วิถีชีวิต
จากสภาพภูมิศาสตร์ที่มีทะเลล้อมรอบประเทศเกือบครบสี่ด้าน จึงทำให้ผู้คนมีวิถีชีวิตผูกกับทะเลมาตั้งแต่ยุคโบราณ สกอร์ปิโอเป็นประเทศนักเดินเรือ มักประกอบอาชีพเกี่ยวกับการเดินเรือเช่น ราชนาวี การประมง การต่อเรือเดินทะเล และการคุ้มกันเรือ โดยมีเรือรบรับจ้างที่สามารถจ้างวานให้ไปคุ้มกันการเดินทางและปกป้องนักเดินทางจากโจรสลัดที่อาจหลงเหลืออยู่หรือโจรสลัดจากนอกเขตน่านน้ำสกอร์ปิโอ เมืองใหญ่ของสกอร์ปิโอตั้งอยู่ติดทะเลและล้วนเป็นเมืองท่า การค้าขายและขนส่งก็มักจะใช้การเดินทางโดยเรือเป็นสำคัญ
ชาวสกอร์ปิโอนิยมสัญจรทางเรือและทางน้ำมากกว่าทางบก เพราะพวกเขาถือตนว่าตนเองเป็นผู้รับใช้แห่งเทพเจ้าท้องทะเลและเชื่อว่าการเดินทางปลอดภัยกว่าเมื่ออยู่บนน้ำ อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงสัตว์น้ำที่สามารถใช้ลากเรือ เช่นมังกรสมุทรและม้าวารี โดยที่ภาพของม้าวารีเทียมเรือลากเรือเล็ก และภาพของมังกรสมุทรหลากหลายสายพันธุ์ทั้งที่ใช้ลากเรือใหญ่ กับคอยรักษาความปลอดภัยของกองเรือก็เป็นภาพคุ้นตาแถวท่าเรือ
ของขึ้นชื่อที่สุดของสกอร์ปิโอคืออาหารทะเลที่สดและได้คุณภาพ อาหารทะเลแปรรูปหลากหลายรูปแบบ ถ้าจะถามว่ามีสิ่งใดที่ชาวสกอร์ปิโอให้ความคุณค่ารองลงมาจากความแข็งแกร่ง นั่นก็คืออาหาร พวกเขาถือคติว่าสติที่แจ่มใส ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์มีที่มาจากการทำงานหนักและอาหารสุกใหม่ ร้านอาหารชื่อดังมีมากมายทุกหัวมุมถนนพอ ๆกับร้านเหล้า ในตลาดกลางใกล้ท่าเรือใหญ่ ๆ จะมีเสียงของการประกอบอาหารดังต่อเนื่องตลอดทั้งวันไปจนดึกดื่น เพราะเหล่าคนเรือและคนงานท่าเรือนั้นโดยมากจะทำงานกันต่อเนื่องทั้งคืน อาหารของชาวสกอร์ปิโอขึ้นชื่อว่ารสจัดด้วยเครื่องปรุงและสมุนไพร แต่ยังมักได้รับความเห็นว่าถ้ามามารถใช้วัตถุดิบหรือพืชพันธุ์ที่มีคุณภาพทัดเทียมกับวัตถุดิบจากทะเลได้ อาหารของชาวสกอร์ปิโอก็คงไม่เป็นสองรองใคร
นอกจากนี้ ของขึ้นชื่ออื่นๆจากดินแดนแห่งนี้ยังมีเมล็ดกาแฟสายพันธ์ุเซลเวนารา เครื่องปรุงรสและซอสรสจัดจ้านที่หมักบ่มด้วยเทคนิคพิเศษ งานศิลปะเรือจำลองในขวดแก้ว
ศาสนา
ชาวสกอร์ปิโอนับถือบูชาโอเคียนัส เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ว่ากันว่าเทพเจ้าแห่งท้องทะเลนั้นท่อนล่างเป็นมังกรสมุทร ท่อนบนเป็นชายรูปร่างกำยำถือตรีศูล สามารถดลบันดาลให้เกิดฟ้าผ่าและพายุ ยามพิโรธท้องทะเลจะปั่นป่วนบ้าคลั่ง ฉะนั้นชาวสกอร์ปิโอซึ่งมีวิถีชีวิตข้องเกี่ยวกับทะเลจึงให้ความเคารพยำเกรง โดยชาวสกอร์ปิโอเชื่อว่าการทำให้ท้องทะเลสกปรกหรือแปดเปื้อนคือการไม่ให้ความเคารพและเป็นเหตุให้เทพเจ้าพิโรธ ทำให้เมื่อพายุเข้าชาวสกอร์ปิโอมักจะกล่าวว่า เทพเจ้าแห่งท้องทะเลกำลังพิโรธ และพวกเขาจะไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในทะเลหรือแหล่งน้ำซึ่งไหลสู่ทะเลโดยไม่จำเป็น หากเมื่อออกทะเลแล้วจำเป็นต้องทิ้งสิ่งปฏิกูล นักเดินเรือก็มักจะทำพิธีไหว้ขอขมาในภายหลัง
นักบวชของสกอร์ปิโอเป็นได้แค่เพศชายเท่านั้นเพราะวัฒนธรรมที่เชิดชูความแข็งแกร่งจึงเชื่อกันว่าเทพเจ้าจะโปรดปรานมากกว่าหากมีผู้รับใช้ที่แข็งแกร่ง พวกเขาใช้ชีวิตที่วิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลซึ่งเป็นวิหารโบราณที่สร้างเหนือโขดหินบนทะเล เป็นอาคารดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคเผ่าทะเลเรืองอำนาจ นักบวชพวกนี้มีหน้าที่ดำเนินพิธีซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสนาและเผยแพร่คำสอนศาสนาบูชาเทพเจ้าท้องทะเล และเมื่อเกิดลมพายุพวกเขาจะต้องนั่งสวดภาวนาวิงวอนให้เทพเจ้าคลายความพิโรธ
โดยทั่วไปนักบวชของวิหารเทพเจ้ามักเป็นผู้ที่มีความถนัดในเวทน้ำ ชาวสกอร์ปิโอมักส่งบุตรชายที่มีพรสวรรค์ในการใช้เวทน้ำมาเข้ารับการคัดเลือกเป็นนักบวช หากได้รับการคัดเลือกจะถือว่ามีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก ไม่เพียงครอบครัว แต่หลายครั้งทั้งหมู่บ้านจะจัดงานฉลองให้แก่ครอบครัวนั้น
ในปัจจุบันยังคงมีการบูชาเซลวาทานัส เทพารักษ์แห่งป่าอยู่บ้างอันเป็นวัฒนธรรมสืบเนื่องมาจากสมัยสงครามเผ่าผืนป่าและเผ่าทะเล แต่ชาวสกอร์ปิโอไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทพารักษ์แห่งป่าเท่ากับเทพเจ้าท้องทะเลอีกแล้ว อีกทั้งนักบวชของเทพแห่งผืนป่าไม่มีการสืบทอดตำแหน่งแก่คนรุ่นใหม่อีกต่อไป คงเหลือวัฒนธรรมประเพณีไม่กี่อย่างที่ถูกนำไปข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวทะเล เช่นพิธีปลอบขวัญผืนป่า ด้วยการปลูกต้นกล้าทดแทนต้นไม้ที่ถูกตัดมาต่อเรือ
สถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อมในเมืองต่างๆของสกอร์ปิโอ
สถาปัตยกรรมในสกอร์ปิโอไม่ได้สวยงามโดดเด่น สร้างโดยเน้นการใช้งาน ออกแบบให้แข็งแรงคงทนต่อลมทะเลและพายุ ในบางส่วนของเมืองบ้านเรือนค่อนข้างเบียดเสียดแออัดทำจากไม้หรือหิน มีเพียงอาคารสำคัญเช่นราชวังเท่านั้นที่จะสร้างอย่างวิจิตรบรรจงทว่าก็ยังมีรูปลักษณ์ค่อนไปทางดูน่าเกรงขามมากกว่าเน้นความสวยงาม
ภายในระเบียงวังสกอร์ปิโอสามารถมองเห็นวิวทะเลจากมุมสูง
เมืองใหญ่ๆที่โดดเด่นของประเทศสกอร์ปิโอมักเป็นเมืองท่า บรรยากาศแถวท่าเรือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวปลาและเกลือทะเล ผู้คนเดินกันอย่างเบียดเสียด เต็มไปด้วยเรือหาปลา ไกลออกไปในเขตท่าเรือน้ำลึกก็เป็นเรือเดินสมุทรขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ธงชาติของประเทศต่างๆที่ชักขึ้นเพื่อบอกสัญชาติของเรือปลิวไสวละลานตาตัดกับสีของท้องฟ้า
ท่าเรือการ์วิจิ เมืองเอกของภาคตะวันออก
สถานที่สำคัญอีกแห่งของสกอร์ปิโอคือท่าเทียบเรือรบขนาดใหญ่ ถูกสร้างขึ้นในลักษณะคล้ายป้อมทรงกลมล้อมรอบอ่าวขนาดเล็ก ท่าเทียบเรือมีขนาดกว้างพอที่จะจอดเรือรบหลวงนับร้อยลำ โดยสร้างให้มีช่องทางให้เรือเข้า-ออกทางเดียว โดยเป็นทางที่กว้างพอจะให้เรือรบขนาดใหญ่ที่สุดผ่านเข้าออกได้ครั้งละสามถึงสี่ลำ ในเวลานอกเหนือจากนั้นจะใช้รอกกว้านดึงประตูที่ถูกซ่อนไว้ใต้น้ำไม่ให้มีการเข้าออก ฐานทัพเรือส่วนใหญ่ในสกอร์ปิโอมักถูกสร้างในรูปแบบคล้ายคลึงกัน บริเวณป้อมมีเวรยามคอยเฝ้าตลอดเวลา ใจกลางท่าเทียบเรือรบเป็นประภาคารสูง นอกจากหน้าที่เป็นจุดบอกทางแล้วเจ้าหน้าที่บนประภาคารยังต้องคอยดูแลลำดับการเข้าออกของเรือ และตรวจทะเบียนเรือทุกลำ
นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลเพื่อการเฝ้าระวังภัยทางทะเล จึงสามารถพบประภาคารได้ทั่วไปตามชายฝั่งของสกอร์ปิโอ ประภาคารส่วนมากมักถูกทาสีพรางให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม รวมถึงไม่จุดไฟที่ยอดประภาคารตามปกติเว้นแต่จะมีเหตุฉุกเฉิน มีเพียงประภาคารสำคัญที่ใช้ในการอ้างอิงตำแหน่งในการเดินเรือเท่านั้นที่จะทาสีให้โดดเด่นและจุดไฟบอกทางในยามค่ำคืน