"งาข้างดำ ฤางาที่เป็นซากฟอสซิล"
ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน มีสิ่งจัดแสดงที่ทุกคนต้องไปชมนั่นคือ งาช้างดำ ป็นโบราณวัตถุคู่บ้านคู่เมืองน่าน ซึ่งมีเพียงชิ้นเดียวที่ได้จัดแสดงเอาไว้ เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดน่านและปรากฏใน คำขวัญจังหวัดน่านที่ว่า "แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง"
ข้อมูลที่บันไว้ดังนี้ “ลักษณะเป็นงาปลี (งาที่มีความยาวไม่มากนัก แต่มีวงรอบขนาดใหญ่) สีน้ำตาลเข้ม มีจารึกอักษรธรรมล้านนา ถอดความเป็นภาษาไทยว่า "กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน" ขนาดของงาช้างดำยาว 97 เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนที่กว้างที่สุดได้ 47 เซนติเมตร มีโพรงตอนโคนลึก 14 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 18 กิโลกรัม”
มีตำนานบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ในสมัยเจ้าสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ ๕๗ (ครองเมือง พ.ศ.๒๓๕๓ - ๒๓๖๘) มีพรานคนเมืองน่านเข้าป่าล่าสัตว์ไปถึงเขตแดนระหว่างไทยกับเชียงตุง ได้พบซากช้างตัวดำสนิทตายอยู่ในห้วย พอดีกับพรานชาวเชียงตุงมาพบด้วย พรานทั้งสองจึงแบ่งงาช้างดำกันคนละกิ่ง ต่างคนต่างก็นำมาถวายเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองเชียงตุงได้ส่งสารมาทูลเจ้าสุมนเทวราชว่า ตราบใดที้งาช้างดำคู่นี้ไม่สูญหาย เมืองน่านกับเมืองเชียงตุงจะเป็นมิตรไมตรีกันตลอดไป” (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน. มรดกท้องถิ่นน่าน เล่มที่ ๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน และโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ. น่าน: องค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน, ๒๕๔๗.)
ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่า ไม่มีหลักฐานยืนยันถึงที่มาของงาช้างกิ่งนี้ มีเพียงตำนนานที่เล่าขานกันต่อๆ มา
จึงเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า “ฤา งาช้างกิ่งนี้คือ งาที่กำลังจะเป็นฟอสซิล/ฟอสซิล?” ตามประสาของคนช่างสงสัย
กระบวนเกิดซากฟอสซิล ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลักคือ 1)กระบวนการแทรกซึมของแร่ธาตุ (Permineralization) และ 2)กระบวนการกลายเป็นหิน (Petrification) หากใครได้เข้าชมใกล้ๆ จะพินิจดูจะเห้นว่า สีของงาช้างไม่ได้ดำ ยังคงออกสีน้ำตาลเข้ม ๆ มีสีดำหนือสีเช้มๆ แทรกอยู่
งา คือ ส่วนคือฟันตัดที่เรียกว่า incisor เมื่อเทียบกับฟันของคนเราก็คือฟันซี่ด้านหน้าๆ ก่อนจะถึงเขี้ยว ลักษณะแบนด้านหนึ่งคม ใช้ตัดอาหาร ลักษณะคล้ายจอบ ในขณะที่ งา มีลักษระเป้นท่อนปลายแหลม จะโค้งไปได้ในหลายทิศทาง ช้างใช้วำหรับแทงหรืองัดวัตถุต่างๆ ดังนั้นองค์ประกอบของงา ก็เหมือนกับฟัน ด้านในสุดมีโพรงเส้นประสาท ถัดออกมา จะเป้นเนื้องาหรือเทียบกับเราคือเนื้อฟันหรือ dentine ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของเนื้องา มากกว่าร้อยละ 95 เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวกันพันที่มีแร่ธาตุมาสะสมจนมีความแข็ง ลักษณะคล้ายกระดูก และชั้นนอกสุดที่เรามองเห็น เรียกว่า เคลือบงา หรือ cementum เป็นชั้นสะสมแร่ธาตุชั้นนอกสุด
หากเราเคยเห็นฟอสซิลของช้างโบราณ ที่มีงาหลงเหลืออยู่ จะเห็นว่าสีของงาช้างจะไม่ได้มีสีขาวเหมือนงาช้างปัจจุบัน บางชิ้นอาจจะมีสีดำเลยด้วยซ้ำ ก็เนื่องมาจากการสะสมของแร่ธาตถต่างๆ เมื่อฝังอยู่ในชั้นดินหรือหินเป็นเวลานานๆ
จากลักษณะของโครงสร้างดังกล่าว ทำให้ที่ชั้น dentine และชั้นนอกของงา สามารถสะสมแร่ธาตุหรือหากจมอยู่ในบริเวณที่มีแร่ธาตุต่างๆ ก็สามารถเข้าไปสะสมในเนื้องาได้ ทำให้สีของงาเปลี่ยนไป จากงาสัขาวหรืออกสีครีมตามธรรมชาติของชาติ
สงสัยได้ แต่คงไม่ต้องพิสูจน์ เพราะไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องพิสูจน์ ตราบใดที่ “งาช้างดำ” กิ่งนี้ เป็นของล้ำค่าของเมืองน่าน และเป้นที่เคารพรักของคนน่านและเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยตลอดไป
จาก : เพจ Chulalongkorn University Museum of Natural History
ภาพ : ภาพถ่ายงาช้างดำ เชิญโดยองค์ครุฑ ถ่ายจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน , Morphological and structural properties of the mammoth tusk.
ที่มา Vladimir V. Pitulko, Elena Y. Pavlova & Pavel A. Nikolskiy (2015): Mammoth ivory
technologies in the Upper Palaeolithic: a case study based on the materials from Yana RHS, Northern YanaIndighirka lowland, Arctic Siberia, World Archaeology, DOI: 10.1080/00438243.2015.1030508 , A fossil of an American Mastodon is on display at the Natural History Museum in London