A:
มีการทำสัญลักษณ์ด้วยการสักใบหน้าและลำคอให้เป็นสีดำ (หรือสีตัดกับสีผิวในกรณีที่ผิวเข้มมาก) กับการตัดนิ้วมือทั้งสองข้างค่ะ โดยตัดนิ้วก้อยสองข้อนิ้ว และนิ้วนางหนึ่งข้อนิ้ว
ถ้าเป็นขุนนางตำแหน่งสูง จะพ่วงด้วยการตัดนิ้วโป้งมือข้างถนัดออกทั้งหมด
(และถ้าเป็นราชวงศ์ มีรอยสักแมงป่องทมิฬบนหลัง รอยสักจะถูกเผาทำลายค่ะ)
แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นหลังถูกจำขังอย่างน้อยสามปี และคดีได้รับการพิจารณาจนถึงที่สุด รอหนึ่งปีแล้วไม่มีผู้มาร้องเรียนหรือขอให้พิจารณาใหม่ค่ะ ทั้งประหารและเนรเทศจะใช้เกณฑ์นี้ค่ะ
(ขุนนางพลเรือน ถ้าเป็นคดีปกติใช้ระบบสามศาลแบบบ้านเราค่ะ
แต่คดีทุจริตที่ถือเป็นคดีใหญ่และส่งผลกระทบกับคนจำนวนมาก คดีจะถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาในระดับสภาเสนาธิการบางครั้งถ้าเป็นเรื่องใหญ่จริง กษัตริย์จะร่วมเป็นคณะผู้พิพากษา นั่งบัลลังก์ตัดสินโทษค่ะ)
เมื่อถูกเนรเทศแล้วจะมีผู้ติดตามอีกสองปีค่ะ บันทึกเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย รายงานความเคลื่อนไหวทุกอย่างกลับมาที่สกอร์ปิโอ
หลังจากสองปีพอคนติดตามกลับไป ก็จะมีการมาตรวจสอบทุกปี เป็นเวลาห้าปีติด จากนั้นจะเว้นช่วงเป็นสามปีครั้งค่ะ
ไม่ได้มีการตราเวทก็จริง แต่ผู้ถูกเนรเทศมีค่าหัวเทียบเท่าโจรสลัด หากกลับเข้าประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต มีสิทธิ์ถูกจับกุมและสำเร็จโทษต่อสาธารณะค่ะ
A:
ตัวผู้ที่ถูกเนรเทศ จะสามารถกลับมาได้ต่อเมื่อมีหมายเรียกจากทางการหากต้องการให้เป็นพยานในคดีความต่างๆค่ะ
(แต่ถ้าเป็นคดีมโนสาเร่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง จะไม่มีการออกหมายเรียกค่ะ ให้ถือว่าเป็นพยานคนตาย จะเรียกมาเฉพาะคดีทุจริต คดีความมั่นคง พวกคดีใหญ่ที่มีระวางโทษเนรเทศ-ประหารค่ะ)
แต่เมื่อกลับมาแล้วจะไม่ได้ใช้ชีวิตอิสระนะคะ กลับมาจะต้องอยู่ในเรือนจำหรือเกาะคุมขัง เดินทางได้แต่สถานที่คุมตัว-จุดหมายอย่างศาลหรืออื่นๆค่ะ เพราะตามข้อด้านบนที่ว่าผู้ถูกเนรเทศมีค่าหัวสูง อาจถูกจับหรือสังหารได้ค่ะถึงจะเข้ามาโดยถูกกฏหมายก็ตาม คนที่เป็นนักล่าค่าหัวส่วนมากไม่มาถามกันหรอกค่ะว่ามีใบมั้ย การเข้าทำร้ายคนที่พิการมือไม่น่าต่อสู้ได้แล้วจับตัวมาเลยมันง่ายกว่า
ดังนั้นถ้าไม่มีเหตุอะไร พอเหตุที่ถูกเรียกกลับมาสิ้นสุด ก็จะนำส่งยังถิ่นฐานเดิมที่อาศัยก่อนหน้านี้ค่ะ เพื่อความปลอดภัยมากกว่าอย่างอื่น
ตัวลูกหลานรวมไปถึงญาติหรือสามี/ภรรยา แม้ไม่ได้ถูกเนรเทศ แต่การจะอยู่ในที่อยู่เดิมยากเพราะสายตาของผู้คน มักถูกมองว่าอาจมีส่วนรู้เห็นในความผิด/ทำไมไม่ห้ามปราม กลายเป็นคนไม่ซื่อตรงในสายตาคนอื่น จะเป็นที่รังเกียจหรือถูกดูถูก อาจถูกกลั่นแกล้งจากคนรอบข้าง ซึ่งแม้จะฟ้องร้องเอาผิดได้(และมักเป็นฝ่ายชนะคดี) แต่ส่วนมากมักรู้สึกบั่นทอนจิตใจ มักจะโยกย้ายหนีไปที่อื่น บางครั้งก็ติดตามคนต้องโทษไปด้วย(ไม่บ่อย)
ส่วนลูกหลานที่เกิดนอกประเทศ ห้ามเดินทางเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาต จะกลับมาสกอร์ปิโอได้โดยอิสระไม่ต้องขออนุญาตใครเป็นพิเศษเมื่อ 50 ปีให้หลังค่ะ
ก่อนหน้านั้นถ้าจะกลับมา คือต้องให้ญาติพี่น้องในสกอร์ปิโอที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับทั้งผู้ถูกเนรเทศและลูกหลานคนดังกล่าวไม่เกินสองรุ่นยื่นคำร้องกับกระทรวงยุติธรรม โดยต้องมีมูลเหตุที่เหมาะสม หากอนุมัติก็จะมีจดหมายเรียกค่ะ และต้องพกเอกสารกับเครื่องหมายติดตัวตลอดเวลา
ซึ่งลูกหลานที่ถูกเรียกตัวกลุ่มนี้อาจจะถูกมองไม่ดีค่ะ
คนสกอร์ปิโอมองเด็กแรกเกิดว่าเหมือนทรายขาว เหมือนน้ำที่ใสสะอาด
การมีพ่อแม่ หรือบรรพบุรุษเป็นคนต้องโทษ ไม่แน่แก่ใจว่าเด็กคนนี้ถูกเลี้ยงดูมายังไง หนึ่งเลยคือรู้สึกสงสาร เห็นใจ สองคือไม่ไว้วางใจค่ะ เพราะไม่รู้ว่าพวกเขาถูกเลี้ยงดูมายังไง จะมาทำแย่ๆมั้ย จะมาแก้แค้นใครหรือเปล่า
แต่ถ้ากลับมาแบบอิสระแล้ว คนที่จำเหตุการณ์ 50 ปีก่อนได้ก็น่าจะลืมๆหรือไม่เหลืออยู่แล้วน่ะค่ะ
A: ในมุมมองของคนสกอร์ปิโอ การหย่าร้าง การแต่งงานใหม่เป็นเรื่องปกติค่ะ
แต่การนอกใจในขณะที่ยังสมรสกับผู้อื่นเป็นเรื่องที่จัดต่อบรรทัดฐานต่ำสุดของสังคมและไม่อาจยอมรับได้ค่ะ
การเปิดกว้างด้านการแสดงความรักต่อกันทำให้การคบหาระหว่างคนที่ยังไร้พันธะในสังคมเป็นไปด้วยความอิสระเสรีอย่างมาก โดยชาวสกอร์ปิโอบางคนอาจมีคนที่คบหาดูใจอยู่หลายคนก็จริงในเวลาที่ยังครองตัวเป็นโสด
แต่หากแต่งงานไปแล้วถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งค่ะ
พวกเขาจะถืออย่างยิ่งในเรื่องการรักเดียวใจเดียวกับสามีภรรยาของตน และฝ่ายชายจะไม่ยอมพลาดโอกาสพูดโอ้อวดและแสดงความรักต่อภรรยาให้ผู้อื่นรับชมรับฟังอยู่เสมอ
แม้ว่าความเท่าเทียมทางเพศระหว่างหญิงชายในสกอร์ปิโอจะต่างกันมาก ทำให้มืปัญหาการเลือกปฏิบัติระหว่างเพศชายเพศหญิงบ่อยครั้ง แต่เมื่อเป็นเรื่องของสถาบันครอบครัว ชายหญิงกลับมีความเท่าเทียมกันในฐานะสมาชิก ซึ่งมีพื้นฐานที่มาสืบเนื่องตั้งแต่ยุควัฒนธรรมเผ่าทะเล ที่บุรุษเผ่าทะเลออกเรือไปไกลอยู่ห่างบ้าน ดังนั้นผู้ที่ดูแลขับเคลื่อนความเป็นอยู่ของคนในบ้านระหว่างนั้นคือสตรี ดังนั้นสามีที่ไม่ให้เกียรติภรรยาจึงไม่เป็นที่ยอมรับ
(แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การ 'ซื้อกิน' เพื่อปลดเปลื้องความประหายอยากเป็นชั่วครั้งชั่วคราวยามห่างบ้าน นับเป็นเรื่องที่อะลุ่มอะล่วยให้ได้ ตราบใดที่ไม่มีความผูกพัน ส่งเสียเลี้ยงดูออกหน้าออกตาค่ะ)
หากบุรุษใดนอกใจภรรยาไปคบหาหญิงอื่นมักถูกประนามอย่างมาก
เพราะความแข็งแกร่งของภรรยาคือความแข็งแกร่งเบื้องหลังของบุรุษ สามีภรรยาต้องส่งเสริมกันและกัน ถึงพวกเขาจะถือว่าเพศหญิงอ่อนแอกว่า แต่ในขณะเดียวกันเพศหญิงก็เป็นผู้ช่วยจัดการให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตสุขสบายและออกไปเสาะแสวงหาความสำเร็จและเกียรติยศจากนอกบ้าน
สตรีที่นอกใจเองแม้ไม่ได้ถูกประณามและตราหน้ามากเท่า กระนั้นในวงสังคมที่เจ้าหล่อนอยู่ก็จะตีตนออกห่างไปจนถึงซุบซิบนินทา อาจไม่ได้รับการยอมรับในหน้าที่การงาน กลายเป็นว่าจากที่ต้องพยายามอย่างหนักอยู่แต่เดิมก็จะต้องยิ่งเหน็ดเหนื่อยยากกว่าเดิมเสียอีก
สามีไม่มีสิทธิ์ด้อยค่าภรรยาที่ดูแลคนในบ้านอย่างเหนื่อยยากด้วยการคบหาเลี้ยงดูส่งเสียสตรีคนใหม่เสมือนเช่นตนเองมิได้มีภรรยาอยู่แล้วฉันใด ภรรยาเองก็ไม่อาจด้อยค่าผู้นำความเรืองรองและชีวิตสุขสบายเข้ามาใต้หลังคาเรือนด้วยการคบหาเลี้ยงดูบุรุษเฉกตนเองเป็นสตรีโสดสะพรั่งฉันนั้น
การทำร้ายร่างกายโดยฝีมือภรรยาที่ถูกนอกใจถือว่ายอมรับได้หากพวกนางใช้ไม้นวดแป้ง กระทะ สิ่งของไร้คมที่หาได้ในครัวเรือน สามารถโจมตีได้จนกว่าสามีจะสลบ โดยถือว่าไม่มีความผิดเพราะเป็นการบันดาลโทสะจากการถูกหมิ่นเกียรติ
และในกรณีนี้ถือว่าเป็นสิทธิ์ของภรรยาที่จะสามารถหย่าขาดจากสามีได้โดยการยื่นคำร้องเพียงฝ่ายเดียว (ตามปกติการยื่นขอหย่าร้างกับทางสำนักงานเมืองหรือเขตปกครองจะต้องเป็นการยื่นทั้งภรรยาและสามี)
ส่วนในกรณีภรรยานอกใจ ตามกฏหมายให้ได้เพียงตบสามครั้ง ก่อนให้หย่าร้างและถอดถอนนางออกจากทะเบียนตระกูล
การขอหย่าร้างในกรณีนอกใจ ผู้ถูกนอกใจจะได้ส่วนแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกับการหย่าร้างตามปกติ และจะได้รับอีก30%จากทรัพย์สินอีกครึ่งหนึ่งของอีกฝ่ายเป็นค่าเสียหาย ค่าเสียเวลา ค่าเสียความรู้สึก
ส่วนในกรณีที่ต่างฝ่ายต่างหมดรักเลิกร้างกันไป การยื่นเอกสารขอหย่าร้างที่สำนักงานเมืองหรือที่ว่าการเขตปกตรองจะมีเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยและพิจารณาส่วนแบ่งทรัพย์สินอย่างเป็นธรรม
A: แน่นอนว่ามีค่ะ!
เดอะทีฟ เดอะคิลเลอร์ เดอะแอสซาซินยังมีได้ ดังนั้น เดอะ ไพเรต ก็ย่อมมี
แต่ก็เหมือนกับอาชีพผิดกฏหมายอื่นๆ ระวังจะถูกทางการจับได้นะคะ และสำหรับสกอร์ปิโอ ค่าหัว รางวัลนำจับของโจรสลัดจะสูงมากเป็นพิเศษ รวมถึงบทลงโทษก็ด้วยค่ะ
ดังนั้นแล้วถ้าอยากเล่นสตอรี่เดอะไพเรตออฟสกอร์ปิโอ ไม่ควรให้คนจากสกอร์ปิโอรู้ว่าคุณคือสิ่งนั้น
A: เนื้อมังกรสมุทร จะมีทั้งชนิดเนื้อขาวและเนื้อแดงค่ะ ตามลักษณะสายพันธุ์ของมังกรที่คนนิยมทาน
เนื้อขาวให้ตีว่าลักษณะของเนื้อคล้ายปลาหิมะค่ะ เนื้อจะเด้ง นุ่ม มีความมันสูง รสชาติออกไปทางจืด เหมาะกับการใช้เครื่องปรุงรสจัดจ้านหมักปรุงก่อนทำให้สุก แต่ความคาวน้อยกว่าแบบเนื้อแดง
ส่วนชนิดเนื้อแดง ลักษณะของเนื้อมีสีแดงเข้มตามชื่อ แทรกด้วยเส้นไขมันสีขาว (คล้ายเนื้อม้าส่วนมัน หรือโอโทโร่) แต่เมื่อทานจะไม่ค่อยมีรสชาติของมันหรือความมันมากนักเพราะรสเนื้อจะค่อนข้างเข้ม เนื้อมีความเค็ม รสคล้ายเหล็กติดปลายลิ้นแต่ไม่มีกลิ่นเหล็ก จะเป็นกลิ่นที่มีความเค็มคล้ายกลิ่นมันกุ้ง
เนื้อแข็งกว่าแบบเนื้อขาวและมีความกรุบ เป็นเนื้อที่นิยมทานทั้งแบบปรุงสุก และกึ่งสุกกึ่งดิบ นิยมแต่งรสตอนจะทาน (ราดซอส/ทา-จิ้มน้ำจิ้ม) มากกว่านำไปหมักปรุงรส
A: มีค่ะ
เนื้อวาฬ นิยมทั้งตากแห้ง หมักเกลือ หมักเครื่องเทศ หมักรมควัน ดองในน้ำเกลือ ดองในน้ำมันค่ะ
เนื้อมังกร เนื้อแดง
ตากแห้ง+รมควันแห้ง (แบบหั่นชิ้นตากแห้งเฉยๆกลิ่นคาวจะแรงขึ้น)
เคล้าเกลือตากแห้ง (แบบฝานบาง อารมณ์จะคล้ายข้าวเกรียบเลยค่ะ เอาไปปิ้งหรือทอดในน้ำมัน
รมควันแนวแซลม่อนรมควัน
ดองน้ำเกลือ/เครื่องเทศ
ดองน้ำมัน
ทำแฮม
ชิ้นใหญ่มากๆบางครั้งใช้วิธีพอกโคลนแล้วเผาข้างนอกให้ไหมเกรียมด้วยความร้อนสูงในเวลาสั้นๆ เหมาะสำหรับการใส่ในกล่อง/ลังกรุฟาง และหินเวททำความเย็น ขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ วิธีนี้เป็นวิธีที่ถึงที่หมายแล้ว เนื้อที่อยู่ภายในจะมีความสดใหม่คล้ายเพิ่งออกจากเขียงที่สุด
เนื้อมังกร เนื้อขาว
นิยมทำสุกแล้วหมักกับสมุนไพรในน้ำมัน (ฟีลทูน่ากระป๋อง)
เนื้อดิบ ดองน้ำมัน
ตากแห้ง
เป็นเนื้อที่ไม่นิยมนำมาถนอมอาหารเท่าไหร่เพราะมีมันเยอะค่ะ จะเสียรสชาติและมวลมากกว่าความคุ้มค่า
A: แยกได้จากการบริโภค 'แมงป่อง'
ตระกูลที่มีเชื้อสายมาจากเผ่าผืนป่าจะงดเว้นการกินแมงป่อง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าสกอร์เปี้ยน ผู้ปลดแอกเผ่าผืนป่าจากการปกครองกดขี่จากเผ่าทะเล ถือว่าเป็นการให้เกียรติกัน
ส่วนตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าทะเล จะบริโภคแมงป่องหากมีให้กิน พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพียงทำตามธรรมเนียมการกินอาหารอย่างชาวเรือ คือกินทุกอย่างให้คุ้มค่าและไม่กินทิ้งขว้าง
A: ใช่แล้วค่ะ กลุ่มตระกูลชนเผ่าผืนป่าหลายๆ ตระกูลที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล (ใจกลางคาบสมุทรห่างทะเล) ก็ยังมีกลุ่มที่มีชื่อเสียงว่าเป็นนักล่าฝีมือดี (โดยแถบเมืองทางภาคกลางจะขึ้นชื่อเรื่องเนื้อกวาง/กระทิงมากๆ) หรือกลุ่มที่แปรรูปสัตว์ที่ได้จากการล่าได้โดดเด่นก็มียู่ค่ะ
ส่วนกลุ่มปศุสัตว์หรือกสิกรรมก็มีพบเห็นได้ทั่วไป
A: สมุนไพรเบสิกๆ ที่มักพบเห็นในอาหารทุกจาน โดยเฉพาะสมุนไพรที่ใช้แบบสดๆ นี่ ถ้าเป็นในเมือง ก็มักจะปลูกกันตามบ้านเรือนเลยล่ะ ผักสวนครัวรั้วกินได้มีทุกครัวเรือน แต่ก็มีคนที่ปลูกเพื่อขายอยู่ พบได้ทั่วไป โดยมากจะเป็นคนที่ปลูกเป็นสวนสมุนไพรก็จะส่งขายตามร้าน และใช้เพื่อแปรรูปขายด้วยในทีเดียวเลยค่ะ
ส่วนถ้าตามชนบทหรือบ้านนอกหน่อยก็จะปลูกกันแค่อะไรที่ตัวเองใช้บ่อย ใช้แนวทางการแลกเปลี่ยนกันในชุมชน
ส่วนถ้าเป็นสมุนไพรหายากก็จะมีคนที่ทำอาชีพเก็บของป่าคอยเก็บขายอยู่เรื่อยๆ ล่ะ คนธรรมดามักไม่ค่อยเข้าป่ากันเองเพราะมีสัตว์ดุร้ายและสัตว์มีพิษในป่าเยอะ
A: พืชเฉพาะถิ่นจริงๆ ของสกอร์ปิโอจะเป็นพืชในตระกูลพริกค่ะ แต่สายพันธ์ุของพริกก็จะเป็นพริกแนวยุโรป-เมดิเตอเรเนียนหน่อยๆอย่างตามนี้ https://tasteatlas.com/most-popular-peppers-in-spain หรือ https://tasteatlas.com/best-rated-peppers-in-europe มีหลากหลายมากๆ ทั้งสี ขนาด รสชาติ กรรมวิธีการใช้ก็มีทุกรูปแบบ หากสุ่มเดินเข้าครัวสักบ้าน สิ่งที่มีแน่ๆ ก็พริกดอง จะดองน้ำมัน น้ำเกลือ ก็ว่าไป
แล้วพืชที่อาจจะถือได้ว่าเฉพาะถิ่นอีกชนิดก็จะเป็นพวกอ้อยค่ะ เพราะเป็นวัตถุดิบตั้งต้นหลักสำหรับรัมเลย ดังนั้นจะปลูกเยอะมาก เพราะงั้นก็จะมีผลิตภัณฑ์น้ำตาลด้วย แต่คนสกอร์ปิโอกลับไม่ค่อยชอบกินหวานกันเสียอย่างนั้น
คนสกอร์ปิโอถ้าจะอ้วนก็ไม่ใช่เพราะทานของหวาน แต่เพราะทานเนื้อ แป้ง ของมันๆ ผสมกับการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากๆเป็นประจำ
A: ถูกต้องค่ะ อาหารของคนสกอร์ปิโอนิยมปรุงเป็นชิ้นค่ะ ชิ้นใหญ่ๆ ยิ่งอร่อย อาหารประเภทคาร์บที่นิยมก็จะเป็นพวกขนมปัง ซึ่งส่วนมากก็จะออกแนวแข็งเล็กน้อยแนวขนมปังไรย์ อาหารประเภทซุปคือยกถ้วยดื่มจริงๆ แล้วใช้ขนมปังหรือเนื้อกวาดส่วนผสมที่เป็นชิ้นในซุป
ส่วนเครื่องมือที่ใช้ บางคนก็พกมีดเล็กอีกอันสำหรับทานอาหารโดยเฉพาะ อาจจะเป็นมีดพับเล็กๆ เพราะมีดพกบางชนิดที่คนสกอร์ปิโอพก (เช่นกริชคดโค้งที่ผู้หญิงพกกัน) ไม่เหมาะกับการใช้ตัดอาหารเท่าไหร่ค่ะ
อาหารที่นำข้าวแบบเป็นเม็ดมาปรุงนั้นแรกเริ่มเป็นอาหารที่ทานกันในหมู่ชนชั้นสูงหรือคนรวยที่มีโอกาสติดต่อแลกเปลี่ยนกับชาวต่างชาติมากกว่า ความที่ทานยากและ(ในยุคแรกๆ)มันเป็นการปรุงในสไตล์ที่ข้าวจะแฉะ(แนวรีซ็อตโต้)เสียเป็นส่วนใหญ่ คนจึงไม่ชอบทานเลยค่ะ ผลผลิตข้าวในสกอร์ปิโอจึงถูกแปรรูปเป็นแป้งเกือบหมด (ที่เหลือเป็นพวกเหล้า เบียร์ เครื่องหมัก) จนกระทั่งปาเอญ่าจากบารามอสมาถึงและคนสกอร์ปิโอรู้จักวัฒนธรรมข้าวแห้งๆ ถึงเริ่มนิยมทานเมนูข้าวกันมากขึ้นล่ะ
A: ถ้าเป็นร้านแบบนั้นจะมีจัดให้เป็นชุดๆ ส่วนบุคคลอย่างที่เป็นตามร้านอาหารปัจจุบันนี้เลยค่ะ แต่ถ้าเป็นร้านทั่วๆไปหรือร้านริมทาง(โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ) ชอน มีดส้อม อะไรพวกนี้จะมีให้ในตะกร้า (แนวกล่องตะเกียบร้านก๋วยเตี๋ยว) เผื่อพวกนักเดินทางหรือพ่อค้าต่างถิ่นที่ไม่ถนัดทานแบบคนพื้นเมือง
A: ตามร้านก็มีค่ะ แต่ถ้ากินตามร้านริมทางพวกผู้ชายก็มักจะเช็ดกับผ้าคาดเอวกันเสียมากกว่า(....)
A: มีค่ะ แต่เหล้าพื้นเมืองไม่นิยมแพร่หลายเท่าเหล้าต่างประเทศค่ะ
(ตามออฟฟิเชียลเซ็ตติ้งจากหนังสือหัวขโมยแห่งบารามอส The Perfect Guidebook กำหนดมาว่าประเทศที่โดดเด่นเรื่องหมักเหล้าหมักแอลกอฮอลแล้วทำออกมาดีที่สุดดีที่สุดคือไนล์ ในทางสตอรี่นั้นกำหนดให้เป็นว่าการหมักบ่มเหล้าประเภทนั้นในสกอร์ปิโอไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าทางเหนือเนื่องจากอุณหภูมิเฉลี่ยและความแปรปรวนของสภาพอากาศค่ะ)
A: มี และราคาถูกกว่าพวกดาร์ครัมที่เป็นที่นิยมค่ะ (เหล้ากลุ่มเหล้าขาวขอนับเข้าเป็นเหล้าในกลุ่มไลต์รัม) แต่ว่าไม่เป็นที่นิยมในหลุ่มคนของสกอร์ปิโอเองเท่าเพราะความดีกรีอ่อนกว่าของมัน ส่วนมากมักถูกใช้ในการชงค็อกเทลหรือการทำอาหารมากกว่า แต่เป็นเหล้าที่คนต่างถิ่นจะเลือกดื่มเพราะสู้ความแรงของดาร์ครัมท้องถิ่นไม่ไหว
A: เป็นที่นิยมมากค่ะ นอกจากที่ดื่มง่าย อีกเหตุผลคือให้ความสดชื่นทดแทนในอากาศที่ร้อน และแก้กระหายจากการดื่มแอลกอฮอล์ในอุณหภูมิเช่นนั้น
ที่นิยมก็จะมีทั้งเป็นน้ำผลไม้คั้นสด หรือพวกฟรุตพันช์ค่ะ ถ้าเป็นงานเลี้ยงหรือการทานอาหารร่วมกันที่ผู้เข้าร่วมมีแต่ผู้ใหญ่ ก็จะเป็นพันช์ใส่เหล้าบางๆ
A: จากรสนิยมของคนสกอร์ปิโอ มักไม่ค่อยทานขนม(หรืออาหารที่รสหวานนำ)เป็นของว่างระหว่างมื้อกันบ่อยสักเท่าไหร่ค่ะ พวกของว่างเลยจะเป็นของเค็ม หรือของที่แนมของคาว/เค็มนำ
ถ้าเป็นน้ำผลไม้หรือพันช์ ของแกล้มก็เช่นพวกชีสบอร์ด ของทอด มันทอด chips แบบต่างๆ คานาเป้ แซนด์วิช สลัดเล็กๆ หรือพวกถั่วอย่างพิสตาชิโอ ที่จะแซมพวกแฮม เบค่อน ไปจนถึงแอนโชวี่ ฟีลเหมือนอาหารงานเลี้ยงค็อกเทลนิดๆ
หรือถ้าคู่กับกาแฟ หรือชา ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นของแกล้มที่มีสองรสตัดกัน
เช่น พวกเมล่อนแฮม https://pinterest.com/pin/519110294560128961/
ลูกแพร์อบกับอบเชยน้ำผึ้ง https://pinterest.com/pin/142989356912090437/
หรือผลไม้ย่าง (ทาเนย/น้ำผึ้ง) https://pinterest.com/pin/317714948726721078/ https://pinterest.com/pin/10273905388937722/
A:
ทักทาย
เบสิคและเป็นทางการ "ขอให้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลโปรดอำนวยพรแก่การพบกันในครั้งนี้"
คำที่คนทำอาชีพบนเรือ/ทำงานกับคนจากบนเรือ/คนตามท่าเรือใช้ติดปาก เป็นการทักทายสั้นๆโดยใช้เสียงแบบ Hoi/Hoy หรือไม่ก็ทักด้วยคำเรียก สหาย (mate จาก shipmate)
ถ้าไม่ใช่การพบกันแบบทางการไปเลยก็ไม่ค่อยจะมีการใช้***สวัสดิ์ กันเท่าไหร่
ร่ำลา
เบสิคและเป็นทางการ "ขอให้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลโปรดอำนวยพรให้ประสบแต่โชคดี"
ที่สำคัญๆก็จะมี "ขอสายน้ำและสายลมช่วยหนุนนำ" (Fair winds and following seas.)
https://www.ibiblio.org/hyperwar/NHC/fairwinds.htm
https://www.battleshipnc.com/fair-winds/
เป็นคำที่มีความหมายทั้งอวยพรและร่ำลาที่มักใช้ในหลายโอกาส ทั้งทางการและไม่ทางการ หลักๆก็จะมี การออกเดินทาง(ออกเรือ), การอวยพรให้แก่คนที่จบการศึกษา(ตัวอย่าง)/โยกย้าย(งาน/ที่อยู่) หรือเกษียณอายุ(ทั่วไปทุกสายงาน) , การกล่าวในพิธีศพของคนในสายอาชีพที่ทำงานบนเรือ
(ในส่วนของประโยคที่จะบอกว่า***ตาย จะพูดว่า "***ได้จากไปสู่ท้องทะเลตะวันออก เพื่อออกเดินทางไปพบกับเทพเจ้าแห่งท้องทะเล")
หลังๆ ที่การสัญจรทางอากาศในสกอร์ปิโอเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ก็เริ่มมีการปรับประโยคมาเป็น "ขอฟ้าใสและลมส่งแรงกล้า" (Blue skies and tailwinds.)
คำอวยพรและร่ำลาอีกคำที่นิยมใช้กันคือ 'ขอให้ดาวเหนือชี้นำทาง' (Find true north หรือสั้นๆแค่ True north 'ขอดาวเหนือชี้ทาง') เป็นคำโบราณตั้งแต่ยุคที่เข็มทิศไม่แพร่หลาย มาจากการใช้ดาวเหนือบอกทิศทางในยามค่ำคืน
คำอุทานที่คนมีอายุหน่อยมักพูดติดปาก
ให้คลื่นซัดเถอะ(ให้ตายเถอะ)
ขอให้ท้องทะเลเป็นพยาน (แนวสบถสาบาน/ไม่สาบานต่อเทพเจ้าเพราะถือเป็นการรบกวนเทพเจ้าโดยใช่เหตุ)
A: