.............................................................................................................................................................
เคยไหมค่ะที่ลูกวัยรุ่นของคุณเกียจคร้าน วัน ๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ยอมช่วยทำงาน แม้คุณจะพยายามกระตุ้นสักเพียงใดก็ไม่สำเร็จสักที
ถ้าเป็นเช่นนี้ลองหาสาเหตุดูนะคะว่าเพราะอะไร บางคนอาจมีปัญหาบางอย่างอยู่ในใจที่ทำให้รู้สึกเบื่อ เซ็ง บางคนมีนิสัยช่างคิดช่างฝัน อยากอยู่เงียบ ๆ เพื่อเพ้อฝันอยู่คนเดียว บางคนหยิบจับอะไรก็มักทำของเสียหายจนถูกตำหนิอยู่เรื่อย ๆ เลยทำให้ไม่อยากหยิบจับอะไรไปเลย
แต่จะเพราะสาเหตุใดก็ตาม ให้คุณลองใช้วิธีจัดหน้าที่ความรับผิดชอบภายในบ้านให้สมาชิกทุกคน รวมทั้งลูกวัยรุ่นด้วย คุณควรจะบอกให้เขารู้ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง พูดให้ชัดเจน แต่อย่าใช้การบ่นหรือเพียรบอกซ้ำซากจนเขารำคาญ และอาจมีปฏิกิริยาต่อต้านตามมา
และเมื่อเขาทำตามหน้าที่ที่คุณมอบหมายให้ก็ควรชมเชยและให้ความสนใจ พยายามดึงให้เขาเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในบ้านทีละเล็กทีละน้อย เช่น คุณทำกับข้าวก็ขอร้องให้เขาช่วยจัดโต๊ะหรือหยิบจานชามให้คุณ
ค่อย ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ นะคะ แล้วเขาจะดีขึ้นเอง ข้อสำคัญที่พึงตระหนักคือกับลูกวัยรุ่นแล้วต้องอาศัยความใจเย็นเป็นหลักค่ะ
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
จริยา วัฒนโสภณ
...............................................................................................................................................................
สาเหตุที่เด็กพูดโกหกอาจเกิดได้จากการที่เด็กกลัวจะถูกลงโทษ จึงพูดโกหกเพื่อแก้ตัวให้พ้นผิด เช่น แอบขโมยของเพื่อนแต่บอกว่าไม่ได้ขโมย เป็นต้น
เด็กบางคนอาจต้องการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่หรือคนใกล้ชิด จึงพูดเรื่องที่ไม่จริงหรือสร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อให้เด่นเหนือคนอื่น เช่น คุยให้เพื่อนฟังว่าปิดเทอมนี้พ่อแม่พาไปเที่ยวต่างประเทศ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ไป เป็นต้น
หากพ่อแม่พบว่าเด็กพูดเรื่องไม่จริง ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยเพราะจะเป็นการสนับสนุนให้เด็กโกหกจนเป็นนิสัยและพ่อแม่ก็ไม่ควรลงโทษรุนแรงเพราะเด็กจะพยายามโกหกให้แนบเนียนยิ่งขึ้นอีกเพื่อไม่ให้พ่อแม่จับได้
ถ้าเด็กอยู่ในวัยที่เข้าใจเหตุเข้าใจผลได้แล้ว พ่อแม่ควรให้ความใกล้ชิดและพูดคุยกับเด็กมากขึ้น พยายามอธิบายให้เด็กฟังว่าการโกหกทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ ต่อไปแม้พูดเรื่องจริงคนอื่นก็จะไม่เชื่อและสอนว่าถ้าเด็กทำผิดก็ควรยอมรับผิดและแก้ไขปรับปรุงตัวเสียใหม่ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่กล้าหาญ
นอกจากนี้พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีของลูก เช่น เมื่อสัญญากับเด็กว่าจะทำอย่างไร ก็ควรทำตามที่พูดเช่นนั้น เด็กจะได้เชื่อถือและยึดเอาเป็นแบบอย่าง
หากเด็กปรับปรุงตัวโดยเลิกพูดโกหกได้แล้ว พ่อแม่ต้องให้คำชมเชยหรือให้กำลังใจเด็กด้วย เพื่อเด็กจะได้มีกำลังใจ และไม่โกหกอีกต่อไป
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังต้องการปรึกษาในเรื่องนี้เพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
...............................................................................................................................................................
ลูกวัยรุ่นของคุณมีปัญหาชอบขโมยของทำให้คุณต้องหนักใจอยู่หรือเปล่าคะ การที่ลูกวัยรุ่นชอบขโมยของนั้น มีสาเหตุสำคัญอยู่ 2 – 3 ประการ ดังนี้
1. เขาชอบทำอะไรตามสบาย โดยไม่คำนึงถึงมารยาทหรือจิตใจของผู้อื่น เช่น เมื่ออยากได้เงินก็หยิบเอาเองจากกระเป๋าสตางค์ของคุณโดยไม่ขออนุญาต
ในการนี้ คุณคงต้องคุยกับเขาและบอกให้เขาเคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นคนในบ้านเดียวกันก็ตาม พูดกับเขาดี ๆ ก่อน ถ้าเขายังไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยจึงค่อยลงโทษ
2. เขาต้องการเรียกร้องความสนใจจากคุณ หรือบางทีเขาอาจมีอะไรคับแค้นใจอยู่ เลยใช้การขโมยเป็นวิธีการแก้แค้นเพราะถ้าเขาถูกจับได้ พ่อแม่ก็จะต้องอับอายและเจ็บปวด
ในการนี้ คุณควรหันมาให้เวลา ให้ความรัก ความอบอุ่นกับลูกให้มากขึ้น พยายามสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างพ่อแม่ลูกให้มากขึ้น เมื่อลูกเข้าใจพ่อแม่อย่างแท้จริงแล้วเขาก็จะเลิกทำร้ายพ่อแม่ทางอ้อมแบบนี้ไปเอง
3. เขามีปัญหาสุขภาพจิต คือ มีความสุขที่ได้ขโมย ได้สะสมของที่เป็นของคนอื่น และไม่สามารถหักห้ามใจไม่ให้ขโมยได้ คุณพ่อคุณแม่จะพบของที่เขาขโมยมาเต็มห้องของเขาไปหมด
ในการนี้ ควรพาลูกไปพบจิตแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป
ปัญหาวัยรุ่นชอบขโมยของเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไม่รีบแก้ไขแต่เนิ่น ๆ ลูกอาจจะยิ่งได้ใจที่จะทำผิดต่อไปเรื่อยๆ และเมื่อถูกจับได้ก็อาจจะถูกดำเนินคดีทำให้เสียอนาคต ซึ่งเมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็ยากแก่การแก้ไขค่ะ
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังต้องการปรึกษาในเรื่องนี้เพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
อรรำไพ วินทะไชย
.........................................................................................................................................................
สถานการณ์ปัญหาเด็กติดเกมติดเน็ท ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว วัยรุ่นมักคิดว่าการเล่นเกมไม่ใช่ปัญหาเป็นแต่เพียงการเล่นเกมเพื่อผ่อนคลายจากการเรียน และการทำกิจกรรมที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน การเล่นเกมแบบออนไลน์สามารถเล่นกับเพื่อนๆ ได้พร้อมกันนับสิบ นับร้อยจากทุกแห่งของมุมโลกในเวลาเดียวกัน ความสุขจากการแข่งขันในรูปแบบของเกมที่มีหลากหลายทันสมัยที่ผลิตขึ้นอย่างมากมาย อีกทั้งมีแรงจูงใจผู้เล่นได้เก็บคะแนนเป็นฮีโร่ รู้สึกได้รับการยอมรับและภาคภูมิใจยิ่ง เพราะโลกแห่งความเป็นจริงไม่สามารถทำได้เหมือนเกมที่เป็นโลกแห่งจินตนาการที่เขาสามารถควบคุมเกมและสถานการณ์ได้ตามต้องการ
หากลองสำรวจตัวเองสักนิด พบว่า เราใช้เวลาในการเล่นเกมเล่นเน็ทอย่างเพลิดเพลินอย่างไม่รู้วันและเวลา และหากไม่ได้เล่นรู้สึกเป็นทุกข์เหมือนขาดอะไรในชีวิตที่เติมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม มารู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อ เพื่อนที่เคยสนิทไม่เหลืออยู่เลย เสียความหน้าที่ความเป็นลูกที่น่ารักที่เคยมีความสัมพันธ์ต่อกันมาภายในครอบครัว และผลการเรียนตกหมดอนาคตไม่เหลือแม้กระทั่งเป้าหมายชีวิตในที่คาดหวังไว้ อยากบอกตัวเองว่า... เสียดายเวลาที่ผ่านมา... ถ้าไม่ติดเกมติดเน็ท!
ข้อแนะนำสำหรับในการดูแลตนเองหากพบว่ามีปัญหาการติดเกม/ติดเน็ท
1. ตั้งเป้าหมายชีวิต วางแผนการดำเนินชีวิตใหม่และเริ่มต้นในการปรับพฤติกรรมใหม่ทันที
2. หลีกเลี่ยงการเล่นเกม/เล่นเน็ทหรือปรับเวลาการเล่นให้ลดลง ใช้เวลาให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงหน้าที่รับผิดชอบต่อการเรียน และการงาน
3. เปิดใจให้กว้างค้นหาและยอมรับการเข้าร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ชอบทำแทนการใช้เวลาเล่นเกม เช่น กีฬา ดนตรี วาดภาพ ชมรมต่าง ๆ ที่เป็นกิจกรรมหลายรูปแบบเพื่อสร้างสังคมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทักษะจากกิจกรรมสร้างสรรค์ ช่วยให้เพลิดเพลินและยังเป็นบันไดไปสู่ทางเลือกที่ถนัดและสนใจหากพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่การเป็นลูกและนักเรียนอย่างมั่นคง
5. เข้าใจครอบครัวในการแก้ไขปัญหาโดยร่วมมือกับพ่อแม่ที่สนับสนุนอย่างเข้มแข็งและอดทน
ครอบครัวจะทำอย่างไรที่ลูกติดเกม/ติดเน็ท
1. พ่อแม่มีส่วนสำคัญยิ่ง ควรอดทนหันหน้าเข้ากัน จับมือกันคุยในการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ทุกคนในครอบครัวต้องร่วมกันจับมือฝันฟันอุปสรรค รับผิดชอบร่วมกันอย่างอดทน ใช้เวลาและให้กำลังใจซึ่งกันและกันอย่างแน่วแน่
2. มีการสื่อสารพูดคุยกันในทางบวกให้ชัดเจนให้เกียรติเคารพในมุมมองของกันและกัน ฟังอย่างเข้าใจและตั้งใจ ฝึกให้ลูกสามารถสื่อสารได้ชัดเจนและเหมาะสม อาจมีการต่อรองและยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องชัดเจนและมั่นคง
3. ปลูกฝังวินัยและความรับผิดชอบให้ลูกอยู่เสมอ โดยทำเป็นตัวอย่าง ทำตนให้ลูกรู้สึกชื่นชมศรัทธาและวางกฎระเบียบ จัดหน้าที่ให้ลูกได้รับผิดชอบช่วยเหลืองานในบ้านเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนร่วมในครอบครัวมีการให้รางวัลและลงโทษที่เหมาะสมและต้องมีการติดตามงานที่มอบหมายตามที่ตกลงกันทั้งสองฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ
4. ชื่นชมลูกให้กำลังใจหากลูกทำได้บ่อยๆเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้เห็นคุณค่าและยอมรับในความเป็นตัวตนได้ดี
5. สนับสนุนให้ลูกได้ทำกิจกรรมสร้างสรรค์และมีทางเลือกหลายรูปแบบที่ลูกชอบและถนัดเพื่อไม่ให้ลูกติดในสิ่ง ๆ เดียว
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังต้องการปรึกษาในเรื่องนี้เพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
อรรำไพ วินทะไชย
…………………………………………………………………………………………….……..
เมื่อสิ่งแวดล้อมก้าวไปข้างหน้าเทคโนโลยีเติบโตไม่หยุดยั้งการติดต่อสื่อสารเชื่อมโยงเครือข่ายกลุ่มต่างๆจึงเป็นเรื่องไม่ยากสำหรับวัยรุ่นที่จะติดต่อกันทั้งที่รู้จักและกลุ่มที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน การที่เด็กต้องมาอยู่กับสิ่งแวดล้อมเดียวกันจึงสามารถมารวมตัวกันได้ โดยไม่ต้องนัดให้มาพบปะกันในเวลาและสถานที่เดียวกันเพื่อพูดคุยหรือทำกิจกรรมที่สนใจร่วมกันในทันที สามารถใช้เป็นโทรศัพท์ เล่นเกม ถ่ายรูป และเล่นเน็ต ฯลฯ โดยมีการพัฒนาเครื่องมือเป็นเครื่องเดียวกันเพื่อสื่อสารและรวมกลุ่มกันได้อย่างรวดเร็วทุกมุมของโลกใบนี้
การใช้การสื่อสารออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ จริงๆแล้วมีประโยชน์มากมายมหาศาลโดยเฉพาะใช้เพื่อการศึกษาค้นคว้าเรียนรู้แลกเปลี่ยนจากคลังความรู้และหนังสือทุกแขนงวิชาที่น่าสนใจเพื่อค้นคว้าหาความก้าวหน้าในการพัฒนาตนเองหรือใช้เพื่อติดต่อสื่อสารสรุปประเด็นที่ชัดเจนได้ทันเวลาอย่างเหมาะสม แน่นอนผลเสียจากการสื่อสารออนไลน์โดยใช้เวลามากเกินไปก็ย่อมมีโทษมากเช่นกัน นอกจากผลกระทบต่อสายตาอย่างคาดไม่ถึงที่สำคัญลืมหน้าที่และขาดความรับผิดชอบต่อการเรียนและลืมบทบาทหน้าที่การเป็นลูกและความสัมพันธ์ที่ดีที่เคยช่วยงานบ้านและร่วมกิจกรรมกันอย่างมีความสุขที่อยู่ภายใต้ครอบครัวเดียวกัน มองเห็นว่าการดูแลตนเองเป็นหน้าที่ของพ่อแม่หรือแม้กระทั่งลืมกิจวัตรประจำวันส่วนตัวของตนเองในการดูแลรักษาสุขภาพ การรับประทานอาหารที่เป็นเวลา การดูแลรักษาความสะอาดร่างกาย ฯลฯ
สำหรับวัยรุ่นเองสามารถแก้ไขได้ สิ่งแรกที่ทำได้ง่ายคือ การเริ่มต้นที่ตนเองก่อน ด้วยการตั้งใจและมุ่งมั่นเอาชนะกับการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสารให้เหมาะสม กำหนดระยะเวลาในการใช้ให้ชัดเจนในแต่ละวัน บริหารเวลาให้เป็นประโยชน์ การใช้เวลาควรคำนึงถึงกิจกรรมและหน้าที่ของความสำคัญในงานและการเรียน รับผิดชอบต่อบทบาทของการเรียนและลูก พร้อมซื่อสัตย์ต่อการกระทำ คำพูดในการกำหนดกติกาการใช้เวลากับเครื่องไอทีอย่างมั่นใจ หากทำได้เชื่อว่า การที่พ่อแม่บ่นว่าเนื่องจากความห่วงใย มีผลก่อให้เกิดความรำคาญใจซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่ายย่อมลดลง ดังนั้นการแก้ไขการติดไอทีของวัยรุ่นจะต้องร่วมมือกันแก้ไขทั้งในส่วนตัวของเด็กและพ่อแม่ด้วย
พ่อแม่ คือบุคคลสำคัญในการดูแลลูก ควรเข้าใจว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการแสวงหาคนยอมรับ ควรชื่นชมลูกหากลูกสามารถจัดการตัวเขาในการดูแลตนเองได้ ควรส่งเสริมให้ลูกมีการพัฒนาความก้าวหน้าไปสู่การยอมรับนับถือตนเองและสนับสนุนให้ลูกรู้ว่าตนเองเป็นใคร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตตามหน้าที่รับผิดชอบหรือบทบาทของตนเองในแต่ละช่วงวัยที่ย่างก้าวของวัยรุ่นอย่างไร ตัวตนจึงจะเข้มแข็งสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องไปติดเพื่อนหรือติดกลุ่มในสังกัดใด สิ่งสำคัญพ่อแม่ควรทำความเข้าใจและจำเป็นต้องมีการเรียนรู้ในทักษะและเทคนิคบางประการในการใช้ไอทีได้บ้าง เพื่อสามารถดูและลูกวัยรุ่นให้ใช้ไอทีได้อย่างถูกทางและมีประโยชน์ อีกทั้งเป็นการป้องกันภัยอันตรายและการล่อลวงจากการติดไอทีสื่อสารออนไลน์ได้เป็นอย่างดี
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังต้องการปรึกษาในเรื่องนี้เพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
.............................................................................................................................................................
คุณมีปัญหาลูกวัยรุ่นใช้เงินเปลืองบ้างหรือเปล่าคะ เช่น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว ชอบซื้อของที่ไม่จำเป็น แรกๆ ที่ซื้อมาก็จะเห่อ แต่เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็เบื่อและเลิกสนใจไปเลย ทั้งๆ ที่ข้าวของแต่ละชิ้นก็แสนแพง หรือไม่ก็ซื้อเพราะอยากมีเหมือนเพื่อนๆ
ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณควรฝึกให้ลูกรู้จักรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของเขาเอง เช่น ให้เงินเป็นรายอาทิตย์หรือเป็นรายเดือน โดยตกลงร่วมกันว่าเขาควรจะได้รับเงินจำนวนเท่าไร ซึ่งไม่ควรมากเกินไปสำหรับเด็กในวัยนี้และให้จัดการกับการเงินด้วยตัวเขาเอง
ถ้าเขาต้องการจะซื้อของอะไรเป็นพิเศษ เขาต้องใช้วิธีเก็บออมเงินหรือหารายได้พิเศษด้วยการทำงานบางอย่างให้คุณ
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เขารู้คุณค่าของเงินและมีวินัยในการใช้จ่ายมากขึ้นค่ะ
ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดและรู้จักเก็บออมเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับลูกๆ วัยรุ่นด้วยนะคะ
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
อรรำไพ วินทะไชย
.........................................................................................................................................................
เดี๋ยวนี้แฟชั่นมีมากมายหลากหลายสไตล์อินเตอร์ ยุคไฮเทคตามสมัยกันแทบไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องผิวขาวสวยใส จมูกโด่ง ตาโต ดัดฟัน ระเบิดหู สักลายและหุ่นงามดั่งนางแบบ ภาพลักษณ์ภายนอกที่วัยรุ่นสนใจไขว่คว้ามาไว้กับตัวเปรียบเสมือนการประกาศอิสรภาพเสมือนนกน้อยกางปีกลอยลมต่อสายตาหลายต่อหลายคู่ที่ใครต่อใครมองมาอย่างสนใจ ทำให้เกิดความรู้สึกความภูมิใจและมีความสุข อยากให้มีคนยอมรับเป็นหมู่พวก
จริงๆแล้วคนทุกคนอยากสวย อยากหล่อในสไตล์ที่ตัวเองต้องการเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน และดูโดดเด่นในสายตาของคนส่วนใหญ่จนลืมนึกไปว่าภาพลักษณ์ภายนอกที่เราพยายามทุ่มเทโดยต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายเกินกว่าจะประมาณค่าได้หรือบางครั้งยอมต่อสู้กับความเจ็บปวดในการผ่าตัดแปลงโฉม ทรมานจากการลดความอ้วนและยอมเป็นเหยื่ออันตรายต่อชีวิตจากการบริโภคยาหรือใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม ก็ไม่อาจทำให้เราสวยสมใจได้ หากจะมีก็เป็นเพียงแค่ฉาบฉวยมีคนมารุมล้อมเพียงครู่ เห็นแล้วอยากเข้าใกล้แล้วก็เลิกผ่านเลยไปไม่เหลียวกลับมามองเหมือนเช่นเดิมดุจเช่น คนสวยแต่รูปจูบไม่หอมนั่นเอง
การที่จะมีใครสักคนมารักมาชอบเรา คนๆ นั้นอาจไม่จำเป็นต้องมีความสวย หล่อดูดีไปทั้งหมดในรูปแบบที่คนส่วนใหญ่ต้องการสิ่งสำคัญที่สุด คือ การมีเสน่ห์ในตัวเองในตัวเอง เสน่ห์หมายถึงการเป็นคนมีอัธยาศัยดี มองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี รู้จักให้อภัยไม่เอาเปรียบ ชอบช่วยเหลือมีน้ำใจ รู้จักปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับผู้อื่นได้และแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
ถ้าเราจะทำอะไรหากเราทำได้จากเนื้อแท้ สามารถดูแลตนเองได้มีเป้าหมายชีวิตและเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆ ทั้งการกระทำและความคิดจิตใจในแก่นแท้ของเราได้อย่างเหมาะสมในสังคม มีความพอเพียงจากตัวตนของเราที่เราเกิดมาเป็นเรา ฝึกฝนการเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่นด้วยการชื่นชมตนเอง ขอบคุณตนเองที่คิดดีและทำดีตลอดมา ฝึกทำตามขั้นตอนอย่างมั่นคงเพื่อให้มีชีวิตก้าวหน้า และนำไปสู่ความโดดเด่นพัฒนาไปได้ไกลกว่าบุคคลอื่นที่เราคิดว่าเขามีครบสมบรูณ์ตามรูปแบบภาพลักษณ์ภายนอกที่ใครๆ ต้องการอย่างแน่นอน
ถ้าคุณต้องการพูดคุยหรือซักถามเพิ่มเติม กรุณาโทรศัพท์มาได้ที่ หมายเลข 1323 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
จุฬาลักษณ์ รุ่มวิริยะพงษ์
.........................................................................................................................................................
วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เด็กจะมีอารมณ์ละเอียดอ่อน อ่อนไหวง่าย ต่อคำพูด ท่าทีการแสดงออกของคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนใกล้ชิดซึ่งเป็นคนที่มีความสำคัญต่อชีวิตเขา คือ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อน และแฟน วัยรุ่นโดยทั่วไปเมื่อถูกกระตุ้นอารมณ์ ถูกขัดใจ หรืออยู่ในภาวะที่เครียดและกดดันทางอารมณ์ จะไม่แสดงออกมากเกินไปจนทำให้มีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น และไม่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียนของตนเอง อย่างไรก็ตามมีวัยรุ่นประเภทหนึ่งที่มีความเปราะบางทางจิตใจ หวั่นไหวง่าย ต่อการแสดงออกของผู้อื่นมากกว่าปกติ เมื่อมีสิ่งใดมากระทบความรู้สึก จิตใจของตนเอง เด็กจะหวั่นไหวทางจิตใจ เกิดความรู้สึกภายในใจมากกว่าคนอื่นๆ ชนิดที่เรียกว่า นิดหน่อยก็กระทบกระเทือนใจไม่ได้ เช่น เด็กจะเก็บเอาคำพูด ท่าที การแสดงออกของคนอื่น เก็บเอาสิ่งต่างๆ รอบตัว คิดไปในทางลบ จนทำให้ตนเองไม่สบายใจ ไม่มีความสุขในชีวิต เมื่อเกิดปัญหาคับข้องใจ หรือเผชิญกับความทุกข์ยาก เด็กจะอดทนต่อความทุกข์ยากได้อย่างลำบาก จะเกิดความรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง หลีกหนีต่อปัญหา เพื่อให้ตนเองสบายใจ รู้สึกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาเกิดความทุกข์ทรมานในใจ รู้สึกตนเองไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย และไม่มั่นใจในตนเอง
คนใกล้ชิดมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือให้วัยรุ่นเกิดความมั่นคง ทางจิตใจ และรู้สึกปลอดภัยได้ ดังนี้
1. ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นคนละเอียดอ่อน อ่อนไหวง่ายทางอารมณ์ ให้ความสนใจความรู้สึกอารมณ์ของเขา
2. รับฟังเขาอย่างเข้าใจ หากเขาพูดคุยระบายอารมณ์ความทุกข์ใจไม่สบายใจ ไม่ตำหนิต่อว่าเขา ว่ารู้สึกเกินกว่าเหตุ
3. พูดคุยด้วยคำพูดและน้ำเสียงนุ่มนวล หรือพูดโดยไม่ใช้อารมณ์กับวัยรุ่น ไม่ใช้คำพูดที่กระตุ้นอารมณ์หรือบั่นทอนจิตใจเขา ทำให้เขาไม่สบายใจ
4. ให้กำลังใจแก่เขา ใช้คำพูดที่ทำให้เขาเกิดพลัง เพื่อให้เขาเกิดความมั่นคงทางจิตใจและมีความมั่นใจตนเอง กล้าที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆในชีวิต
วัยรุ่นสามารถดูแลจิตใจตนเอง ดังนี้
1. รู้จักสังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในใจของตนเอง ถึงความไม่มั่นคงทางจิตใจ เมื่อรู้สึกเกิดความหวั่นไหวทางจิตใจ ที่มันเปลี่ยนแปลงไปจากการเดิม จากการถูกระทบกระเทือนจิตใจ
2. จัดการความรู้สึกของตนเองให้เกิดความสบายใจ ด้วยการปลอบใจตนเอง ให้กำลังใจตนเอง ผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างลึก ๆ ช้าๆ จนเกิดความสบายใจ
3. หยุดความคิดทางลบ เพราะการคิดทางลบจะทำให้ไม่สบายใจ ดังนั้นพยายามคิดในแง่บวก จะทำให้ตนเองสบายใจขึ้นบ้างและพยายามมองส่วนที่ดีๆภายในตนเอง จึงจะช่วยเป็นกำลังใจแก่ตนเอง
พรทิพย์ วชิรดิลก
…………………………………………………………………………………….…………………..
สรุปสถานการณ์พนันบอล ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สำรวจ “พฤติกรรมและทัศนคติต่อการเล่นพนันฟุตบอลโลกปี 2553” ในประชาชนอายุ 12-60 ปี เขตกรุงเทพฯ ชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ สงขลา จำนวน 2,541 ราย เมื่อวันที่ 4 -14 พ.ค.2553 พบเกือบ 70% ยันเล่นพนันบอลโลกแล้วเชียร์มันส์ขึ้น พร้อมควักเงินเดือน-ค่าขนมไปเรียนมาแทงเสี่ยงดวง และสถาบันรามจิตติ ศึกษาข้อมูลการเล่นพนันฟุตบอลของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ ในปี 2549 เปรียบเทียบกับปี 2550 พบ เด็กทุกระดับเล่นพนันบอลเพิ่มขึ้น โดยประถมศึกษาจาก 5.46% เป็น 6.03% มัธยมต้น 10.39% เป็น 13.30% มัธยมปลาย 14.80% เป็น 15.88% และ อาชีวศึกษา 17.88% เป็น 18.21% ช่องทางในการแทงบอลมีหลากหลายวิธี โดยเฉพาะพนันบอลออนไลน์ ซึ่งเป็นรูปแบบที่เข้าถึงง่าย สะดวก ไม่เสี่ยงต่อการถูกจับกุม ซึ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเข้าถึงพนันบอลในรูปแบบนี้ โดยผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้ อุปกรณ์ไอที ของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ในระดับมัธยม-มหาวิทยาลัย พบว่า 60.5% ยอมรับว่าติดไอที และมีจำนวนถึงร้อยละ9 ในการสำรวจในปี2552 ที่ติดในระดับเป็นปัญหา เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากการสำรวจปี2549 ที่ร้อยละ5 ซึ่งช่องทางต่างๆทางอุปกรณ์ไอทีอาจนำมาซึ่งการติดพนันโดยเฉพาะช่วงฟุตบอลโลกนี้ได้ ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและตระหนักในการดูแลเยาวชนกลุ่มเสี่ยงต่างเหล่านี้
สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ แนะ 5 วิธีสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองในการดูแลเด็กและเยาวชนไม่ให้เข้าสู่วงจรของการพนันบอล ดังนี้
1. ใกล้ชิด เป็นตัวอย่างที่ดีและปลูกฝังทัศนคติที่ชัดเจนแก่ลูก เช่น “การพนันเป็นเรื่องหมดตัวหมดอนาคต”
2. ติดตาม สังเกตพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดูบอลจนอดหลับ อดนอน ไม่พลาดแม้แต่คู่เดียว ลับๆ ล่อๆ มีปัญหาการใช้เงิน
3. ถามไถ่ พูดคุย สื่อสารกับลูกให้รู้เท่าทันความเสี่ยงและอันตรายจากการติดพนันบอล
4. ใฝ่ดี หากิจกรรมเบี่ยงเบนเช่นออกกำลังกาย เพื่อลดการหมกมุ่นเรื่องพนันบอล
5.มีชื่นชม ให้ความสำคัญกับลูก เมื่อลูกรู้จักควบคุมตัวเอง เช่น เมื่อลูกกล้าปฏิเสธเพื่อนที่มาชักชวนไม่หลงไปเป็นเหยื่อพนันบอล
กรณีที่ผู้ปกครองพบว่าบุตรหลานมีพฤติกรรมติดพนัน สามารถขอความช่วยเหลือได้ตามช่องทางต่อไปนี้
1. สายด่วน โทรศัพท์ปรึกษา 02-3548300 ในเวลาราชการ และ 1323 นอกเวลาราชการ
2. เน็ทด่วน ขอคำปรึกษาผ่าน www.smartteen.net
3. บริการด่วน การขอรับบริการบำบัดที่ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข โทรนัด 02 3548305-7
ที่มา : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข