้อรังทำให้คุณอึดอัดใจ ไม่มีสมาธิการเรียน ต้องรับผิดชอบเรื่องอื่นๆ มากเกินไปจนไม่มีเวลาสำหรับการเรียนเท่าที่ควร
4. เกิดจากเพื่อน เช่น ขัดแย้งกับเพื่อน เพื่อนชวนคุย เล่นระหว่างเรียน ทำให้คุณไม่มีสมาธิในการเรียน ไม่อยากเรียน
เมื่อคุณค้นหาสาเหตุได้แล้ว ให้คุณพยายามแก้ไขในเรื่องนั้นๆ ดังนี้
ถ้าไม่ชอบวิชาที่เรียนเพราะเข้าใจยาก คุณต้องค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากห้องสมุดหรือ Internet ถามผู้รู้ที่เราไว้ใจ ได้แก่ พ่อแม่ ครู เพื่อน เพื่อนรุ่นพี่ ขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่เพื่อเรียนพิเศษ ทำงานตามที่ครูมอบหมายให้ครอบและแบ่งเวลาให้เป็น เรียน ทำงานและเล่น(เกม) โดยต้องเล่น (เกม) ได้อย่างมีความรับผิดชอบไม่เสียการเรียน
ถ้าคุณรู้สึกไม่ชอบครูอาจารย์ คุณควรลองคุยกับเพื่อนๆ เพื่อระบายความรู้สึกอึดอัดใจ เพื่อนจะช่วยปลอบใจคุณได้ และถ้าคุณพยายามปรับปรุงตัว เช่น ไม่คุยและสนใจเวลาเรียน ส่งงานให้ครบและตรงเวลา ทำตามกฎระเบียบ ครู – อาจารย์ก็จะเลิกจู้จี้จุกจิก เลิกดุคุณไปเอง
ถ้าคุณอึดอัดจากปัญหาที่บ้าน คุณควรปรึกษาเพื่อนหรือครูที่ไว้วางใจ หรือไม่ก็อาจคุยกับคุณพ่อคุณแม่อย่างตรงไปตรงมา เพื่อขอความเห็นใจจากท่านและให้ท่านเข้าใจคุณ
ปัญหาการเรียนตกต่ำแก้ไขไม่ยาก ลองทำตามคำแนะนำที่กล่าวไปแล้วและหากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมโปรดติดต่อที่หมายเลข 1323
อัมพร หัสศิริ
…………………………………………………………………………………………………..……
ถ้าท่านมีปัญหาต้องทะเลาะกับครู ลองคิดดูซิว่าอะไรที่ทำให้ท่านรู้สึกอดทนไม่ได้จนกลายเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกับครู บางครั้งกลายเป็นเรื่องร้ายแรงจนถูกตัดคะแนนความประพฤติ หรือถูกลงโทษ เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่จะมีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบเรียนรู้ ชอบลองสิ่งใหม่ๆ ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นการละเมิดระเบียบวินัยของโรงเรียนและครูก็จะเป็นคนที่ต้องรับหน้าที่สอดส่องดูแลให้การอบรมสั่งสอน เมื่อความประพฤตินั้นผิดจากกฎเกณฑ์ เช่น การปล่อยเสื้อออกนอกประโปรง / กางเกง การไว้ทรงผมนอกเหนือจากที่โรงเรียนกำหนดไว้ การหนีเรียนและเมื่อครูจับได้ก็มักจะตำหนิ คาดโทษ คนทำให้ท่านรู้สึกไม่พอใจ คิดว่าครูคอยจะจับผิดอยู่เรื่อยไป รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความเป็นอิสระเอาเสียเลย
เรื่องเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อจิตใจทั้งตัวครูเองที่คิดว่าเด็กชอบทำผิด ไม่เชื่อฟัง หลายคนจึงใช้มาตรการเด็ดขาดในการลงโทษเด็ก ส่วนเด็กเองก็มีความเคืองแค้น และมีพฤติกรรมรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ดีหลายๆคนที่มีปัญหากับครูจนต้องแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมออกมา ถ้าถามความรู้สึกนี้คงบอกได้ว่าไม่มีความสุขเอาเสียเลยที่ต้องทะเลาะกับครู ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะกับครูจนทำให้ขาดความสุข ก็ลองมาพิจารณาการประพฤติปฏิบัติของท่านดูก่อนว่าผิดต่อกฎระเบียบของสังคมที่กำหนดไว้หรือไม่ ถ้าผิดก็ควรยอมรับและพยายามระมัดระวังให้มากขึ้น แต่ถ้าคิดว่าได้ทำถูกต้องดีแล้ว ก็พยายามอธิบายเหตุผลให้ครูฟังด้วยทีท่าที่อ่อนน้อม แสดงความเคารพ แต่ถ้าครูยังไม่ยอมรับฟังเหตุผลและใช้อารมณ์อยู่ จึงค่อยหาวิธีปรึกษาผู้ใหญ่ที่ท่านไว้ใจเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในเรื่องนั้นๆ ต่อไป
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ดารกา แสงสุขใส
..........................................................................................................................................................
เป้าหมายชีวิตเป็นสิ่งที่เรากำหนดขึ้นเพื่อให้มีจุดหมาย มีทิศทาง เปรียบดังแผนที่ชีวิตให้เราก้าวเดินโดยไม่หลงทาง วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องกำหนดเป้าหมายชีวิตว่า อนาคตอยากเป็นอะไร จะเตรียมตัวและเวลาในการเดินทางไปสู่เป้าหมายอย่างไร บนพื้นฐานที่ว่า ตัวเองเป็นคนอย่างไร สนใจ ชอบและถนัดเรื่องใด ต้องการเรียนและทำงานอะไรในอนาคต แล้วสานฝันจากเป้าหมายให้เป็นจริงด้วยตัวของเราเอง
วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความกังวลและสับสนทางอารมณ์ในการก้าวผ่านสู่วัยผู้ใหญ่ที่พึ่งตนเองได้ พื้นฐานสำคัญในการตัดสินใจเลือกเป้าหมายชีวิต คือ การเข้าใจธรรมชาติของตนเองและการเลี้ยงดูจากครอบครัวที่เข้าใจและให้กำลังใจสนับสนุนให้คิดและตัดสินใจในสิ่งที่เหมาะสม ลองวิเคราะห์ประเมินตนเองแล้วกำหนดเป้าหมายในด้านการเรียน การทำงาน ความรัก ครอบครัว เพื่อนและสิ่งที่ใฝ่ฝัน กำหนดแนวทางที่จะไปสู่เป้าหมายในแต่ละเรื่อง คิดด้วยว่าอาจพบบางปัญหาอุปสรรคในระหว่างทาง หากเกิดขึ้นจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร ทบทวนเป็นระยะและปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น เมื่อเกิดปัญหาให้ตั้งสติ ปลอบใจให้กำลังใจตนเอง คิดว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองหรือต้องให้ใครช่วย มีวิธีใดบ้างในการแก้ปัญหาและเลือกตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยตนเองเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่มุ่งหวังไว้
ตั้งความหวังตั้งเป้าหมายชีวิตที่ดี อาจจะมีอุปสรรค สิ่งผิดพลาดบ้างก็ให้อภัยตนเองวัยรุ่นควรมีเป้าหมายขยัน ตั้งใจเรียนเพื่อให้สอบได้คะแนนดีเป็นใบเบิกทางนำไปสู่การศึกษาต่อการทำงานตามที่ต้องการและประสบความสำเร็จในอนาคต
หากคุณมีความกังวลและต้องการความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตโทรปรึกษาได้ที่หมายเลข 1323 ตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ
ดารกา แสงสุขใส
..........................................................................................................................................................
วัยรุ่นต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งร่างกายที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีความกังวลและสับสนทางอารมณ์ในการก้าวผ่านสู่วัยผู้ใหญ่ที่พึ่งตนเองได้และได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง การค้นหาตัวเองเป็นภารกิจสำคัญตามวัยของวัยรุ่น
ตัวตน ก่อขึ้นมาด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน ส่วนแรกคือการเลี้ยงดูของครอบครัว ที่เป็นต้นแบบ และโอกาสในการเรียนรู้ อีกส่วนคือตัวของเราเองที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใครและก็ไม่จำเป็นต้องแตกต่างจากคนอื่นอย่างสุดขั้ว ลองถามตัวเองว่าเราเป็นใคร มีนิสัยอย่างไร มีความสนใจ ความชอบความถนัดในเรื่องใด วิชาที่ชอบเรียนอาชีพที่อยากเป็น แนวคิดความเชื่อ ความต้องการหรือเป้าหมายในชีวิตรวมถึงเอกลักษณ์ทางเพศ คำตอบที่ได้จะช่วยให้รู้จักตัวตนและความสามารถที่ตัวเองมี
เมื่อค้นหาตัวเองพบแล้ว ควรตั้งเป้าหมายและดำเนินชีวิตตามแผนที่ชีวิตที่วางไว้ให้สำเร็จ แบ่งเวลาในการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ วาดรูป ท่องเที่ยว เล่นดนตรี เล่นกีฬา ทำการฝีมือฯ ฝึกการคิด ใช้ปัญญาในการเผชิญกับเหตุการณ์ในชีวิตมากกว่าการใช้อารมณ์ เลือกเผชิญหน้ากับปัญหาเพื่อก้าวผ่านความทุกข์หรืออุปสรรค ความสำเร็จจะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจและความสุขในชีวิต เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกภาพมั่นคง มีเพื่อน สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ ที่สำคัญคือรู้จักให้และรับ มองโลกในแง่ดี รักตัวเอง มองเห็นคุณค่าของตัวเอง ยอมรับ พอใจในชีวิต มีสุขภาพจิตดีและมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็น
หากคุณมีความกังวลและต้องการความช่วยเหลือ โทรปรึกษาได้ที่หมายเลข 1323 ตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ
ดารกา แสงสุขใส
...........................................................................................................................................................
เรียนอย่างไรให้มีความสุข น้องๆหลายคนคงมีคำตอบในใจ ถ้าผลการเรียนดีทุกวิชา เรียนเข้าใจ กะข้อสอบแม่น สอบผ่านคะแนนดีทุกครั้ง บอกเกรดแล้วพ่อแม่ชื่นชม ก็คงรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขแน่นอน ทำอย่างไรจะเป็นเช่นนี้ได้.........
การเรียนดีต้องใช้ความตั้งใจสูง มีความพยายามอย่างแน่วแน่ ฝึกฝนและเรียนรู้สม่ำเสมอ เข้าใจการทำงานของสมองด้วยว่า มีการทำงานตลอดเวลาทั้งยามเราหลับและตื่น ฮิปโปแคมปัส หรืออวัยวะในสมองที่ทำหน้าที่บันทึกความจำและถ่ายโอนข้อมูลที่เราเรียนรู้ระหว่างวันเข้าเป็นความจำระยะยาวจะทำงานตอนที่เราหลับ ดังนั้น ต่อให้ท่องจำมากแค่ไหนหากนอนไม่พอ ก็เท่ากับว่าความพยายามท่องจำนั้นสูญเปล่า จึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดสะดวก จัดใจให้สงบ เรียนได้ผลการเรียนดีแล้ว แต่ละคนต้องตั้งใจและดูแลชีวิตในหลายๆส่วนด้วย ทั้งการดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ ดูแลอารมณ์ให้แจ่มใส ฝึกสติสมาธิให้มีพลังและปัญญา รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน ครู เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ของชีวิตและจัดการความเป็นอยู่ให้เหมาะสม จะเรียนได้ดีและมีความสุขด้วย
ชีวิตของคนเรานั้นเก่งอย่างเดียวประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตเพียง 20% ต้องอาศัยความฉลาดทางอารมณ์ (อีคิว) ที่ทำให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ มีความภาคภูมิใจในตนเอง มีความสุขความสำเร็จและมีความหวัง ซึ่งแม้อาจไม่ได้ดังหวัง แต่มีความมหัศจรรย์แฝงอยู่ เพราะความหวังทำให้เกิดพลัง ต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค หวังว่าจะได้ขึ้นชั้น ทำให้พยายามทำการบ้าน รับผิดชอบ ไม่เข้าใจก็ถาม ได้รับคำชื่นชมในความพยายาม คำชื่นชมทำให้รู้สึกถึงคุณค่าภาคภูมิใจในตนเอง นำมาซึ่งความพึงพอใจและความสุขในชีวิต
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ดารกา แสงสุขใส
................................................................................................................................................................
ขอแสดงความยินดีกับน้องๆที่มุ่งมั่น ขยันอดทน ฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นะคะ การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านหนึ่งของชีวิตตาม พัฒนาการและวิกฤตของช่วงวัย ที่สร้างความเครียดความสันสน ต้องการคำแนะนำและกำลังใจให้ก้าวผ่านพัฒนาการสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และประสบความสำเร็จในการเรียนและการใช้ชีวิตต่อไป
เรียนในมหาวิทยาลัยน้องๆอาจมีความเครียด วิตกกังวลกลัวเรียนไม่เข้าใจ เรียนไม่ทันเพื่อน จดโน้ตไม่ทัน ฟังไม่เข้าใจไม่กล้าถาม ไม่เข้าเรียนเนื่องจากต้องทำกิจกรรม อ่านหนังสือ ไม่ทันเมื่อใกล้สอบบางคนบริหารเวลาไม่เหมาะสมใช้เวลาในการคุยโทรศัพท์ เล่น
อินเทอร์เน็ต ปัญหาเหล่านี้เราสามารถจัดการแก้ไขด้วยตัวเองได้และทำให้ความเครียดลดลง
การเรียนในมหาวิทยาลัยต้องใช้ความตั้งใจสูง มีความพยายามอย่างแน่วแน่ ฝึกฝนและเรียนรู้สม่ำเสมอ ฝึกทักษะการอ่านเร็ว การจดโน้ตให้อ่านออกและรู้เรื่อง และให้ทันที่อาจารย์สอน อาจทำเป็น mind map หรือแผนที่ย่อความซึ่งช่วยฝึกการคิดและจำ ตรงกับลักษณะการจำตามธรรมชาติของสมอง ฝึกการฟัง วางแผนการเรียนและการส่งงาน ลดเวลาคุยโทรศัพท์ เล่นอินเทอร์เน็ต เอาเวลามาอ่านหนังสือเรียนให้ผ่านตาทุกเล่ม มองให้เห็นเป็นภาพรวม คิดว่าหนังสือคือเพื่อนไปไหนไปกัน
เรียนดีแล้วมีความสุข น้องต้องตั้งใจดูแลชีวิตตัวเองในอีกหลายส่วนด้วย ดูแลสุขภาพกายให้สดชื่นแข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำทำให้สมองหลั่งสารดีๆออกมา พักผ่อนให้เพียงพอ จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดสะดวก จัดใจให้สงบ ใจที่สงบขณะที่สมองตื่นตัว เป็นภาวะที่เรียนรู้ได้ดีที่สุด ฝึกสติสมาธิให้มีพลังและปัญญา รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน อาจารย์ เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตให้กล้าแกร่งแข็งแรงขึ้นตามวัย การฝึกการหายใจเป็นประจำทำให้จิตสงบ มีสมาธิเรียนได้ดีและมีความสุข ลองฝึกให้เป็นประจำนะคะ
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ดารกา แสงสุขใส
..........................................................................................................................................................
การเรียนพิเศษช่วยให้เรียนได้เกรดดีขึ้น ช่วยให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้จริงหรือ หรือว่าเป็นค่านิยมเรียนตามเพื่อน เพื่อนไปเรียนทั้งนั้น ใครไม่ไปเชยตาย วัยรุ่นบอกตรงกัน... เรียนพิเศษช่วยให้ผลการเรียนดีขึ้นถ้าตั้งใจเรียน ไม่โดดไปดูหนังกับเพื่อน เล่นเกมหรือใช้เวลาไปทำกิจกรรมอื่นๆ วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง อยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง ความรู้ทางวิชาการนับวันจะมีมากขึ้น ครูไม่สามารถสอนให้ได้ทั้งหมดอีกต่อไป การเรียนรู้ด้วยตัวเองจึงเป็นเรื่องจำเป็น ปัจจุบันการเรียนการสอนแต่ละโรงเรียนมีมาตรฐาน มีสื่อการสอนอุปกรณ์แตกต่างกัน ปัจจุบันนำเกณฑ์เดียวกันมาวัดในการสอบทำให้เด็กเกิดความกังวล จึงต้องเรียนพิเศษด้วยเหตุผลหนึ่งคือไม่มั่นใจเนื้อหาที่โรงเรียนสอนว่าจะมากเพียงพอและโรงเรียนพิเศษหรือโรงเรียนกวดวิชามักสอนสนุก ไม่เครียด มีมุกการจำ เพิ่มเนื้อหา ฝึกให้ตะลุยโจทย์ยาก เน้นย้ำจุดสำคัญ ฝึกการคิดวิเคราะห์มากกว่าท่องจำและมีเทคนิคคิดลัดเพื่อให้ทำข้อสอบได้ถูกต้องรวดเร็ว ประกอบกับค่านิยมปัจจุบันปลูกฝังให้ต้องเรียนเก่ง แข่งกันเรียน ครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญ พ่อแม่บางคนสนับสนุนให้ลูกเรียนพิเศษอย่างมาก ก็ขอให้มองว่าเป็นความปรารถนาดีของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี มีความรู้ความสามารถพอที่จะอยู่ในสังคมที่ดี การเรียนเก่งอาจไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษ หากตั้งใจเรียนในเวลา ทบทวนบทเรียน หมั่นทำแบบฝึกหัด รู้จักแบ่งเวลาในการเรียน การดูแลตนเอง ใช้เวลาว่างและเวลาพักผ่อนให้สมดุล
ตั้งใจเรียนรู้เป็นเรื่องที่ดี การเรียนดีทำให้มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในตนเอง เรียนดีต้องมีความสุขด้วย ความสุขที่ได้อยู่กับเพื่อน มีกลุ่มเพื่อนที่ดี ดูแลช่วยเหลือและใช้เวลาร่วมกัน ใช้ประโยชน์ของเวลาอย่างคุ้มค่า รู้จักวิเคราะห์เพื่อนให้เป็น เลือกทำชีวิตให้ดี ชีวิตเราเลือกได้ ที่จะทำทุกอย่างให้ดี ให้ประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวัง วันหนึ่งน้องจะได้ยืนบนโลกใบนี้อย่างสง่างาม มีชีวิตที่สมหวัง ขอให้ทุกคนโชคดี มีที่ยืนดีๆบนโลกใบนี้ค่ะ
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ที่มา : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข