การจัดแบ่งพื้นที่ตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ (สำหรับเกษตรกรมือใหม่ๆ จ้า)
การดำเนินงานเกษตรทฤษฎีใหม่มีหลักการและแนวทางสำคัญที่ควรทราบดังนี้
1. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองและพึ่งพา ตนเองได้
2. ต้องมีแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ได้อย่างเพียงพอตลอดปี ดังนั้นต้องจัดสรรที่ไว้ส่วนหนึ่งสำหรับขุดสระ
โดยพระราชทาน พระราชดำริว่า “ต้องมีน้ำ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อการเพาะปลูก 1 ไร่”
3. ต้องจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือ อัตราส่วน 30 : 30 : 30 : 10 = สระน้ำ : นาข้าว : ปลูกพืช :
ที่อยู่อาศัย แต่ถ้ามีพื้นที่มาก หรือ น้อยกว่านี้ก็สามารถปรับใช้ได้
การจัดแบ่งพื้นที่ตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่
หลังจากเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการทำแปลงเกษตรแล้ว จึงจัดแบ่งพื้นที่ตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ออกเป็น 4 ส่วน
ตามอัตราส่วน 30 : 30 : 30 : 10 ซึ่งหมายถึง
พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ 30 % ใช้ในการขุดสระ เพื่อใช้กักเก็บน้ำในฤดูฝนและใช้ปลูกพืชในฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วง
ตลอดจนเลี้ยงสัตว์ปีก ปลา และพืชน้ำอื่น ๆ
พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ 30 % ใช้ปลูกข้าวในฤดูฝน เพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนให้เพียงพอตลอดปี เพื่อความอยู่รอด
และสามารถพึ่งพาตนเองได้
พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ 30 % ปลูกไม้ผล พืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับ พืชสมุนไพรพืชไร่ เพื่อใช้บริโภคหากมีเหลือ
ก็นำไปจำหน่าย
พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ 10 % เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงปศุสัตว์ โรงเรือน ถนน และอื่น ๆ ตามความจำเป็น
ตัวอย่างการจัดแบ่งพื้นที่ตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่
การปลูกพืชตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่
จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงค้นคว้าทดลองและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพและความเป็น
อยู่ของเกษตรกร และได้พระราชทานแนวคิดเกี่ยวกับเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อต้องการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น
บนพื้นฐานการพึงพาตนเอง โดยเน้นการเกษตรแบบผสมผสาน คือ มีทั้งการปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ การประมง ในสัดส่วนของพื้นที่
ที่เหมาะสมและเพียงพอที่จะผลิตพืชหรือสัตว์ เพื่อบริโภคในครัวเรือน ได้พออยู่พอกินในระยะแรกและสามารถผลิตให้เหลือจำหน่าย
ได้ในระยะต่อไป สำหรับพืชที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นย้ำ ให้ปลูกตามแนวเกษตร ทฤษฎีใหม่มีดังนี้
1. ข้าว ข้าวเป็นพืชหลักของคนไทย และเป็นอาหารหลักของคนไทย คนไทย 1 คน รับประทานข้าวปีละ
ไม่น้อยกว่า 200 กิโลกรัม การปลูกข้าวตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่จึงปลูกไว้เพื่อบริโภคหากเหลือก็สามารถนำไปจำหน่ายได้
ดังนั้นข้าวจึงเป็นพืชหลักที่จะต้องปลูก ตามแนวเกษตร ทฤษฎีใหม่
2. พืชผสมผสาน พืชที่ใช้ปลูกผสมผสานตามหลักทฤษฎีใหม่ ได้แก่
1) พืชไร่ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ปอกระเจา อ้อย เป็นต้น
2) พืชสวน ได้แก่ ไม้ผล เช่น มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน ละมุด ส้มโอ เป็นต้น
3) พืชผัก เช่น แคบ้าน มะรุม สะเดา ชะอม ขมิ้น ขิง ข่า ชะพลู ผักบุ้ง คะน้า มะละกอ มะเขือ
4) ไม้ดอกไม้ประดับ เช่น มะลิ ดาวเรือง กุหลาบ รัก บานไม่รู้โรย ซ่อนกลิ่น
5) พืชสมุนไพร เช่น พริกไทย แมงลัก กระเพา โหระพา ตะไคร้ ว่านหางจระเข้ เป็นต้น
3. พืชอื่น ๆ พืชที่แนะนำให้ปลูกตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ ได้แก่
1) ไม้ยืนต้นสำหรับใช้สอย เช่น สะเดา ไผ่ มะพร้าว กระถิน ขี้เหล็ก ทองหลางเป็นต้น
2) พืชบำรุงดิน เช่น หญ้าแฝกถั่วมาแฮะ ถั่วฮามาต้า โสน ปอเทือง เป็นต้น
3) เห็ด เป็นพืชอาหารคู่ครัวไทยมาช้านาน เป็นอาหารที่มีประโยชน์ เทียบได้กับเนื้อสัตว์จึงกล่าวติดปากคนไทยว่า
“หมู เห็ด เป็ด ไก่” เห็ดที่ส่งเสริมให้เพาะเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนได้แก่ เห็ดฟาง เห็ดหูหนู เห็ดนางฟ้า เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น
การดำเนินงานเกษตรทฤษฎีใหม่ให้ประสบผลสำเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ประเด็นสำคัญก็คือ พึ่งตนเอง
ประหยัดและมัธยัสถ์ ก่อให้เกิดเศรษฐกิจพอเพียงโดยจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยให้สัมพันธ์เกื้อกูลกันและกัน ซึ่งเป็นการบริหารทรัพยากร
น้ำ ที่ดินและแรงงาน ตลอดจนรักษา สภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น แล้วจึงพัฒนาไปสู่การผลิตเพื่อให้เกิดรายได้ อันจะนำไปสู่การพัฒนา
ที่ยั่งยืน
พื้นที่ ๑ ไร่ มีขนาด ๑,๖๐๐ ตารางเมตร ในพื้นที่ของพ่อผายจะแบ่งเป็นโซนด้านตะวันออกและโซนด้านตะวันตก
โซนด้านตะวันออกเนื้อที่ ๘๐๐ ตารางเมตร แบ่งออกเป็น สระน้ำ ๒๐๐ ตารางเมตร, ชานสระ ๖๔ ตารางเมตร, ที่อยู่อาศัย ๖๐ ตารางเมตร, คูสระ ๔๗๖ ตารางเมตร
โซนด้านตะวันตกเนื้อที่ ๘๐๐ ตารางเมตร แบ่งเป็น นาข้าว ๓๖๐ ตารางเมตร, คันคู ๘๐ ตารางเมตร, คอกวัว ๗๐ ตารางเมตร, คอกฟาง ๓๘ ตารางเมตร, โรงปุ๋ยชีวภาพ ๓๙ ตารางเมตร, เรือนเพาะชำ ๑๕ ตารางเมตร, ทางเดินและลานเอนกประสงค์ ๑๙๗ ตารางเมตร
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เกษตรพอเพียง 1 ไร่ บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ต้นแบบการจัดพื้นที่อย่างมีระบบ
เป็นภาพข้อมูล ความรู้ต้นแบบที่ดีมากๆครับ
บ้านหลังนี้มีการใช้งานพื้นที่และมีการจัดแจงพื้นที่ใช้สอยในการเพราะปลูกอย่างมีระบบดีมากๆ
ด้วยการจัดการพื้นที่และระบบแบบนี้ ทำให้มีรายได้จากการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ 4-5 พันบาท/เดือน หรือมากกว่า
มีกิจกรรม ได้แก่
1. ผักสวนครัวรั้วกินได้
2. แปลงผัก
3. บ่อเลี้ยงกุ้งฝอย
4.บ่อปลาดุก
5.พืชสวน
6.โรงปุ๋ยและผลิตอาหารสัตว์
7.โรงเพาะเห็ด
8.โรงเลี้ยงไก่
9.บ่อกบ
10.แปลงไม้ดอกไม้ประดับ เป็นต้น
ทำเกษตร 1 ไร่ ล้านกว่า
เกษตรหนึ่งไร่ ได้กว่าล้าน ทำได้ไม่เว่อ แม้ในอีสาน
เกษตรไร่ละแสน ไร่ละล้าน สามล้าน สุดท้ายผมเองเสนอว่าไร่ละ ๑๗๒ ล้านก็ทำได้ (ด้วยการปลูกไผ่สีสุกยักษ์แล้วเอามาทำเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี)
วันนี้จะมาเสนอเกษตรสุขสันต์ ทีมีพื้นที่เพียง ๑ ไร่ก็จะมีพอกินและยังมีเหลือเก็บเหลือใช้อีกด้วย ปีละล้านกว่า (เดือนละ แสน) แถมเหนื่อยน้อย
สมมติว่ามีพื้นที่ ๔๐ x ๔๐ เมตร (หนึ่งไร่) ดังรูป
กรอบพื้นที่คือด้านนอกคือ ABCD เราจะทำคันดินกว้าง ๑ ม. ด้านในคือ EFGH บนคันดินนี้รอบนอกเราจะปลูกไผ่โตเร็วให้ผลสูง เช่น สีสุกยักษ์ ตงลืมแล้ง กิมซุ่ง ก็ว่ากันไป ปลูกห่าง ๑ ม. ก็ได้ ๑๖๐ ต้น จากนั้นปลูกมันเลือดให้มันพันต้นไผ่ขึ้นไป จากนั้นริมสระริมนาเอาถุงเห็ดห้อยต้นไผ่เป็นสาย ต้นละ ๒๐ ถุง ไม่ต้องรดน้ำ เพราะรับไอน้ำระเหยจากผิวน้ำสระ นา จากนั้นเอากระถางกล้วยไม้ไปห้อย ต้นละ ๑๐ กระถาง
ที่สำคัญคือ กลางนา (IJKL) เราขุดสระพื้นที่ประมาณ ๒๐๐ ตร.ม. ลึก ๑๐ ม. เก็บน้ำได้ประมาณ ๖๕๐ ลบ.ม. ขุดแบบเป็นปิรามิดหัวคว่ำ ดินจะได้ไม่ถล่ม สระนี้จะรับน้ำฝนที่ตกในพื้นที่หนึ่งไร่ ที่จะไหลรวมมาลงที่นี่ ซึ่งถ้าเป็นอีสานแล้งๆ ก็ตก ๑๖๐๐ ลบ.ม. ระเหย ซึมหาย ก็เหลือ ๖๕๐ ที่ไหลรวมมาเก็บไว้ในสระนี้ ซึ่งเป็นการชลประทานให้ตัวเองโดยไม่ต้องง้อกรมชล ซึ่งสระนี้จะมีทำนบ (คันนา) กันชั้นในอีกทีดังรูป โดยมีช่องน้ำไหล T U X Y ที่สามารถเปิดปิดได้เพื่อระบายน้ำเข้าออก
พื้นที่บ้านแล้วแต่จะเลือก ในที่นี้เลือกมุมล่างซ้าย ขนาดพื้นที่ประมาณ 144 ตร.ม. ใหญ่เหลือเฟือ อยู่กันแบบมีความสุข แน่นอนยกใต้ถุนสูง เพื่อความเย็นสบาย และมีพื้นที่ทำงานใต้ถุน เช่น งานช่างไม้
MIOL พื้นที่ปลูกไม้กินได้ยืนต้น เช่น แค มะรุม กระถิน สะเดา โดยเน้นพืชใบโปร่ง ออกฝัก ดอก ผล ใบ ให้เก็บกินได้ทั้งปี แถมเอาอะไรไปพันได้อีกด้วย เช่น ตำลึง สลิด ถั่วพลู บวบ ฟักทอง ฟักแฟง แตงกวา เพราะมีแดดรำไร เก็บกินกันหลากหลายได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ ที่เหลือขาย
ด้านขวาบ้าน ZFNI ทำเป็นแปลงผักและสมุนไพร ปลูกผักกิน เช่น คะน้า กวางตุ้ง กาดขาว หล่ำปี พริก ข่าตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว ขมิ้น ก็ว่ากันไป พอกิน ที่เหลือก็ขายกันไป
พื้นที่ตัว L ด้านบนที่เหลือ ให้ทำนา แม้ว่าจะมีรายได้น้อยแต่ถ้ายังติดกินข้าวก็ยังถือว่าจำเป็น เนื้อที่จะมีงานกว่าๆ ก็ปลูกข้าวสองครั้งต่อปี ได้ข้าว ๓๐๐ กก. ก็เลี้ยงคนได้ ๔ คน สบายๆ (นาปรังทำได้ง่าย เพราะมีน้ำเราประทานอยู่ในสระกลางนา)
ที่สำคัญอีกประการคือ สระกลางนานั้นปลุกผักบุ้ง และเลี้ยงกบ เขียด หอย กบจะระบาดไปทั่ว สวน ไร่ นา เพื่อกินแมลง กบกินแมลงใหญ่ เขียดกินแมลงเล็ก ลูกๆ พวกมันปากเล็กกินไร เพลี้ย ไม่เหลือ เราก็ไม่ต้องฉีดยาอะไร มูลมันก็กลายมาเป็นปุ๋ยชีวภาพให้เรา ก็ไม่ต้องใส่ปุ๋ยใดๆ ไม่ว่า เคมีหรือชีวภาพ หอยขม ก็กินซากอาหารเหลือจากใบผักบุ้งเน่า ส่วนผักบุ้งที่งามดีก็เอามากิน ที่เหลือตัดขาย
จะขอนำเสนอรายได้ดังนี้
...คนถางทาง ( ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖)
ปล. ถ้าไม่มีมันเลือด จะได้ประมาณ ๒ แสนกว่า ก็โออยู่นะ มันเลือดมันเป็นมันมหัศจรรย์จริง ๆ ส่่วนต้นไผ่ในที่นี้เป็นแม้เป็นเพียงตัวประกอบ แต่กลับให้ที่ัพักพิงกับเห็ดห้อยถุง ดอกกล้วยไม้ รวมทั้งหน่อไม้ ที่ทำเงินเป็นกอบกำ
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/519525