ถึงแดดประเทศไทยจะร้อนแรงขนาดไหน แต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าผิวที่ดูขาวกระจ่างใส เป็นเทรนด์ที่นิยมตลอดกาลสำหรับประเทศไทยจริง ๆ การมีผิวขาวใสดูอ่อนเยาว์ นอกจากจะทำให้น่ามองแล้วยังทำให้สาว ๆ มีความมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างมาก ก็แน่นอนความสวยงามไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าจะเลือกเสื้อผ้าให้เข้าชุดกันก็ง่าย การเป็นจุดดึงดูดความสนใจต่อเพศตรงข้าม รวมถึงการสร้างความประทับใจแรกพบต่อการสมัครงานด้วย ทั้งที่แดดบ้านเราก็พร้อมจะแผดเผาให้ผิวไหม้เกรียมได้ตลอดเวลา แต่การดูแลผิวให้ขาวใสนั้นไม่ยากเลยค่ะ ด้วยวิธีที่เป็นธรรมชาติและสามารถปฏิบัติได้ทุกวัน
สีผิวของคนเรามีหลากหลายเฉดสีแตกต่างกันไป ปัจจัยหลัก ๆ คือ เชื้อชาติและพันธุกรรม ซึ่งในแต่ละภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมรอบตัว ต่างมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสีผิวทั้งสิ้น สำหรับประเทศไทยแล้วโดยทั่วไปมีผิวเหลือง ไม่ได้เรียกว่าดำอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นส่วนผสมระหว่างสีน้ำตาลกับสีขาวมากกว่า จะเรียกว่า ‘ผิวสีแทน’ หรือ ‘สีน้ำผึ้ง’ ก็ได้ ทั้งนี้สีผิวจะอ่อนหรือเข้มส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับภูมิภาคที่อยู่อาศัยและการดูแลตัวเองด้วย แต่ก่อนจะพูดเรื่องวิธีที่ช่วยให้ผิวขาว มาทำความเข้าใจเรื่องสีผิวกันก่อนดีกว่า
สีผิวของคนเราถูกกำหนดด้วยจำนวน “เมลานิน” ยิ่งมีมาก ผิวก็ยิ่งเข้มมาก โดยเมลานินจะเป็นเม็ดสีที่สร้างเซลล์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “เมลาโนไซต์” ซึ่งอยู่ในชั้นหนังกำพร้าอีกที เมลาโนไซต์ไม่ได้อยู่แค่ในผิวเท่านั้น แต่ยังอยู่ในเส้นผม เส้นขนและดวงตาด้วย เพราะฉะนั้นนอกจากสีผิวแล้ว ผม ขนและสีของดวงตาก็จะมีเฉดสีที่แตกต่างเช่นเดียวกัน เมื่อจำนวนเมลานินมีผลต่อความเข้มของสีผิว ดังนั้นการจะมีผิวขาวได้จะต้องมีเม็ดสีผิวน้อยมาตั้งแต่แรก หรือทำให้เม็ดสีลดจำนวนลงในภายหลังนั่นเอง ถึงแม้ปัจจัยหลักที่มีผลต่อจำนวนเม็ดสีเมลานินคือเชื้อชาติและการถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ก็มีปัจจัยภายนอกจากสภาพแวดล้อมหลายอย่างที่ส่งผลต่อการผลิตเมลานินด้วยเช่นเดียวกัน เช่น แสงแดด ฮอร์โมน การได้รับสารเคมีบางชนิด เป็นต้น เพราะฉะนั้นต่อให้ผิวขาวหรือผิวเข้มมาตั้งแต่แรก มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้แบบอัตโนมัติเมื่อเจอกับสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการผลิตเม็ดสีผิว เช่น ผิวขาว แต่ตากแดดนาน ๆ ก็ผิวเข้มขึ้นได้ เป็นต้น
ผิวคล้ำจากกรรมพันธุ์สามารถขาวขึ้นได้ไหม สำหรับสีผิวของคนเราถูกกำหนดมาจากหลากหลายปัจจัย โดยเฉพาะ “ เชื้อชาติและกรรมพันธุ์ ” ที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก ลงลึกถึงในระดับ DNA จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การดูแลฟื้นฟูผิวก็สามารถทำให้ขาวกระจ่างใสขึ้นได้จริง แต่ทำได้แค่ในระดับที่ ‘ ไม่ฝืนธรรมชาติ ’ เท่านั้น หากอยากรู้ว่าตัวเองขาวได้มากที่สุดแค่ไหน ให้ลองตรวจสอบดูใต้จากผิวใต้ร่มผ้าที่ขาวที่สุด เช่น ขาอ่อน หน้าท้อง ท้องแขน เป็นต้น
“ หัวใจหลักพื้นฐานของผิวขาวใสคือการมีผิวที่สุขภาพดี ”
ปัญหาผิวหมองคล้ำนับเป็นปัญหาที่กวนใจคนรักผิวมากๆ แต่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวคล้ำลงเลยก็ทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะปัจจัยที่ส่งผลต่อสีผิวมีหลายประการ ดังนี้
แสงแดด : จัดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวดำคล้ำเลยก็ว่าได้ ถึงแม้แดดช่วงเช้าจะมีวิตามินดี ได้รับแล้วดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่แดดเมืองไทยแรงมาก แค่ช่วงสาย ๆ ก็ร้อนตับแตกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงช่วงเที่ยงหรือบ่ายเลยว่าแดดจะแรงมากแค่ไหน เชื่อว่าถ้าออกจากบ้านไปกันโดยปราศจากการทาครีมกันแดดหรือเสื้อแขนยาวแล้วละก็ ต้องมีผิวไหม้กันบ้างอย่างแน่นอน เมื่อตากแดดเป็นเวลานานผิวจะคล้ำลง สีผิวไม่สม่ำเสมอ นั่นก็เพราะว่าผิวเรามีกลไกการป้องกันตัวเองจากแสงแดด โดยจะสร้างเม็ดสีเมลานินขึ้นมาเพื่อไม่ให้แดดทำร้ายลึกลงไปใต้ผิวหนัง นอกจากผลกระทบทางตรงอย่างผิวคล้ำลงแล้ว แสงแดดยังน่ากลัวกว่านั้นมาก เพราะรังสียูวีในแสงแดดเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ด้วย แถมยังทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ง่ายต่อการเกิดริ้วรอย เพิ่มโอกาสในการเป็นสิวหรือหากเป็นสิวอยู่ก่อนแล้วเจอแดดแรง ๆ สิวอาจจะเห่อยิ่งกว่าเดิมได้เลยทีเดียว
สภาพอากาศ : หากต้องอาศัยอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งแล้งหรือหนาวเย็น ผิวจะขาดความชุ่มชื่นได้ง่าย ทำให้ผิวแลดูมองคล้ำได้ถึงแม้จะไม่โดนแดดก็ตาม นอกจากผิวคล้ำแล้วอาจจะยังมีปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย เช่น ผิวแห้งลอกเป็นขุย ผื่นคันอักเสบ ผิวแตกลาย เป็นต้น ปัญหาผิวในกลุ่มนี้พบได้บ่อยกับชาวออฟฟิศที่ต้องทำงานในห้องปรับอากาศเป็นประจำ
เครียด : ความเครียดส่งผลกระทบต่อผิวมากกว่าที่คิด ลองสังเกตดูช่วงไหนที่ทำงานหนักหรือประสบกับปัญหาชีวิตเยอะ ผิวหน้ามักจะหมองคล้ำไม่สดใส แถมอาจจะมีสิวมาเยือนเป็นระยะ ๆ สาเหตุนั้นมาจากเวลาเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากกว่าปกติ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นให้ต่อมน้ำมันที่ผิวหนังทำงานมากขึ้น หน้าจะมันทำให้เป็นสิวได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
พักผ่อนน้อย : การพักผ่อนที่เพียงพอส่งผลดีต่อทุกระบบในร่างกาย รวมไปถึงผิวพรรณด้วย เพราะผิวจะได้มีเวลาฟื้นฟูซ่อมแซมตัวเอง ดังนั้นหากนอนน้อยผลลัพธ์จะออกมาตรงกันข้ามกัน ผิวจะดูหมองคล้ำ ทรุดโทรม รวมทั้งดูแก่กว่าวัยอีกด้วย
ดื่มน้ำน้อย : น้ำมีความสำคัญกับผิวมาก เพราะช่วยกักเก็บความชุ่มชื่น หากดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ผิวจะเนียนนุ่มชุ่มชื่น ดูฟู อิ่มน้ำ หากดื่มน้ำน้อย ผิวจะแห้งไม่สดใส แลดูหมองคล้ำ
ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว : ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ครีม โลชั่นรวมไปถึงสกินแคร์ประเภทต่าง ๆ บางครั้งมีส่วนของสารเคมีที่ไม่เหมาะกับผิว เช่น น้ำหอม สี แอลกอฮอล์ สารกันเสีย เป็นต้น ใช้แล้วอาจทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำหรือระคายเคืองได้ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิดยังมีส่วนผสมจากสารเคมีต้องห้ามด้วย เช่น ปรอท สเตียรอยด์ ไฮโดรควิโนน น้ำยากัดผิวขาว เป็นต้น ในตอนแรกที่ใช้ผิวอาจจะขาวขึ้นจริงแต่จะขาวแบบผิดธรรมชาติ หลังจากหยุดใช้ผิวมักจะแย่ลงอย่างรวดเร็ว ผิวหมองคล้ำเป็นสิวหนัก หรือผิวอาจแตกลายได้เหมือนตอนตั้งครรภ์เลยทีเดียว
สูบบุหรี่ : ควันบุหรี่ลดปริมาณออกซิเจนในผิว ทั้งยังทำลายความยืดหยุ่นของผิวด้วย คนที่สูบบุหรี่บ่อย ผิวจะหมองคล้ำ มีริ้วรอยได้ง่าย ดูแก่กว่าวัย นอกจากนี้ยังทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่ดี ผิวจะขาดความสดใส ไม่เปล่งปลั่ง การดูดซึมวิตามินเอลดลง ทำให้ผิวหยาบและแห้งกร้าน
อายุ : ผิวคนเราสามารถเสื่อมถอยลงได้ตามอายุไม่ต่างอะไรจากอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย ผิวจะแห้งได้ง่าย ริ้วรอยจะเพิ่มขึ้นตามวัย ขาดความกระชับ มีฝ้า กระ และจุดด่างดำเพิ่มมากขึ้น
เซลล์ผิวผลัดตัวช้า : โดยปกติแล้วเซลล์ผิวของคนเราจะตายและเกิดใหม่ในทุก ๆ วัน การผลัดเซลล์ผิวจะมีวงจรประมาณ 28 วัน แต่ถ้าใครมีอัตราการผลัดเซลล์ผิวที่ช้ากว่านี้ สีผิวจะไม่ค่อยสม่ำเสมอ ดูคล้ำไม่สดใส แถมผิวยังแห้งกร้านได้ง่ายด้วย
สำหรับท่านใดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นได้ และตอนนี้กำลังพบกับปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ทำให้แลดูไม่สดใส ใบหน้าดูโทรมแล้วล่ะก็ ขอแนะนำนวัตกรรมทางการแพทย์ที่จะช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวหน้าของคุณให้กลับมาสดใส มีออร่าอีกครั้ง ด้วยบริการคอร์สหน้าใสที่จะช่วยให้คุณกลับมาดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ