#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
เรื่อง คันทวย (หูช้าง/นาคทัณฑ์) วัดรองแง อ.ปัว จ.น่าน
คันทวย จากหนังสืองานช่าง คำช่างโบราณ : ศัพท์ช่าง และข้อคิดเกี่ยวกับงานช่างศิลป์ไทย ได้ให้ความหมายไว้ว่า คันทวยติดตั้งไว้ตอนบนของเสาให้เอนขึ้นไปรับน้ำหนักชายคา (เต้า) ศัพท์นี้ฟังมาว่าเพราะดูคล้ายของกระบวยตักน้ำ ต่อมาคงทั้งเรียกตัดคำและเสียงที่เคลื่อนคล้อย จากคันบวยมาเป็นคันทวย และคลายเป็นทวย ในที่สุด แต่ก็มีบางคำบอกว่า ทวย หมายถึง ระทวย แปลว่า แอ่น งอน
นาคทัณฑ์ หรืองูช้าง เป็นศัพท์ช่างในพื้นถิ่นล้านนาภาคเหนือ เป็นตัวไม้ทำหน้าที่ค้ำยันรองรับปลายเต้าเพื่อกันปลายไม้เครื่องบนมิให้ทรุดตก และรับน้ำหนักโครงสร้างส่วนชายคาลงมาที่เสาด้านข้างวิหาร สาเหตุที่เรียกว่าหูช้าง เนื่องจากรูปทรงเป็นกรอบสามเหลี่ยมคล้ายคลึงกับหูของช้าง
ในหนังสือศาสตร์ ศิลป์ จิตวิญญาณ วิหารล้านนา กล่าวว่า นาคทัณฑ์ หรือหูช้าง มีองค์ประกอบ ๓ ส่วน คือ ส่วนบน มักทำเป็นลายแถวหน้ากระดานแนวนอน ส่วนกลาง เป็นบริเวณที่มีการตกแต่งด้วยลวดลายมากที่สุด และส่วนล่าง เป็นส่วนที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม
วัดร้องแง ตามประวัติทางวัดกล่าวว่า ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ โดยการนำของเจ้าหลวงเทพพญาลิน เจ้าช้างเผือกงาเขียว เดิมปกครองอยู่ที่เมืองลิน ในเขตปกครองของแคว้นสิบสองปันนา มีพญาแสนเมืองแก้ว เป็นผู้ปกครอง ต่อมาได้เกิดศึกสงครามรุกรานพญาแสนเมืองแก้วต้านทานไม่ไหว เจ้าหลวงเทพพญารินเจ้าช้างเผือกงาเขียว จึงได้มาช่วยต้านทานทัพศัตรูพร้อมด้วยแม่ทัพนายกอง ๔ นาย คือ ท้าวแก้วปันเมือง ท้าววรรณะ ท้าวเหล็กไฟ และท้าวเต๋อ แต่สู้ไม่ไหวจึงแตกทัพรวบรวมไพร่พลหนีมาพร้อมกับเสนาทั้ง ๔ ถอยร่นลงมาจนถึงบริเวณใกล้กับลำน้ำฮ่องแง (ใกล้ลำน้ำมีต้นแงซึ่งมีลักษณะคล้ายกับผลส้มจึงเรียกว่า ลำน้ำฮ่องแง) ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์จึงตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อลำน้ำต่อมาได้มีการเรียกที่ผิดเพี้ยนไป จึงกลายเป็นบ้านร้องแง เมื่อมีการสร้างวัดจึงได้ใช้ชื่อของหมู่บ้านเป็นชื่อวัดไปด้วย
วิหารวัดร้องแงง เป็นวิหารแบบปิดทรงโรงขนาด ๘ ห้อง มีมุขโถงด้านหน้าวิหาร หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้ แป้นเกล็ด ทรงจั่วซ้อนสองตับคลุมต่ำ ด้านหน้าลดชั้นสองซดและหลังคาด้านหลังหนึ่งซด โดยวิหารในปัจจุบันน่าจะสร้างขึ้นหรือบูรณะในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ จากจารึกการสร้างพระประธาน
นาคทัณฑ์ วัดร้องแงง รูปทรงเป็นแผ่นรูปสามเหลี่ยม แกะสลักรูปรูปยักษ์ อยู่ในท่ายืน ยกขาหนึ่งขา มืออยู่ในท่าแบกหรือยก พื้นที่ช่องไฟตกแต่งด้วยลายกนก พันธุ์พฤกษา โดยนาคทัณฑ์ด้านหน้าสุดเป็นรูปเทวดาสันนิษฐานว่าทำขึ้นใหม่
สำหรับยักษ์ที่แสดงท่าแบก หรือทูนสิ่งของไว้เหนือหัว สื่อถึงแนวคิดยักษะเป็นทวารบาล ผู้ที่คอยค้ำจุน ผู้พิทักษ์รักษาศาสนาและศาสนสถาน อีกทั้งยังสื่อถึงคติจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติและผืนดินที่คอยค้ำจุนทุกสิ่งไว้ มีความเกี่ยวข้องกับน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ ป่า ดิน ภูเขา และทรัพย์สมบัติ
เอกสารอ้างอิง
ชัยวุฒิ บุญอเนก. วิหารไทลื้อเมืองน่าน : รูปแบบและคติความเชื่อ. สารนิพนธ์ปริญญาศิลปะศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๔๘.
วรลัญจก์ บุณยสุรัตน์. ศาสตร์ ศิลป์ จิตวิญญาณ วิหารล้านนา. กรุงเทพ : เมืองโบราณ. ๒๕๖๕.
สันติ เล็กสุขุม. งานช่างคำช่างโบราณ : ศัพท์ช่างและข้อคิดเกี่ยวกับงานช่างศิลป์ไทย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๕๓.
อ้างอิงจาก : เพจ Nan national Museum พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน