ประชาชน
ชาวสกอร์ปิโอมีเลือดนักสู้และนักเดินทะเล มีความดุดันแข็งกร้าว ไม่เกรงกลัวต่อความยากลำบากของการใช้ชีวิตบนเรือ มีอาชีพซึ่งถือเป็นเกียรติสูงสุดคือราชนาวี ซึ่งเป็นเกียรติเทียบเท่าอัศวินประเทศอื่น หากไม่สามารถเป็นราชนาวีได้ก็มักผันตัวมาเป็นทหารเรือรับจ้างคุ้มกันนักเดินทาง ทำให้ชาวสกอร์ปิโอฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ ทั้งนี้ ลูกหลานชาวสกอร์ปิโอมักเชี่ยวชาญการเดินเรือและการจับปลา ส่งผลให้การประมงเฟื่องฟู
ธุรกิจการออกแบบเรือและอู่ต่อเรือเองก็เป็นที่นิยมไม่น้อย ในแต่ละปีอู่เรือทั่วสกอร์ปิโอจะได้รับใบสั่งผลิตเรือรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยลำ อู่ต่อเรือหลวงของสกอร์ปิโอนับเป็นจุดศูนย์รวมของช่างฝีมือแขนงต่างๆที่ร่วมกันค้นคว้าวิจัยการต่อเรือที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น มีหอเอกสารและอู่แห้ง ไปจนถึงโรงทอผ้าที่ใช้ในการวิจัยเส้นใยสำหรับผลิตใบเรือเป็นของตนเอง อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการต่อเรือเป็นที่สนใจไม่น้อยไปกว่าทหารรับจ้างสักนิด กลุ่มช่างฝีมือที่ทำงานร่วมกับกองทัพและหน่วยงานของรัฐนี้อยู่ร่วมกันภายใต้ชื่อสภาช่างฝีมือ
นอกจากนี้ วิถีชีวิตเกี่ยวข้องกับทะเลทำให้ผู้ใช้เวทชาวสกอร์ปิโอหลายส่วนเชี่ยวชาญเวทน้ำ เชี่ยวชาญการว่ายน้ำและการเดินเรือ ซึ่งชาวเรือส่วนมากสามารถอ่านทิศทางจากดวงดาวได้อย่างแม่นยำ การออกเรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมซึ่งฝังรากลึก กระทั่งว่าคนที่เมาเรือมักจะถูกล้อเลียนดูแคลนว่าไร้สมรรถภาพ หรือไม่เป็นที่โปรดปรานของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
ทักษะที่สำคัญอีกประการที่ชาวสกอร์ปิโอทุกคนมักได้รับการฝึกฝนตั้งแต่เล็กซึ่งควบคู่มากับวิถีชีวิตที่คุ้นเคยกับทะเล คือทักษะการผูกเงื่อนที่หลากหลาย อันเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างมากและสามารถชี้เป็นชี้ตายได้ยามต้องโดยสารไปกับเรือ เมื่อเรือแต่ละลำต้องการรับลูกเรือเพิ่ม การทดสอบวิชาเงื่อนตามสถานการณ์มักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหนึ่งในหัวข้อการทดสอบสำคัญเสมอ
ชาวสกอร์ปิโอมักมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมรอบตัวอันมีผลมาจากลมทะเล มรสุม พายุฝนฟ้าคะนองที่มักไม่มีเหตุบอกล่วงหน้าได้ดี
สกอร์ปิโอเน้นส่งออกผลิตภัณฑ์จากทะเลและประมงเป็นหลัก เช่นอาหารทะเล เกลือ และอื่นๆ รองลงมาคือรายได้จากกิจการอู่ต่อเรือ ซึ่งทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้เป็นจำนวนมาก ทั้งจากการออกใบอนุญาตต่อเรือในราชอาณาจักร หรือการใช้วัตถุดิบที่มีเฉพาะในสกอร์ปิโอเท่านั้น ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบที่มีราคาแพงแต่ก็ทรงคุณภาพไม่แพ้กัน
เพราะความอันตรายของทะเลฝั่งตะวันออกทำให้นักเดินเรือและพ่อค้าต่างชาตินิยมใช้สกอร์ปิโอเป็นจุดพักเรือเพื่อเติมเสบียง ทั้งยังมีการจ้างวานทหารเรือรับจ้างชาวสกอร์ปิโอที่คุ้นเคยกับทะเลแถบนี้ให้ช่วยคุ้มกันเรือจนไปถึงที่หมาย
นอกจากนี้พื้นที่ของสกอร์ปิโอยังอุดมสมบูรณ์มากเพียงพอที่จะทำการเพาะปลูกและกสิกรรม ตั้งแต่ธัญพืช ผลไม้เช่นส้ม องุ่น มะนาว มะเขือเทศ พืชผัก สำหรับบริโภคภายในประเทศ ในเขตเชิงเขาและที่ราบสูงภาคตะวันตกมีการเพาะปลูกเมล็ดกาแฟ
สินค้านำเข้าที่สำคัญที่สกอร์ปิโอนำเข้าเป็นจำนวนมากทุกปีคือโลหะ สมุนไพรจากภาคเหนือของเอเดน ผลิตภัณฑ์นม เส้นด้าย สิ่งทอ
ระบบการศึกษาของสกอร์ปิโอนั้นเป็นระบบกึ่งสมัครใจ หมายถึงว่าไม่จำเป็นที่เด็กทุกคนจะต้องเข้าเรียนก็จริงอยู่ แต่หากต้องการไปเรียนต่อตามสถานศึกษาและโรงเรียนฝึกอาชีพนั้นจำเป็นต้องมีผลการเรียนในสถานศึกษาชั้นต้นแนบไปในการสมัคร
มีสถานศึกษาชั้นต้นตามเมืองใหญ่ๆทุกเมือง ไม่ได้กำหนดอายุในการเข้าศึกษา ขอเพียงยามเข้าเรียนไม่ร้องโยเย ไม่ลุกวิ่งเล่นก่อกวน ก็สามารถเข้าศึกษาได้หากพ่อแม่ต้องการ สถานศึกษานี้จะสอนการฝึกอ่านเขียน การคำนวณเบื้องต้น พื้นฐานการใช้เวทสำหรับชีวิตประจำวัน และวิชาที่จำเป็นในการดำรงชีวิตอื่นๆ โดยหลักสูตรทั้งหมดจะมี 6 ระดับ รวมเป็นการเรียน 6 ปี (ถ้าสอบไม่ผ่านระดับก็เรียนนานกว่านั้น) แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเพียงความรู้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน จบการศึกษาที่ระดับ 4 ก็ถือว่าเพียงพอ รับผู้เข้าศึกษาจากทุกเชื้อชาติ ผู้ที่มาจากครอบครัวทหารจะได้รับการอุดหนุนค่าธรรมเนียมในการเรียนครึ่งหนึ่ง
ผู้ที่จะไปต่อในสถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่นๆจำเป็นต้องได้รับใบรับรองจากสถานศึกษานี้ นั่นหมายถึงเด็กชาวสกอร์ปิโอไม่ว่ายากดีมีจน หากอยากเข้าศึกษาในสถานศึกษาชั้นสูงเช่นสถาบันการทหารฯ วิทยาลัยการเดินเรือ จำเป็นต้องเข้ารับการศึกษาที่สถานศึกษาเหล่านี้โดยไม่แบ่งแยกฐานันดร ราชวงศ์เองหลายครั้งก็ส่งเจ้าหญิงเจ้าชายที่อุปนิสัยไม่เป็นปัญหาไปร่วมเรียนโดยปิดบังฐานะ เพื่อให้เรียนรู้วิถีของสกอร์ปิโอตั้งแต่ยังเล็กๆ
ด้านการฝึกฝนทักษะอาชีพ โดยทั่วไปแล้วก็จะไม่ต่างจากประเทศอื่นที่เด็กๆจะไปขอฝากตัวเป็นศิษย์หรือเด็กฝึกงานกับผู้ที่ตนสนใจ แต่สำหรับคนที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็ยังสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนช่างฝีมือที่กระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ
ชาวสกอร์ปิโอนิยมการแข่งขันและนิยมการประลองพละกำลัง มักจะเห็นชาวเรือสกอร์ปิโอนั่งงัดข้อกันตามท่าเรือหรือโรงเหล้า อีกทั้งค่านิยมของชาวสกอร์ปิโอยังมีการละเล่นเกม Knife Dance หรือ Knife Game ( เพลงที่มักร้องกันในการละเล่น ) ประลองความใจถึงในหมู่ชาวทะเล จึงเป็นเรื่องปกติที่ชาวสกอร์ปิโอจะมีแผลเป็นบนนิ้วมือ
ในบางครั้งชาวสกอร์ปิโอก็นิยมตัดสินปัญหาด้วยการท้าสู้ซึ่งส่งสัญญาณท้าด้วยการถ่มน้ำลายลงตรงหน้าอีกฝ่าย การต่อสู้ในแบบของชาวสกอร์ปิโอนั้นเชื่อในการใช้ทุกสิ่งรอบตัวให้เกิดประโยชน์สูงสุดกระทั่งยาพิษ โดยไม่มีการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมตราบใดที่เป็นการสู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง
สำเนียงชาวสกอร์ปิโอฟังดูกระโชกโฮกฮากบางทีก็ฟังดูคล้ายการคำราม อีกทั้งติดนิสัยพูดจาเสียงดัง จนอาจฟังดูหยาบกระด้างเกินไปสำหรับชนชาติอื่น ชาวสกอร์ปิโอยังนิยมกินอาหารด้วยมือเปล่าเนื่องเพราะอาหารของพวกเขามักเป็นอาหารทะเลที่ใช้มือเปล่ารับประทานได้ง่ายกว่าพึ่งพาอุปกรณ์อื่น
อีกทั้งชายชาวสกอร์ปิโอแสดงความรักอย่างตรงไปตรงมาและไม่อายที่จะต้องพูดเรื่องทางเพศในที่แจ้ง ทำให้คนจากบางประเทศมองว่าพวกเขาไม่สำรวมตน ขาดมารยาท ชาวสกอร์ปิโอโดยทั่วไปนิยมหมั้นหมายด้วยการให้เครื่องประดับผมซึ่งประดับไข่มุก อันถือเป็นคำอวยพรจากเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
ค่านิยมทางเพศของชาวสกอร์ปิโอนั้น โดยทั่วไปแล้วยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายหญิงเป็นปกติ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักเพศเดียวกันนั้นไม่เป็นที่ยอมรับนัก
กระนั้นยังมีสิ่งหนึ่ง ค่านิยมซึ่งมีการรับเข้ามาในวัฒนธรรมตั้งแต่ยุคสิ้นสุดอิทธิพลเผ่าทะเล นั่นคือการมี 'คู่สัมพันธ์' (matelotage) ซึ่งเป็นค่านิยมเผ่าทะเลที่สืบทอดไปในหมู่โจรสลัด--และแน่นอน ในหมู่นักเดินเรือ จนถึงราชนาวีเองก็มีการจับ 'คู่สัมพันธ์' ระหว่างสหายชายเช่นกัน ผู้ที่อยู่ในความสัมพันธ์นี้ และผู้ที่รับรู้ มักไม่พูดหรือเปิดเผยอะไรมากนัก เพราะแม้ยังรับได้ในวงสังคมเดียวกัน แต่กับคนส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่เช่นนั้น
ความเท่าเทียมทางเพศในสกอร์ปิโอมีน้อย พวกที่ออกทะเลส่วนมากจะเป็นบุรุษมากกว่าสตรี ชาวสกอร์ปิโอมักมองสตรีเป็นเพศที่อ่อนแอเนื่องจากลักษณะทางกายภาพและธรรมชาติของเพศสภาพเอง (เพราะสกอร์ปิโอเป็นสังคมที่ให้คุณค่าแก่ผู้แข็งแกร่ง) ทำให้บุรุษมักได้รับสิทธิทางการปกครองและโอกาสเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากกว่า
ทว่าก็ไม่ผิดกฎหมายหากสตรีจะออกทะเล เป็นราชนาวี หรือเป็นผู้คุมเรือ เพียงแต่เพราะสตรีไม่เป็นที่ยอมรับ การได้รับการยอมรับก็ต้องพิสูจน์ตนอย่างสาหัสกว่าผู้ชายมาก
แต่หากสตรีผู้นั้นได้รับการยอมรับจากบุรุษ จะเป็นอะไรก็ล้วนได้ตามใจพวกนางทั้งนั้น
แม้ว่าความเท่าเทียมทางเพศระหว่างหญิงชายในสกอร์ปิโอจะต่างกันมาก ทำให้มืปัญหาการเลือกปฏิบัติระหว่างเพศชายเพศหญิงบ่อยครั้ง แต่เมื่อเป็นเรื่องของสถาบันครอบครัว ชายหญิงกลับมีความเท่าเทียมกันในฐานะสมาชิก ซึ่งมีพื้นฐานที่มาสืบเนื่องตั้งแต่ยุควัฒนธรรมเผ่าทะเล ที่บุรุษเผ่าทะเลออกเรือไปไกลอยู่ห่างบ้าน ดังนั้นผู้ที่ดูแลขับเคลื่อนความเป็นอยู่ของคนในบ้านระหว่างนั้นคือสตรี ดังนั้นสามีที่ไม่ให้เกียรติภรรยาจึงไม่เป็นที่ยอมรับ
เป็นแมงป่องยักษ์ซึ่งมีอุปนิสัยดุร้ายที่มีขนาดใหญ่ขนาดเท่าท่อนแขนชายฉกรรจ์ หาได้ในเขตป่าลึกของสกอร์ปิโอเท่านั้น พิษร้ายแรงกว่างูเห่า
สมัยก่อนเผ่าสกอร์เปี้ยนนิยมเลี้ยงแมงป่องพวกนี้ไว้ในหลุม เวลามีใครทำผิดกฎเผ่าจะประหารโดยการโยนผู้กระทำผิดลงไปในหลุม เรียกกันว่าหลุมแห่งความตาย ในยุคนี้ก็ยังมีการประหารนักโทษแบบนี้ ในเขตวังสกอร์ปิโอมีหลุมที่เพาะเลี้ยงแมงป่องทมิฬ ซึ่งใครที่กบฏต่อราชวงศ์จะโดนจับโยนลงไปในนั้น ในหมู่นักสู้ที่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าสกอร์เปี้ยนโบราณโดยตรงยังมีค่านิยมการเลี้ยงแมงป่องทมิฬเพื่อรีดพิษไว้ใช้สังหารศัตรู ซึ่งเป็นเอกลักษณ์การต่อสู้ของเผ่าสกอร์เปี้ยน วิธีการจับ เพาะเลี้ยง และการปรุงยาถอนพิษเป็นความลับที่สืบทอดกันมาของเผ่าสกอร์เปี้ยนกระทั่งปัจจุบัน
ชาวสกอร์ปิโอยังมีค่านิยมสักลายแมงป่องทมิฬไว้บนร่างกายเพื่อแสดงถึงความภาคภูมิใจและความเป็นสกอร์ปิโอ เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณสมัยยังเป็นเผ่าสกอร์เปี้ยน ยิ่งสักแมงป่องตัวใหญ่เท่าใดก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งมากเท่านั้นเพราะต้องทนกับการได้รับความเจ็บปวดระหว่างการสักเป็นเวลานาน
สงวนการสักแมงป่องที่กลางหลังสำหรับราชวงศ์เท่านั้น
เนื่องเพราะภูมิอากาศอบอุ่นถึงร้อนชื้นทำให้ชาวสกอร์ปิโอนิยมแต่งกายกันด้วยผ้าเนื้อโปร่ง เน้นการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วและระบายความร้อนได้ดี มักใส่เสื้อเปิดแขน บางทีบุรุษชาวสกอร์ปิโอก็นิยมเปลือยท่อนบนในวันที่อากาศร้อน สตรีชาวสกอร์ปิโอไม่ถือสาเรื่องการเปิดเผยเนื้อหนังบริเวณแขน ไหล่ ต้นขา หรือหน้าท้องเท่าใดนัก สามารถพบเสื้อที่เปิดไหล่หรือหน้าท้องได้เป็นปกติแม้กระทั่งในหมู่ชนชั้นสูง
เครื่องแบบพลรบหลวง (unisex)
ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Allen SW Huang
เครื่องแบบพลราชองครักษ์ (unisex)
ตัวอย่างการแต่งกาย:
ชาวเมืองทั่วไป 1, ชาวเมืองทั่วไป 2, ชาวเมืองทั่วไป 3,
หญิงชาวสกอร์ปิโอ 1, หญิงชาวสกอร์ปิโอ 2, หญิงชาวสกอร์ปิโอ 3, หญิงชาวสกอร์ปิโอ 4, หญิงชาวสกอร์ปิโอ 5,
นักรบ / คนคุ้มกันหญิง, นักฝึกมังกรสมุทรหลวง , นักสู้ / นักเดินเรือ / คนคุ้มกัน,
ชนชั้นสูง 1, ชนชั้นสูง 2, ชนชั้นสูง 3, ชนชั้นสูง 4, ชนชั้นสูง 5, ชนชั้นสูง 6, ชนชั้นสูง 7
16 พฤษภาคม เทศกาลบูชาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล: (อ้างอิงจาก หัวขโมยแห่งบารามอส The Perfect Guidebook)
พิธีบูชาเพื่อขอพรจากเทพเจ้าท้องทะเลให้ผู้ซึ่งต้องเดินทางออกทะเลเช่นชาวประมงและทหารเรือแคล้วคลาดปลอดภัยจากพายุและลมฝน เป็นวันที่ชาวสกอร์ปิโอจะเชือดคอสัตว์บกซึ่งเป็นบรรณาการและนำซากสัตว์ไปไว้บนเรือ ซึ่งเรือจะถูกลอยไปกลางสมุทรและยิงธนูเพลิงจุดเผา หลังจากนั้นจะมีงานเต้นรำร้องเพลงรอบกองไฟใต้แสงดาว จัดเป็นงานใหญ่โตและเป็นการเฉลิมฉลองประจำปี
เทศกาลปลอบขวัญผืนป่า:
จัดขึ้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูร้อน มักเป็นอาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายน เพื่อขอบคุณป่าและเทพอารักษ์แห่งผืนป่า เนื่องเพราะไม้มีความสำคัญต่อการนำไปใช้ต่อเรือ ชาวสกอร์ปิโอจะทำการเพาะกล้าไม้ (บางครั้งก็ซื้อหาจากพ่อค้าที่เตรียมเพาะกล้ามาขายก่อนงานเทศกาลหลายเดือน) ก่อนจะเดินทางเข้าไปในป่า นำกล้าไปปลูกแทนต้นไม้เดิมที่ถูกโค่นในปีก่อนๆ จัดตอนต้นฤดูใบไม้ผลิที่ความหนาวเย็นจากไปจากดินแดนสกอร์ปิโอ
แข่งขันว่ายน้ำ:
จัดในฤดูร้อนช่วงเดือนสิงหาคม เป็นเทศกาลซึ่งชายหนุ่มชาวสกอร์ปิโอนิยมลงแข่งขันเพื่อประชันความแข็งแรง โดยว่ายท้าคลื่นทะเล ผู้ชนะจะได้รับปิ่นปักผมมุก โดยสามารถนำไปมอบให้หญิงสาวเป็นของหมั้นหมาย (ว่ากันว่าการขอหมั้นมีโอกาสสำเร็จสูงหากใช้ปิ่นนี้ เพราะชัยชนะในเทศกาลเป็นการพิสูจน์ความแข็งแกร่งสร้างความประทับใจได้ดี)
แข่งเรือ:
จัดช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เป็นเทศกาลที่อู่ต่อเรือต่างๆล้วนส่งเรือของตนมาแข่งขันความเร็วเพื่อตัดสินว่าเรือของใครมีคุณภาพที่สุด ผู้ชนะจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอู่ต่อเรือที่ดีที่สุดในปีนั้น มักมีการพนันในหมู่ประชาชนว่าเรือจากอู่ใดจะชนะในปีนี้
แข่งขันตกปลา:
การแข่งขันตกปลาประจำฤดูกาลว่าใครจะตกได้ปลาตัวที่ขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อสิ้นสุดงานจะมีการนำปลาที่ตกมาได้มาทำอาหารเพื่อรับประทานร่วมกันเป็นการเฉลิมฉลองให้แก่ความอุดมสมบูรณ์ของสกอร์ปิโอ
เทศกาลฉลองชัยชนะราชนาวี:
จัดขึ้นในวันที่ 7 มีนาคม เป็นวันครบรอบวันที่ราชนาวีมีชัยเหนือโจรสลัดอย่างเบ็ดเสร็จ มีการสวนสนามทางน้ำในอ่าวฟอร์เทลซา มีการเล่นดนตรีเฉลิมฉลองใหญ่โตและมีงานออกร้านตามสองข้างทาง ธงทิวปลิวไสวทั่วภูมิภาคของประเทศ
ในงานที่จัดขึ้นที่เมืองหลวงจะมีสนามประลองราชนาวีที่เปิดให้เหล่านักสู้ที่สนใจเข้าร่วมในอัตราราชนาวี 30 คน : บุคคลทั่วไป 90 คน รวม 120 คน ผู้ชนะจะได้เงินรางวัล และหากเป็นบุคคลทั่วไปอาจถูกทาบทามเข้ากองทัพด้วย
การสอบเข้ากองราชวัลลภ:
จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้งช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ต้นเดือนเมษายน เป็นการทดสอบที่นายทหารจากทั้งราชนาวีและทัพหลวงที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นสามารถเข้าร่วมได้ จัดขึ้นที่สนามประลองในเมืองหลวงโดยเปิดให้ประชาชนที่สนใจซื้อบัตรเข้าชมได้
การเกิด
ในยามอรุณแรกของชีวิต เบาะนอนของทารกจะถูกวางลงบนแพสี่เหลี่ยมที่ลอยในน้ำทะเล (หรือแหล่งน้ำที่ปลายสายบรรจบกับทะเล) ชำระล้างมือเท้าด้วยน้ำและเกลือ
หากเป็นบุตรชาย บิดามักจะให้มีดหรือดาบสั้นเป็นของรับขวัญ
หากเป็นบุตรสาว มารดาจะให้กริชเล็กทรงโค้งคล้ายเกลียวคลื่น
มีดและกริชนี้เป็นสัญลักษณ์เตือนใจแทนความเข้มแข็ง ซึ่งจะติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิตไม่ว่าโยกย้ายไปแห่งหนใด
การสมรส
บ่าวสาวจะเดินทางไปที่วิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ที่หน้าแท่นบูชา เจ้าบ่าวจะกลัดเครื่องประดับไข่มุกที่เป็นของหมั้นหมายลงบนเรือนผมของเจ้าสาวอีกครั้ง พวกเขาทั้งสองจะผูกผมปอยหนึ่งเข้าด้วยกันและถักเป็นเปียเชือก ก่อนจะตัดเปียนั้นออกวางลงในเรือใบไม้ในจานที่หน้าแท่น ตามด้วยไข่มุก 1 เม็ด ลูกกุญแจโลหะ 1 คู่ที่ร้อยเข้าด้วยกัน ตามด้วยกล่าวคำสาบานรักต่อหน้าแท่นบูชาเทพเจ้า ก่อนสิ้นสุดพิธีการด้วยการเซ่นสรวงของในจานให้แก่เทพเจ้าด้วยการลอยเรือใบไม้ออกไปในทะเล
หลังการประกอบพิธีก็จะมีการเลี้ยงฉลองที่บ้านของบ่าวสาว มีการบรรเลงดนตรีและเต้นรำ อาหารในงานเลี้ยงจานแรกจะเป็นอาหารที่บ่าวสาวทั้งสองช่วยกันทำ ตามด้วยอาหารจานแล้วจานเล่า แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเหล้า เป็นภาพชินตาที่จะเห็นญาติๆนั่งดื่มหัวทิ่มอยู่ในลานบ้านตั้งแต่เที่ยงยันเช้าของอีกวัน
การตาย
เปลือกหอยและดอกไม้พื้นถิ่นจะถูกวางบนหน้าอกของผู้ที่กำลังจะจากไป ญาติมิตรมักจะไปรวมตัวกันที่ข้างเตียงเพื่อส่งผู้เป็นที่รักออกเดินทาง
ในสมัยก่อนพิธีศพของสกอร์ปิโอนั้นเป็นพิธีการฝัง แต่หลังจากเคยมีโรคระบาดในยุคสงคราม ทำให้เปลี่ยนมาเป็นการเผา พิธีศพจะจัดขึ้นที่ลานพิธีริมทะเล หรือริมแหล่งน้ำ จะวางท่อนฟืนเรียงกันและจุดไฟขึ้น ไฟจากฟืนและน้ำมันจะโหมขึ้นตลอดคืน ก่อนที่พอแสงแรกของวันสาดส่องลงในลาน ญาติๆจะมาเก็บอัฐิที่เหลืออยู่ ก่อนจะออกเรือ นำอัฐิไปโปรยลงในทะเล
กรณีการเสียชีวิตในทะเล โดยไม่มีผู้ใช้เวทที่สามารถรักษาสภาพของผู้จากไปอยู่บนเรือด้วย เรือจะเข้าฝั่งโดยเร็วที่สุดเพื่อประกอบพิธีศพ และนำอัฐิกลับมาเพื่อให้ญาติมิตรของผู้ตายเป็นผู้โปรย
ในการไว้ทุกข์ พวกเขาจะสวมปลอกแขนสีน้ำเงินซีด กลัดดอกไม้ชนิดเดียวกันกับที่มอบให้ผู้จากไปใช้ในการเดินทางไว้กับปลอกแขนด้วย โดยเพื่อนและญาติ จะใส่ประมาณ 7-10 วัน ญาติสนิท สามี ภรรยา พี่น้อง พ่อแม่ บุตร ใส่เป็นเวลา 1 เดือน
บทเพลงของสกอร์ปิโอมักเป็นเพลงที่สะท้อนวิถีชีวิตติดทะเล เพลงรักก็มักเกี่ยวกับการออกเดินทะเลอันยาวนานของชาวเรือ เพลงเหล่านี้นิยมเล่นในโรงเหล้า ตามเทศกาล หรือระหว่างออกเรือ
นิทานเรื่องเล่าโบราณของชาวสกอร์ปิโอมักเป็นตำนานเกี่ยวกับดวงดาวที่ได้รับสืบทอดมาจากชาวเผ่าทะเล เพราะแต่โบราณมาเผ่าทะเลก็ใช้ดวงดาวในการบอกทิศทางในการล่องเรือ
นอกจากนั้นก็เป็นตำนานผู้กล้า ตำนานของนักสู้ผู้มีชื่อเสียงทั้งที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์และคนในตำนานที่ถูกเสริมแต่งขึ้น เรื่องราวการผจญภัย ความลี้ลับของชนเผ่าโบราณ และที่เป็นที่นิยมกันคือตำนานของบรรพกษัตริย์ผู้สิ้นสุดสงครามกับเหล่าโจรสลัด
จะสังเกตได้ว่าตำนานและเรื่องเล่าของสกอร์ปิโอตั้งแต่นิทานกล่อมนอนไปจนถึงบทละครวณิพก ไม่ค่อยมีเรื่องราวความรักชวนฝันมากนัก มักบอกเล่าเรื่องราวความแข็งแกร่งของผู้คนที่ต้องต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายด้วยกำลังของตนโดยไม่พึ่งอิทธิปาฏิหาริย์ใด