สไลด์
1. หาเวลาทำงาน อย่าหาข้ออ้าง
2. รู้ว่าตัวเองทำสิ่งใดได้ดี แล้วยึดมั่นกับสิ่งนั้น
3. ถ้าค้นพบสิ่งที่คุณรัก จงดำดิ่งไปกับมันให้สุดทาง
4. อย่าหยุดเรียนรู้ เพราะความรู้จะก่อให้เกิดเส้นทางใหม่ๆ
5. จงระวัง “แรงต้านทาน” [แต่ต้องตระหนักโดยไม่หวั่นกลัว]
คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง
อดทนทำเพื่อผู้อื่นช่วยกันพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
ไม่หยุดทำให้ดียิ่งขึ้น
จาก
โอปนยิโก น้อมเข้ามาดูใจของตัวเองนี่แหละ
อย่าเชื่อความรู้สึกของตัวเอง..อันตรายมาก
ชอบ ไม่ชอบ เป็นอารมณ์เฉพาะของเราเท่านั้น
เอาความชอบหรือไม่ชอบมาตัดสินว่าเขาดีหรือไม่ดีไม่ได้
ถ้าคิดไป ปรุงไป ก็จะเกิดภพ เกิดชาติ เกิดอัตตาตัวเอง
พยายามตั้งสติปัญญา พิจารณาด้วยความสุขุมว่า
ไม่แน่ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
ให้ระงับอารมณ์ให้เป็นปกติก่อน
เมื่อจิตใจกลับมาสภาพปกติแล้ว..สงบแล้ว
จึงพิจารณาเหตุการณ์ภายในภายนอกด้วยความเป็นกลางและด้วยความยุติธรรม
เห็นชัดเจน จนเกิดหิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป
เห็นว่าศัตรูที่แท้อยู่ที่นี่เอง..คือความยินร้าย ความโกรธ กิเลสของเรานี่เอง
แล้วเห็นโทษของความโกรธ
เมื่อหิริโอตตัปปะแก่กล้าแล้ว ก็จะเกิดเป็นกำลัง เป็นพละ เป็นกองทัพ คอยรักษาใจ
คือสติ ปัญญา หิริ โอตตัปปะ และสมาธิ
เมื่อเรารู้ว่าความโกรธไม่ดี ใครโกรธเราก็อย่ารับเอา
และอย่าโกรธเองเลยในทุกสถานการณ์...เอวัง.
โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว เข้าไปก่อเวรก่อกรรมกับเขา
เมื่อเรายังไม่มีปัญญาแจ่มแจ้ง เราก็จะมีความรู้สึกว่า
มันไม่น่าจะถูกต้อง คนที่ทำชั่ว ทำผิด ไม่ได้ถูกลงโทษ
แต่อาจจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญเสียอีก
จิตใจของเราก็คอยแต่จะคิดหาความชอบธรรม
ต้องการให้เขาถูกลงโทษ คิดแต่อยากจะให้เขาถูกลงโทษ
หรือแม้แต่คิดจะลงโทษเขาเอง เช่น ทำให้เจ็บใจ ทำลายลาภ ยศ ชื่อเสียง
หรือแม้แต่ทำลายชีวิตเขา เป็นต้น
อันนี้ผิดมาก..อันตรายมาก เป็นการก่อเวร ก่อกรรม หลายภพหลายชาติต่อไป ไม่มีสิ้นสุด
เมื่อเรารักชีวิตของตน ต้องการหาความสุข
ควรหยุดลงที่นี่ เดี๋ยวนี้
ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา
ให้อภัย เมตตา และปล่อยวาง
แม้แต่เขาดูเหมือนว่าจะทำชั่วได้ดีก็ตาม
มันหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม
ทำชั่วต้องได้ชั่วแน่นอน
เมื่อเวลาผ่านไป ๆ ถึงเวลาแล้วมันก็จะผลิตผลของมันเองตามเหตุปัจจัย เราไม่ต้องไปเบียดเบียนเขาด้วยกาย วาจา จิตของเราเองเลย
จำไว้ดี ๆ นะ..ทุกอย่างที่เราทำ เราพูด เราคิด เกี่ยวกับเขา นินทาเขา..
ทุกอย่างจะต้องกลับมาหาเราหมด...ไม่ช้าก็เร็ว
คัดจากหนังสือธรรมบรรยาย เล่มที่ 3 เรื่อง "ทุกข์เพราะคิดผิด"
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันนี้ ที่ไร่อมาต วังน้อย ไม่มีอะไรเหลือเลย เราอยู่ก่อนถึงคลองระพีพัฒน์นิดเดียว เค้าทำคันกั้นคลองระพีพัฒน์ น้ำเลยไม่ไปไหน อยู่กับเราทุกวัน น้ำลึกเกือบ 4 เมตรแล้ว น้ำสูงมิดหลังคารถคนงาน น้ำท่วมบ้านคอนเทนเนอร์ทั้ง 10 หลัง ซึ่งอยู่บนที่ถมสูง และมีขาสูงอีก 1 เมตร ไม่มีผักเหลือสักต้น ไม่มีข้าวเหลือสักกอ แต่อะไรๆ ก็ของนอกกาย เราทำดีที่สุดแล้ว ชีวิต และจิตใจงดงามสำคัญกว่า นั่งดูข่าวน้ำท่วมทุกวัน พยายามเอาน้ำมาเป็นบทเรียน อยากพัฒนาตัวเองให้มีจิตวิญญาณเหมือนน้ำ
น้ำปรับตัวเก่ง อยู่ได้ทุกสถานะ อยู่ในกล่องพลาสติก อยู่ในกล่องโฟม อยู่ในแม่น้ำ อยู่ในแก้ว และภาชนะอะไรสารพัด ตัวเราเองเสียอีก ยังเลือกที่นอน ห้องต้องสวย เตียงต้องสบาย
น้ำไม่เรื่องมาก แม้ไม่มีภาชนะถาวร อยู่ในถุงพลาสติกก็ยังได้ ไอ้เรารึ แค่ไม่มีแอร์ ไม่มีทีวีดู ไม่มีรถวันสองวัน ก็อึดอัด บ่นแล้วบ่นอีก
น้ำสู้ยิบตา ขอให้เห็นทาง แม้จะเป็นเพียงรูเล็กๆ น้ำก็สู้ และบุกฟันฝ่าเข้าไป เราเองเสียอีก ที่เมื่อเห็นโอกาสรอดน้อย ก็มักถอดใจ ไม่สู้
น้ำขยัน ทำงานทุกวินาที ไม่มีการขอพักผ่อน จนกว่าจะถึงเป้าหมาย
น้ำยุติธรรม และให้ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกับทุกคน ไปทุกหนทุกแห่ง ไม่เลือกรวยจน ผิดกับคนบางพวกที่มักชื่นชม ให้เกียรติเฉพาะคนมีสตางค์
น้ำรักพวกพ้องเสมอ ไปไหนไปกัน พากันมาเป็นสายยาว โดยไม่ทิ้งกัน
น้ำรู้จักรอ อยากกั้นกั้นไป พลาดเมื่อไหร่เป็นทีของฉัน
น้ำทำงานโดยยึดเป้าหมายทุกวัน เป็นพวก goal oriented โดยจะต้องตั้งหน้าตั้งตาไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำ จนกว่าจะได้ระดับสมดุล
ขอบคุณน้ำ ที่ในวันนี้ ท่วมทั้งบ้านใหญ่และบ้านเล็ก อย่างเท่าเทียมกัน นับแต่วันนี้ไป ประเทศไทย และโลกนี้จะไม่เหมือนเดิม น้ำท่วมครั้งนี้ มีเวลาอยู่บ้านนาน มีโอกาสคิดทบทวน เกิดแนวทางและแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต ตั้งใจจะบริโภคให้น้อยลง จะคิดให้มากก่อนซื้อ จะคำนึงถึงธรรมชาติให้มากขึ้นอีก ถือว่าคุ้ม
จาก...กบ อมาต (อยู่เฝ้าโรงเรียนทุกวัน) 21 ต.ค.54
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บางที่พองานมากจะทำให้เราเครียดและวิตก พยายามใช้หลักของท่านพุทธทาส ท่านบอกว่า
ให้จดงานทั้งหมดออกมา แล้วแบ่งให้เหลือเป็นช่วงสั้นๆ สักสองสามชั่วโมง
จากนั้นให้ลงมือทำโดยทำจิตให้ว่าง เพราะในช่วงนั้นก็จะทำได้เท่านี้แล
กำหนดจิตให้เหลือแต่ปัจจุบันเท่านั้น
ขอเพิ่มว่า ให้เติมความรักนิดๆ คือ ใช้เวลาสักครู่ มองว่างานนั้นน่าทำน่าสนุก
พอมีฉันทะ วิริยะจะตามมา จิตตะใช้ไป ต่อด้วยวิมังสา แล้วงานจะออกมาดี
--------------------------------------------------------
การทำงานให้ดี พุทธองค์ท่านสอนไว้แล้ว ให้มี
ฉันทะ ความรักหรือ passion ในงาน
จากนั้น ความเพียรหรือวิริยะจะเกิด ซึ่งทำให้ใจจดจ่อในงาน คือ
จิตตะ จากนั้นค่อยปรับปรุงแต่งให้ดี คือ
วิมังสา ทำตามนี้จะเกิดวงรอบแห่งคุณภาพ Quality Cycle ทำให้งานออกมาดี ทำอะไรออกมาดี
เรามีคำสอนเหล่านี้มานับพันปี ไม่ค่อยเชื่อ ชอบไปเชื่อไปเลื่อมใส ตาเด็มมิ่ง บ้าง ใครบ้าง ที่เป็นฝรั่งมังค่าเสียหมด
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นายจ้างจะตอบว่ายังไง..?
ถ้าลูกจ้างถามว่า.. "ทำไมคนเหนื่อยคือฉัน.. แต่คนได้เงินคือคุณ"
#มาพบกับคำพูด_3_ประโยคจากนายจ้างที่ทำให้พวกเขาหงายเงิบกันไปเลย
หากพูดถึงนักธุรกิจของไต้หวันที่มีชื่อเสียงที่สุดคงหนีไม่พ้น นายกัวไถหมิง และ นายหวังหย่งชิ่ง อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบผลสำเร็จ วันนี้เราจะมาหาคำตอบจากการพูดคุยของวิศวกรบริษัท Foxconn กับกัวไถหมิงกัน
วิศวกรถามประธานกัวไถหมิงว่า 「ทำไมคนที่เหนื่อยเป็นพวกเขา แต่คนทีได้รับเงินกลับเป็นคุณ」
เมื่อกล้าถามออกไปแบบนั้นทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกกังวลแทนเขาไม่น้อย
แต่ประธานกัว กลับสามารถตอบให้เห็นถึงใจความสำคัญด้วยประโยคง่ายเพียงไม่กี่ประโยคดังนี้..
ระหว่างพวกเรานั้นมี 3 อย่างที่แตกต่างกัน
#อย่างที่_1 :
30 ปีที่ก่อนที่ผมก่อตั้งบริษัท ผมต้องใช้บ้านและครอบครัวเป็นเดิมพัน
แต่พวกคุณเพียงใช้เวลาไม่กี่สิบนาทีส่งใบสมัครงานเข้ามาที่บริษัท
จากนั้นก็ได้เข้ามาทำงาน และก็สามารถเดินออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้
.
⋆ ผมกับคุณต่างกันตรงที่ : สร้างกิจการ กับ ทำงาน
#อย่างที่_2 :
ผมต้องเลือกขั้วที่ทำการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์สู่ตลาด
และสุดท้ายผมก็เลือกที่จะร่วมงานกับแอปเปิ้ล
เพราะวิสัยทัศน์ของผมมักจะตัดสินใจสิ่งที่ถูกต้องเสมอ
ส่วนพวกคุณ การที่จะเข้าทำงานในแผนกไหนส่วนไหนนั้น
ก็จะต้องมากจากคัดสรรโดยดูจากประสบการณ์และการสอบคัดเลือก
.
⋆⋆ พวกผมกับคุณต่างกันตรงที่ : การเป็นคนเลือก กับ การเป็นคนถูกเลือก
#อย่างที่_3 :
ผมใช้เวลาตลอด 24 ชั่วโมงในการคิดหาวิธีสร้างผลกำไร
เพราะการตัดสินใจแต่ละนโยบาย จะส่งผลกระทบต่อครอบครัวของผู้ถือหุ้น และพนักงานมากกว่าหมื่นคน ขณะที่พวกคุณต้องคิดเพียงว่าทำอย่างไรจะดูแลครอบครัวของตัวเองให้ดีเท่านั้น
⋆⋆⋆ พวกผมกับคุณต่างกันตรงที่ : ความรับผิดชอบที่แบกรับอยู่
ข้อความสั้นๆเพียงสามประโยคก็ทำให้เหล่าวิศวกรถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว
สิ่งเหล่านี้ทุกคนก็สามารถทำได้ ติดอยู่เพียงแค่ว่าคุณจะมีความกล้าที่จะก้าวเดินก้าวแรกหรือป่าวเท่านั้น
และการที่คุณเลือกตัดสินใจไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ย่อมมีผลกระทบเกิดขึ้นกับตัวคุณ
ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของบริษัทเขากล้าที่จะทำในสิ่งที่เราไม่กล้าทำ
เขาถึงได้ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้
ในฐานะคนทำงานองค์กรข้ามชาติทั้งในและตปท.มาตลอด คุณสุทธิ มโนกิจจรูญมั่น ประธานชมรมสัมมาทิฏฐิ และผู้จัดการทั่วไป บริษัทอีเลคโทรลักซ์ ประเทศไทย ได้แบ่งปันประสพการณ์จริงในการนำธรรมะมาใช้ในการทำงานในโลกธุรกิจปัจจุบัน เพื่อประโยชน์สุขของคนทำงานและวิทยาทานโดยส่วนรวม
"ธรรมะสำหรับคนทำงาน"
คนทำงานรุ่นใหม่พอได้ยินคำว่า"ธรรมะ"มักส่ายหน้าหนี คือมโนไปว่าธรรมะขัดแย้งกับการทำธุรกิจ เพราะธุรกิจต้องล้ำยุค รวดเร็ว การแข่งขันสูง ขณะที่ธรรมะฟังดูเชย เฉื่อยชา ล้าสมัย เหมาะกับวัยเกษียณ หรือต้องมีพิธีกรรมประหลาดๆ ทั้งหมดนี้ขอบอกว่าเป็นเพียงความคิดปรุงแต่งอันเกิดจากความไม่รู้
ความจริงธรรมะนั้นทันสมัย ให้ผลไม่จำกัดกาล น้อมนำไปใช้ได้กับทุกสถานการณ์ กับทุกคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะสำหรับวัยทำงาน ที่ต้องเผชิญอุปสรรคปัญหานานัปการ แม้ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ธรรมะสอนให้รู้จักแก้ปัญหาได้ถูกต้องอย่างฉลาดและมีความสุขไปพร้อมๆกัน
"ผมเชื่อว่าคนทำงานทุกคนไม่ว่าจะเกิดที่ไหน มาจากที่ใด สูงต่ำดำขาว รวยหรือจน ทำงานอะไร จะอยู่ตำแหน่งสูงสุดหรือต่ำสุดในองค์กร ทุกคนล้วนมีศักยภาพสูงซ่อนอยู่ และทุกคนสามารถเป็นผู้ชนะได้ "Everyone can be a winner" ขอเพียงเชื่อมั่นในตนเอง และรู้จักดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้ได้อย่างถูกวิธี เริ่มต้นให้ถูกด้วยการเลือกงานที่เหมาะสมกับความถนัดความสามารถของตน" ทั้งนี้ อิทธิบาท4เมื่อใช้ให้ถูกต้องจะช่วยขับเคลื่อนศักยภาพและความสำเร็จให้กับทุกคน
อิทธิบาท4 คือธรรมะแห่งความสำเร็จ
1.ฉันทะ มีศรัทธาและความเชื่อมั่นในงานที่ทำ กับองค์กร กับผู้ร่วมงานทุกระดับชั้น ตั้งเป้าหมายของตนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย นโยบายและทิศทางขององค์กร การทำงานในองค์กรแม้บางครั้งมีการกระทบกระทั่งกันบ้างซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการอยู่ร่วมกันในสังคมทุกแห่ง ก็รู้จักประนีประนอม มองให้เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม เพราะส่วนรวมคืออู่ข้าวอู่น้ำ องค์กรสำเร็จ ทุกคนก็สำเร็จ ในเวลาเดียวกันหากทุกคนสำเร็จ องค์กรก็สำเร็จเช่นกัน เหมือนน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ครอบครัวเดียวกัน ความสุขในการทำงานของคนทำงานทั้งองค์กรจึงพึงมีได้สำหรับผู้มีฉันทะที่ถูกต้อง
2.วิริยะ มีความขยันหมั่นเพียรในหน้าที่และความรับผิดชอบ สามารถจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของการงานแต่ละอย่างได้ลงตัว เมื่อเจออุปสรรคปัญหาซึ่งเป็นธรรมดาของการทำงาน โดยเฉพาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ก็ไม่ย่อท้อ มองปัญหาเป็นโอกาสในการแสดงฝีมือ "ประสพการณ์" จึงเกิดขึ้นได้จากการเรียนรู้นั้นๆ แม้จากความผิดพลาด และย่อมไม่โทษใครทั้งสิ้น จึงไม่เพ่งโทษเบียดเบียนผู้อื่น และไม่โทษตนเองจึงไม่หดหู่ซึมเซา แก้ไขที่ต้นเหตุที่แท้จริง แล้วถือเป็นบทเรียนล้ำค่าในการพัฒนาการทำงานให้ดียิ่งขึ้น "อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด" ทุกคนย่อมเป็นผู้ชนะได้หากไม่ยอมแพ้อุปสรรคเสียก่อน ผู้มีสัมมาทิฏฐิจึงตั้งอยู่ในความเพียรต่อไป
3.จิตตะ มีจิตที่มุ่งมั่น เอาใจใส่ต่องานที่ทำในปัจจุบันขณะ ความระลึกรู้กายใจเป็นบ่อเกิดของสติสัมปชัญญะ เมื่อมีสติ กายใจย่อมปกติ ศีลก็มีขึ้น สมาธิก็มีขึ้น ปัญญาในการทำงานและการใช้ชีวิตที่ถูกต้องย่อมเกิดขึ้น "ความสำเร็จ"จึงพึงมีได้สำหรับผู้มีจิตมุ่งมั่นจดจ่อต่อกิจการงานที่ทำ การปฏิบัติธรรมนั้นสามารถทำได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่ ทุกอิริยาบท แม้กระทั่งขณะทำงานในที่ทำงาน สิ่งสำคัญคือสติในปัจจุบันขณะ
4.วิมังสา รู้จักใคร่ครวญพินิจพิจารณา เรียนรู้จากสิ่งที่ทำอยู่ว่าถูกผิดอย่างไร เรียนรู้จากสิ่งรอบตัว จากผู้อื่น รู้จักประยุกต์ความคิด ปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นได้อยู่เสมอ เมื่อคิดดี มีจิตที่เป็นกุศล ความคิดบวกจะช่วยให้มองเห็นสิ่งที่หลายๆคนมองไม่เห็น เกิดความคิดสร้างสรรไปในทางที่ดี แม้แต่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็ย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ ผู้ที่มองเห็นจึงประสพความสำเร็จได้มากกว่า
สิ่งที่น่าดีใจที่สุดของผู้บริหารระดับสูง ก็คือเห็นบรรดาลูกน้องของตนประสพความสำเร็จ หน้าที่ของผู้บริหารก็คือส่งเสริมให้พนักงานทุกคนเป็นผู้ชนะในงานในสิ่งที่รับผิดชอบอยู่ด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งประจักษ์แล้วว่าทุกคนเป็นผู้ชนะได้ เมื่อคนทำงานประสพความสำเร็จในหน้าที่ของตนๆ ขยายเป็นวงกว้าง องค์กรนั้นๆก็ย่อมประสพความสำเร็จเช่นกัน ผลประโยชน์และสวัสดิการที่ดีขึ้นย่อมย้อนกลับไปที่คนทำงาน นี่แหละคือเคล็ดลับแห่งความสำเร็จอย่างยั่งยืนขององค์กร เพราะความปกติสุขของคนทำงานกับความสำเร็จขององค์กรเป็นของคู่กัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมดุลย์ สุจริตและความชอบธรรม ตามศักยภาพของบุคลากรและองค์กรนั้นๆโดยรวมเป็นสำคัญ หลักธรรมาภิบาลขององค์กรสากลก็มีพื้นฐานมาจากหลักธรรมะนี่แหละ เมื่อคนส่วนใหญ่ซึมซาบธรรมะ ย่อมถือหลักประโยชน์สุขของส่วนรวมมาก่อนส่วนบุคคลเสมอ สามัคคีธรรมจึงเกิดและนำพาทุกคนสู่ความสำเร็จร่วมกัน
ขอให้ท่านภูมิใจที่ได้เกิดในดินแดนแห่งพระพุทธศานาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระบรมราชูปถัมภ์มาโดยตลอด ธรรมะนั้นมีคุณูปการอย่างสูงต่อประเทศชาติและโลกทั้งใบนี้ อยู่ที่การน้อมเข้ามาใส่ตัว โยนิโสมนสิการเพื่อเข้าใจอย่างถูกต้อง และปฏิบัติให้เหมาะสมอย่างสมดุลย์ ความสงบสุขของสังคมโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นองค์กร คนทำงาน หน่วยงานใดๆ หรือแม้ตัวท่านเองย่อมมีได้เห็นได้ในปัจจุบันขณะนี้เอง
ขอความสุขความเจริญในธรรมพึงมีแด่ทุกท่าน
สุทธิ มโนกิจจรูญมั่น
ประธานชมรมสัมมาทิฏฐิ
โครเอเชีย1
แผนที่
โครเอเชีย 2 รูป
ให้ตั้งสติ ตั้งขันติ
หยุดคิดก่อน ทวนกระแส
อย่าคิดตามอารมณ์
ไม่ต้องคิดว่า ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น
ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น เขาไม่น่าจะทำอย่างนั้น เขาน่าจะทำอย่างนี้ ฯลฯ
(ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11-17 พ.ค.2555) "ซัมซุง มหาอำนาจอิเล็กทรอนิกส์"
ไม่ได้หยิบหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว จนวันก่อนเห็นข่าวยอดขายสมาร์ทโฟนของ "ซัมซุง" ชนะ "ไอโฟน" ของ "แอปเปิล" แล้ว ผมจึงหยิบหนังสือเล่มนี้มาพลิกอ่านอีกครั้ง คนรุ่นใหม่อาจไม่แปลกใจในปรากฏการณ์นี้มากนัก แต่คนอายุ 30 ปีขึ้นไปที่ยังจำภาพ "ซัมซุง" ในอดีตได้คงแปลกใจ เพราะในอดีตภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ซัมซุง คือ สินค้าราคาถูก เกรดต่ำกว่าสินค้าจากญี่ปุ่น แต่เพียงชั่วเวลาไม่นาน "ซัมซุง" กลับกลายเป็นสินค้าเกรดเอ โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อนของ "ซัมซุง" โชว์นวัตกรรม "จอสี" และเสียงโทร.เข้าที่ไพเราะกว่าเสียงโมโนโทน เหนือกว่า "โนเกีย" ซึ่งเป็นเจ้าตลาดในยุคนั้น คุยกับผู้บริหาร "เอไอเอส" ในยุคนั้น เขายังบ่นเลยว่า "ซัมซุง" กล้าหาญมากที่ตั้งราคาสูงกว่ามือถือทั่วไป ทั้งที่ใช้แบรนด์ "ซัมซุง" แต่สุดท้าย "ซัมซุง" รุ่นนั้นก็ประสบความสำเร็จ จากวันนั้นเป็นต้นมา "ซัมซุง" ก็ไม่ใช่ "ซัมซุง" ที่เราคุ้นเคย เขาเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ไม่ผลิตสินค้าเกรดต่ำ ราคาถูกอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ ตู้เย็น หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ สินค้า "ซัมซุง" กลายเป็นสินค้าคุณภาพ ที่โชว์เหนือเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดจาก "ลี กอน ฮี" ที่รับสืบทอดกิจการมาจากรุ่นพ่อ "ลี เบียง ชอล" ผมพลิกหนังสือเล่มนี้แบบอ่านเล่น ไม่ได้อ่านจริงจัง แต่กลับพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นคาถา "ซัมซุง ที่ "พ่อ" มอบให้กับ "ลูก"
วันที่ "ลี เบียง ชอล" ประกาศว่าผู้สืบทอดกิจการ "ซัมซุง" คือ "ลี กอน ฮี" บุตรชายคนที่ 3 เขาเรียกลูกชายมาที่ห้องทำงาน แล้วหยิบพู่กันจุ่มหมึกเขียนข้อความสั้นๆ "จงรับฟัง" นี่คือ คาถาข้อแรกของการเป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กรใหญ่ที่ "พ่อ" มอบให้กับ "ลูก" "ลี เบียง ชอล" รู้ซึ้งถึงสัจธรรมของ "อำนาจ" ว่ายิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งรับฟังน้อยลง และเมื่อ "พูด" มากกว่า "ฟัง" "ความรู้ใหม่" ก็ไม่เกิด
"ลาร์ลี่ คิง" นักพูดชื่อดัง เคยบอกว่า "เราไม่เคยฉลาดขึ้นจากการพูด" มีแต่การฟังเท่านั้นที่จะได้ "ความรู้" จากผู้อื่น เขาจึงเตือน "ลี กอน ฮี" ตั้งแต่เริ่มต้นการเรียนรู้งานในตำแหน่ง "ประธาน" ในวันที่ "ลี กวน ฮี" มีอำนาจเต็มใน "ซัมซุง" เขาจึงเป็นคนที่ได้รับคำชมอย่างมากว่าเป็น "ผู้ฟัง" ที่ดี ทั้งที่ "ลี กวน ฮี" เป็นคนพูดเก่ง เขาสามารถบรรยายติดต่อกัน 3-4 ชั่วโมงได้อย่างสบาย แต่ "จุดเด่น" ของเขากลับอยู่ที่การรับฟัง ฟังเพื่อนนักธุรกิจ ฟังนักวิชาการ ฟังผู้บริหาร ฟังพนักงาน ฯลฯ จากนั้นจึงเริ่มตั้งคำถาม "ทำไม-ทำไม-ทำไม ฯลฯ" ว่ากันทุกปัญหา "ลี กวน ฮี" จะตั้งคำถามว่า "ทำไม" อย่างน้อย 6 คำถาม คาถาเรื่อง "จงรับฟัง" นั้น
ผมจำได้ว่า "กานต์ ตระกูลฮุน" กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ "เอสซีจี" หรือ "ปูนซิเมนต์ไทย" เคยบอกว่าตอนที่จะเปลี่ยนองค์กร "เอสซีจี" สู่นวัตกรรม เขาต้องเข้าอบรมหลักสูตรหนึ่ง ชื่อว่า "การฟัง" สอนให้รู้จักอดทนรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง เพราะถ้าไม่มีท่าทีรับฟังก็จะไม่มีลูกน้องคนใดกล้าเสนอความเห็นที่นอกกรอบ และองค์กรนั้นก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง
คาถาบทที่สองที่ "ลี เบียง ชอล" มอบให้กับลูกชายผู้สืบทอดกิจการ ก็คือ "ไก่ไม้" "ไก่ไม้" คือ ไม้ที่แกะสลักเป็นตัวไก่ ในห้องนอนของเขาจะมี "ไก่ไม้" แขวนอยู่ "ไก่ไม้" นั้นมาจากนิทานเรื่องหนึ่งในหนังสือคำสอนของ "จวงจื่อ" ปราชญ์คนหนึ่งของจีน
คนเลี้ยงไก่ชนชื่อดังคนหนึ่ง ชื่อ "จี้ เซิง จื่อ" เป็นคนเลี้ยงไก่ชนให้กับ "โจว ซวน อ๋อง" วันหนึ่ง "โจว ซวน อ๋อง" นำไก่ชนตัวหนึ่งมาให้เลี้ยง ผ่านไป 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ก็ถามเขาว่า "ไก่ชนใช้ได้หรือยัง" "ยังไม่ได้ เพราะมันยังเดินกร่างอยู่ ทะนงตน ท้าทายไปทั่ว" จี้ เซิง จื่อ ตอบ
ผ่านไปอีก 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ก็ถามด้วยคำถามเดิม "ไก่ชนใช้ได้แล้วหรือยัง" คำตอบของ "จี้ เซิง จื่อ" เหมือนเดิม คือ "ยัง" แต่เหตุผลเปลี่ยนไป "ยังไม่ได้ ตอนนี้ไม่ท้าทายไก่ตัวอื่นแล้ว แต่มักจะโดดตีถ้าไก่ตัวอื่นเข้าใกล้"
อีก 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ถามอีก "ไก่ชนใช้ได้หรือยัง" "ยังไม่ได้ ตอนนี้ไม่โดดตีแล้ว และลดความทระนงตนลงแต่สายตายังดุร้าย เหมือนพร้อมจะตีกับไก่ตัวอื่น"
อีก 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ถามด้วยคำถามเดิม ครั้งนี้คำตอบมีพัฒนาการ "จี เซิง จื่อ" ตอบว่าพอใช้ได้แล้ว เพราะเมื่อไก่ตัวอื่นขัน ก็ไม่แสดงอาการตอบ เป็นราวกับ "ไก่ไม้" "เห็นไก่ตัวอื่นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ไก่ตัวอื่นเห็นก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เดินหนีไปหมด" ครับ "ไก่ชน" ที่ดีนั้นไม่ใช่ "ไก่" ที่ตีเก่ง ฮึกเหิมห้าวหาญท้าทีท้าต่อยไปทั่ว แต่ "ไก่ชน" ที่ดีต้อง "นิ่ง" เป็น สงบสยบเคลื่อนไหว รู้จักเก็บความรู้สึกของตนเอง แต่สามารถเปล่งประกายจนไก่ชนตัวอื่นย้ำเกรง ชนะโดยไม่ต้องชน
ผู้บริหารที่ดีในความหมายของ "ลี เบียง ชอล" คือ ต้องใจเย็น สงบนิ่งในสถานการณ์ที่กดดันให้ได้ "นิ่ง" เหมือน "ไก่ไม้" เขามอบ "ไก่ไม้" ให้ลูกชาย เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้รู้จัก "นิ่ง" "จงรับฟัง" และ "ไก่ไม้" อาจไม่ใช่คาถาที่นำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ "ซัมซุง" แต่เป็นคาถาที่ "ลี กวน ฮี" ใช้ในการบริหารงานมาโดยตลอด และนำพา "ซัมซุง" ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทำอย่างไรกับความโกรธ
เมื่อเราโกรธ เราผิดทันที
ขาดศีล...เกิดยินร้าย
ไม่มีหิริโอตตัปปะ คือความละอายแก่ใจ และความกลัวบาป
ไม่มีเมตตา..ทำลายทั้งตัวเองและคนอื่น
ใจมืด ไม่มีปัญญาที่จะแก้ปัญหาได้
ไม่มีความยุติธรรม เข้าข้างตัวเองตลอด
ยิ่งคิด ยิ่งยุ่ง
The Adventures of Tintin: The Secret of the Unicorn(2011)
car 2
journey 2 the mysterious island
sherlock holmes 2
Underworld Awakening
The Grey (2012)
in time
columbia
Abduction พลิกโลกล่าสุดนรก
The Darkest Hour
arthur of christmas